ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 509: ราตรีขบวนร้อยอสูร (2)
บทที่ 509: ราตรีขบวนร้อยอสูร (2)
ยมโลกกระแสลมรุนแรงพัดผ่านท้องฟ้าขณะที่ฉินเย่เดินไปมาด้วยความกังวล หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หวังเฉิงห่าวก็วิ่งมาอีกครั้ง ฉินเย่ก็หันไปรีบถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“กะ…การเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว!” หวังเฉิงห่าวหอบหายใจขณะที่รายงานกลับไป แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยจนจบ ฉินเย่ก็หายไปในกลุ่มพลังหยินและกระโจนลงไปด้านล่างจากจุดสูงสุดของอาคาร
โดยปกติแล้วเขาคงไม่ทำอะไรแบบนี้ เพราะเขาจำเป็นจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน แต่ในเวลาที่เร่งรีบก็จำเป็นจะต้องใช้มาตรการที่เร่งรีบเช่นกัน!
อย่างไรก็ตาม…เขาได้ทิ้งของสิ่งหนึ่งเอาไว้
และมันก็คือปลายหอกที่เปล่งประกายของหอกเงินแห่งความกล้าของมังกร
“เก็บมันไว้ หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ฆ่าได้เลย!” คำพูดของฉินเย่ดังก้องอยู่ภายในหูของหวังเฉิงห่าว
หลังจากที่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับ กฎการทำงานร่วมกันของหยินและหยางของชุยเจวี๋ย การกระทำเดียวที่อยู่ภายในหัวของเขาในเวลานี้ก็คือการตรงไปที่แดนมนุษย์และดูการเปิดออกของประตูนรก รวมไปถึงดูแลราตรีขบวนร้อยอสูร! เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว นี่ก็คือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนประชากรของยมโลก! นี่ไม่ใช่หน้าที่ที่เขาจะสามารถหลีกเลี่ยงได้!
ตุ้บ!
ฉินเย่ลงมายืนอยู่ที่หน้ากำแพงเมือง ที่ซึ่งทหารวิญญาณนับพันยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว ทัพเกราะทมิฬที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพทั้งหมดสง่างามเป็นอย่างมาก ทันทีที่ฉินเย่โรยตัวลงมาจากฟ้า แม่ทัพของทัพเกราะทมิฬรีบเดินมาทำความเคารพเด็กหนุ่ม “ท่านจ้าวนรก ทหารวิญญาณ 8,000 นายพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเราทั้งหมดกำลังรอรับคำสั่งจากพระองค์ต่อไป”
การต่อสู้ที่นครชวีฟู่ได้ทำให้กองกำลังของยมโลกลดลงเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีนายทหารใหม่ที่ยมโลกได้เกณฑ์เพิ่มเข้ามา แต่อย่างมากที่สุดพวกเขาก็มีทหารอยู่เพียงแค่ 10,000 นายเท่านั้น และเขาก็ได้ระดมกองกำลังเกินครึ่งหนึ่งมา และเหลือส่วนที่เหลือไว้เพื่อรักษาความปลอดภัยในยมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานเฉลิมฉลองที่เกิดขึ้น ณ เกาะปี่อั้น
“ดี” ฉินเย่กัดฟันแน่น “เอาล่ะ ข้ามีเรื่องต้องบอกพวกเจ้า ตอนนี้ประตูนรกกำลังจะเปิดออกในแดนมนุษย์ และวิญญาณนับหมื่นตนก็กำลังเดินทางมายังเมืองหวู่หยางจากทั่วทุกสารทิศ ข้าต้องการให้พวกเจ้าทั้งหมดเดินทางไปยังแดนมนุษย์กับข้าเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว”
“แล้วพวกเราจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?” แม่ทัพตรงหน้าเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
ฉินเย่ขมวดคิ้ว ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างดูจะมีปัญหาไปหมด? เราควรทำอย่างไร? แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า?!
เขาเองก็ไม่เคยคิดเกี่ยวกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าเขาควรจะทำเช่นไร?
อาร์ทิสและตี้ทิงไม่ได้ตอบรับคำร้องขอความช่วยเหลือของเขาเลยแม้แต่น้อย ราชาผีแห่งพิภพอสูรอาจจะพอรู้อะไรบ้าง แต่ฉินเย่ไม่มีทางถามอะไรอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องที่อ่อนไหวเช่นนี้ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการที่เขาต้องสูญเสียดวงวิญญาณกว่าล้านดวงในแดนมนุษย์ไปก็ตาม
สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา แต่เขากลับไม่มีคำตอบอะไรเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเขาเห็นร่างสองร่างกำลังลอยมาหาตนจากไกล ๆ มันคืออาร์ทิสและราชาผีแห่งพิภพอสูรนั่นเอง
ในที่สุดเจ้าก็มา…ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ แย้มยิ้มก่อนจะหันไปประสานมือคารวะราชาผีแห่งพิภพอสูร จากนั้นเขาก็โน้มตัวเข้าไปใกล้อาร์ทิสและกระซิบกับอีกฝ่าย “เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้าว่าประตูนรกจะเปิดออกในคืนนี้?”
แต่อาร์ทิสกลับเพียงเหลือบมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง “ท่านคือจ้าวนรก”
“ผู้ปกครองยมโลก”
“มันเป็นธรรมดาสำหรับยมโลกที่จะเปิดประตูนรกในช่วงเทศกาลวิญญาณทั้งสาม เหตุใดคราวนี้ท่านถึงคิดไม่ได้กัน? หรือข้าควรจะพูดว่า…ท่านไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันมาก่อนดี?”
ฉินเย่รู้สึกราวกับมีก้อนบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ แก้มทั้งสองข้างของเขาร้อนขึ้น และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อควบคุมอารมณ์ที่เดือดพล่านของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะบังคับให้ตัวเองสนใจกับเรื่องในมือ “เอาเถิด เจ้าจะพูดอะไรก็พูดไป แต่อย่างน้อยก็ควรบอกข้ามาว่าข้าควรจะนำทางวิญญาณเหล่านั้นเข้ามาที่ประตูนรกได้อย่างไร?”
อาร์ทิสเงียบไป หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็ตอบออกมาในที่สุด “ท่านไม่จำเป็นจะต้องนำทางพวกเขาเลยสักนิด ประตูนรกจะแพร่พลังหยินของยมโลกออกไป วิญญาณทุกตนที่สัมผัสถึงมันได้จะถูกดึงดูดเข้ามา เพราะอย่างไรแล้ว พลังหยินที่มีความบริสุทธิ์สูงก็เป็นเหมือนของที่พระเจ้าประทานมาให้พวกเขา มันไม่มีทางที่วิญญาณเหล่านั้นจะสามารถต้านทานความเย้ายวนของมันได้”
“แต่หากท่านต้องการจะมั่นใจจริง ๆ ท่านก็สามารถดึงพลังหยินจากสมุดแห่งความเป็นตายออกมาช่วยได้ แต่ตอนนี้ท่านไม่มีเวลาสำหรับสิ่งนั้นแล้ว และพลังหยินของยมโลกในเวลานี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดวิญญาณธรรมดาได้”
คำอธิบายของนางช่วยลดความตึงเครียดภายในใจของฉินเย่ เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ช่วยอะไรข้าอย่าง”
“หืม?”
“ข้าจะพาราชาผีแห่งพิภพอสูรไปที่ประตูนรกด้วย”
“นี่ท่านบ้าไปแล้วหรือ?!”
“ไม่! ข้าคงรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าหากต้องปล่อยเขาไว้ในยมโลก!” ฉินเย่ตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าต้องการให้เขายืนอยู่ที่ประตูนรกและไม่ก้าวไปไหนมาไหน! มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ข้ารู้สึกมั่นใจขึ้น!”
“และข้าต้องการให้เจ้าจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็กำลังจะพูดบางอย่างออกไปแต่ทันใดนั้นนางก็ตัดสินใจที่จะยับยั้งตัวเองเอาไว้ และทำเพียงแค่สบตากับฉินเย่โดยตรง “ท่านแน่ใจแล้วหรือ?”
ฉินเย่พยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เขาก็เป็นเพียงแค่หนูที่กำลังหวาดกลัว ดังนั้นตราบใดที่เจ้ายังอยู่ เขาจะต้องไม่กล้าที่จะทำอะไรแม้แต่นิดเดียว!”
อาร์ทิสยิ้ม “ก็ได้”
“ข้าหวังว่า…ท่านจะไม่เสียใจในภายหลังกับการตัดสินใจนี้”
แต่ท่านอาจจะไม่มีโอกาสที่จะได้เสียใจในภายหลังด้วยซ้ำ!
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกขณะที่เขาหันไปมองท้องฟ้าอันมืดมิดที่ปกปิดรอยแยกสีแดงเข้มด้านบนเอาไว้ “พวกเจ้าทุกตน ข้าคงต้องหวังพึ่งพวกเจ้าในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับประตูนรก”
“ยมโลกจงเจริญ!!” เสียงร้องของเหล่าทหารวิญญาณดังขึ้นพร้อมกัน
หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี… ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ พาราชาผีแห่งพิภพอสูรและพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทหารวิญญาณอีก 8,000 นายเองก็ตามหลังเขาไปติด ๆ พร้อมกับพุ่งผ่านท้องฟ้าราวกับฝนดาวตกที่พุ่งย้อนกลับเข้าไปในรอยแยกบนท้องฟ้าราวกับการเคลื่อนไหวของทางช้างเผือก
………………………………………………
ในขณะเดียวกัน ย้อนกลับมาที่เมืองชางหลาน
คาราสุเท็งงุและยักษ์ทมิฬก็กำลังยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของอาคาร มองดูทะเลพลังหยินที่อยู่ด้านล่าง โดยมีลีจองซุกยืนอยู่ตรงกลางระหว่างวิญญาณทั้งสอง
พวกเขาไม่ได้อยู่ห่างไกลจากพื้นดินนัก แต่ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ เหล่าวิญญาณที่อยู่ด้านล่างกลับไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ผู้ที่ยืนอยู่ระหว่างทั้งสองโลกคือตัวตนที่ถูกปฏิเสธโดยทั้งสองโลกมากพอ ๆ กับที่พวกเขาถูกยอมรับโดยทั้งสองโลก
เต้ง…
เสียงของระฆังดังขึ้นให้ได้ยิน ตอนนี้เป็นเวลาตี 1 ตรง คาราสุเท็งงุและยักษ์ทมิฬเงยหน้าขึ้นพร้อมกันและมองไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด
“เจ้าสัมผัสได้หรือไม่? นี่คือการเปลี่ยนแปลงระหว่างหยินและหยาง เตรียมตัวให้ดี ประตูนรกกำลังจะเปิดออกในอีกครึ่งชั่วโมง”
“ฮึ่ม…มีบางสิ่งบางอย่างแปลกไป…” ดวงตาสีทองของคาราสุเท็งงุหรี่ลง “เหตุใด…มันจึงไม่มีทหารวิญญาณมารักษาความสงบในแดนมนุษย์อีก?”
สีหน้าของยักษ์ทมิฬเองก็เคร่งขรึมไม่แพ้กัน “ใช่แล้ว เราควรจะได้เห็นทหารวิญญาณลาดตระเวนอยู่รอบ ๆ แต่ทั้งหมดที่เราต้องทำมีเพียงจับกุมแม่ทัพของอีกฝ่ายและหลบหนีไปโดยเร็วที่สุด มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการหลบหนีที่จะกระตุ้นให้เกิดการจลาจลของเหล่าวิญญาณภายในเมืองชางหลาน สิ่งนั้นจะทำให้ยมโลกไม่สามารถไล่ตามเราได้ เพราะอย่างไรแล้ว เทศกาลวันสารทจีนก็ได้มีการเฉลิมฉลองมาเป็นเวลานานแล้ว และยมโลกก็ไม่เคยส่งยมทูตที่อยู่ระดับสูงกว่าขั้นตุลาการนรกออกมา ความเป็นไปได้ในการหลบหนีของเราค่อนข้างสูง…”
ทว่าเขากลับไม่มีโอกาสได้พูดมันจนจบ เพราะทันใดนั้น ทั้งยักษ์ทมิฬและคาราสุเท็งงุก็หันไปมองยังทิศที่ตั้งของเมืองหวู่หยางอย่างพร้อมเพรียงกัน
ฟิ้ว…
สายลมรุนแรงพัดมา ส่งผลให้เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมอยู่กระพืออย่างรุนแรง ทันใดนั้น ความรู้สึกเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
รอยแยกของยมโลก…ได้เปิดออกแล้ว!
ทันใดนั้น ภาพมากมายก็ผุดขึ้นมาภายในหัวของคาราสุเท็งงุ จนกระทั่งมันหยุดลงตรงที่ซากปรักหักพักซึ่งดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ก่อสร้าง ณ ที่แห่งนั้น มันเห็นหลุมขนาดใหญ่ซึ่งมีพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตรซึ่งมีพลังหยินที่หนาแน่นหลั่งไหลออกมา ตัดผ่านเหล็กเส้นที่อยู่ด้านบนได้ราวกับแผ่นเต้าหู้
โครม…ครืนนน...
พื้นดินรอบ ๆ หลุมพังทลายลงและจมลงไปด้านล่าง บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังจะปรากฏขึ้นมา!
“มันไม่ได้เกิดขึ้นที่เมืองชางหลาน!” คาราสุเท็งงุลุกขึ้นยืน “แต่มันเกิดขึ้นในเมืองหวู่หยาง!!!“
“ไปเร็ว!” ทันใดนั้น ยักษ์ทมิฬก็คว้าร่างของลีจองซุกเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งและหยิบตะเกียงพุทธขนาดเล็กออกมาถือไว้ด้วยมืออีกข้าง
ตอนนี้ ตะเกียงดังกล่าวยังคงมีไฟจุดอยู่ และมันก็เปล่งประกายแสงสีเขียวเข้มออกมา แทบจะเหมือนกับว่ามันได้กักเก็บวิญญาณร้ายจำนวนมากเอาไว้ด้านใน ยักษ์ทมิฬรีบลงมือพนมขึ้นเพื่อประสานอย่างรวดเร็ว ก่อนจะประกบมือเข้าด้วยกัน และไม่ภายในไม่กี่วินาทีต่อมา การเคลื่อนที่ของพวกเขาก็เร็วขึ้นจนมากกว่าความเร็วเสียง เมื่อพวกเขาพุ่งออกไป สิ่งที่เหลือไว้มีเพียงแค่ภาพติดตาในจุดที่พวกเขาเคยอยู่เท่านั้น!
ด้วยความเร็วเท่านั้น พวกเขาใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีในการเดินทางไปที่เมืองหวู่หยาง!
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ลีจองซุกงอตัวจนกลายเป็นลูกบอล ป้องกันตัวเองจากแรงต้านของกระแสลมที่พวกเธอปะทะขณะที่พวกเธอเคลื่อนไปด้วยความเร็วสูงสุด ไม่นานเมืองขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นให้เห็นที่ปลายขอบฟ้า
พลังหยินแผ่ออกมาจากใจกลางเมือง ปกคลุมทั่วทุกมุมราวกับโรคระบาดที่น่าสะพรึงกลัว เปลวไฟวิญญาณจำนวนมากลอยไปทั่วทั้งเมือง ราวกับประกาศให้โลกรู้ว่านี่คือดินแดนของเหล่าคนตาย วิญญาณเร่ร่อนหลายพันตนที่บนถนนด้านล่างต่างกำลังลอยตนไปยังแหล่งพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัว ราวกับว่าพวกเขากำลังตอบรับเสียงเรียกที่ไม่สามารถต้านทานได้ บรรยากาศทั้งหมดเต็มไปด้วยพลังหยินที่ไร้ขอบเขตราวกับมหาสมบัติ
กึก…
ยมทูตญี่ปุ่นทั้งสองหยุดลงขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังเมืองด้านล่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทำไม? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เหตุใดประตูนรกจึงไม่ได้อยู่ที่เมืองชางหลาน? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับประตูนรกที่ตั้งอยู่ในเมืองชางหลาน?
พวกเขาไม่มีคำตอบเลยแม้แต่น้อย…
แต่พวกเขารู้ดีว่าคำตอบนั้นอยู่ที่ใจกลางของเมืองหวู่หยาง
“คาราสุเท็งงุ…” เสียงที่เอ่ยออกมาของยักษ์ทมิฬสั่นเทา “พวกเรากำลังจะสู้กับกองกำลังของยมโลก เจ้าหวาดกลัวหรือไม่?”
“ไม่…” เสียงของคาราสุเท็งงุเองก็สั่นเทาไม่แพ้กัน แต่มันกลับเต็มไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรง “ไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นเราได้นอกจากผู้ที่อยู่ขั้นฝู่จวิน!”
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น ประกายแสงสีดำก็ปะทุขึ้นจากพื้น ชัดเจนเสียจนแม้แต่คาราสุเท็งงุและยักษ์ทมิฬเองก็สามารถมองเห็นได้จากไกล ๆ
แสงสีดำดังกล่าวสุกสว่างและแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ราวกับดวงดาวที่โปรยปรายบนท้องฟ้ายามราตรีอันกว้างใหญ่ และภายในไม่กี่วินาทีต่อมา แสงดังกล่าวก็ก่อตัวเป็นกลุ่มกองกำลังที่ลอยตัวอยู่เหนือเมืองหวู่หยาง
เหล่ายมทูตได้มาถึงแล้ว!
……………………………………………….
ตู้ม! พลังหยินที่รุนแรงผุดขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะกระจัดกระจายไปโดยรอบและหลั่งไหลลงไปที่พื้นด้านล่างราวกับห่าฝน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตกลงไปกลับไม่ใช่หยดน้ำฝน แต่กลับเป็นร่างเงาสีดำเข้มที่ดูไม่ต่างอะไรกับเทพเจ้าเลยแม้แต่น้อย
โดยพลังหยินส่วนที่เหลือทั้งหมดก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนที่อยู่ในใจกลางของเหล่าเทพที่ตกลงไปด้านล่าง ซึ่งเป็นจุดที่ฉินเย่ก้าวออกมา กลุ่มก้อนพลังหยินยังคงหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขา และเขาก็ดูยิ่งใหญ่อย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้ เหมือนกับเทพแห่งสงครามผู้ทรงอำนาจไม่มีผิด แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขาเพียงมองไปรอบ ๆ ก่อนที่หัวใจของเขาจะตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอย่างรวดเร็ว
เขาไม่คิดมาก่อนว่าสถานการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นที่แดนมนุษย์ในคืนเทศกาลวันสารทจีน
วิญญาณทุกตนที่อยู่ตรงหน้าหมอบกราบลงกับพื้นโดยที่โคมไฟกระดาษที่ถูกจุดด้วยเปลวไฟนรกถูกวางอยู่ข้าง ๆ ร่างของพวกเขาสั่นเทาขณะที่โค้งคำนับมายังจุดที่เด็กหนุ่มลอยตัวอยู่
นี่คือวิญญาณจากทั่วทั้งเมือง! นี่มันมากกว่าแสนตนเสียอีก! โคมไฟที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขาได้ทำให้ถนนทั่วทั้งเมืองเปล่งประกายด้วยแสงสีเขียวที่น่าขนลุก!
มันดูไม่ต่างอะไรกับสวรรค์ของคนตายเลยแม้แต่น้อย! ที่นี่คืออาณาจักรของเหล่าวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย!
ภาพตรงหน้าคือภาพที่แสนงดงาม ทั่วทุกมุมของท้องถนนขาวซีด ในขณะที่ความมืดของขอบฟ้าดูเหมือนจะผสานเข้ากับความมืดจากอีกฝากหนึ่งของขอบฟ้าอย่างพอดิบพอดี
ตอนนี้…กองกำลังของยมโลกได้ปรากฏขึ้นเหนือโครงการพัฒนาเหมาหยวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลุมลึกที่ไร้ก้นบึ้งอยู่ด้านล่าง แต่เหล็กเส้นที่เคยถูกตั้งอยู่เหนือหลุมกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉินเย่เข้าใจในทันที ทุกอย่างชัดเจนขึ้นสำหรับเขา ‘เทศกาลวันสารทจีน’ คือคำที่เขาเคยได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนในตลอดหลายวันที่ผ่านมา และในที่สุด เหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่เชื่อมโยงกันก็ได้มาบรรจบกันราวกับสายน้ำ
วงล้อแห่งโชคชะตาได้ทำให้ทุกอย่างมาบรรจบกัน
ทุกความบังเอิญได้มาบรรจบกันเพื่อก่อตัวเป็นพายุลูกใหญ่
อย่างไรก็ตาม ฉินเย่รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
เขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อป้องกันเหตุการณ์ใด ๆ ก็ตามที่อาจเกิดขึ้น… เด็กหนุ่มโบกมือ และทหารวิญญาณทั้งหมดก็พุ่งตัวลงไปด้านล่างราวกับกระแสน้ำที่ถาโถม ทันใดนั้นฉินเย่ก็ตะโกนออกมา “ทหารวิญญาณทั้งหมดจงกระจายตัวไปประจำการอยู่ทั่วทั้งเมือง! นำทางวิญญาณทุกตนที่พวกเจ้าพบกลับมาที่นี่! ผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือจะต้องถูกสังหารทันที!!”
“รับทราบ!!”
ภายในใจของเด็กหนุ่มรู้สึกสงบลงเล็กน้อยหลังจากที่ได้สั่งการออกไป แต่ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างและทำให้ภายในหัวของเขาตื้อไปหมด
ใคร… กำลังจับตาดูเขาอยู่?
เขาสัมผัสได้ว่าใครบางคนกำลังจ้องมองมาที่ตนเองจากในความมืด แต่เมื่อเขามองไปรอบ ๆ กลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน
นั่นไม่ใช่ภาพลวงตา…
สายตาดังกล่าวได้กระตุ้นสัญชาตญาณการระวังตัวของฉินเย่ เด็กหนุ่มมั่นใจว่ามีใครบางคนอยู่ที่นี่ และกำลังจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาอยู่!