ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 51 ละมั่ง
บทที่ 51 ละมั่ง
ไม่ยากเลยกว่าจะเดินมาถึงห้อง ฉินเย่ก็ลากหวังเฉิงห่าวออกจากเตียง หวังเฉิงห่าวขยี้ตาและจ้องไปที่ฉินเย่ พอสายตากลับมามองเห็นชัดแล้วก็เกือบกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวออกมา แต่ฉินเย่ก็ปิดปากของเขาทันเสียก่อน
“ฉันเอง”
หวังเฉิงห่าวพยักหน้าอย่างเหม่อลอย ใครเห็นคนเลือดท่วมตัวมายืนต่อหน้าตัวเองก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนขี้ขลาดแน่นอน
“เราต้องไปแล้ว…”
“ฮะ? ไปที่ไหน?” แม้ว่าหวังเฉิงห่าวจะไม่อยากไป แต่น้ำเสียงที่ดูจริงจังของฉินเย่ ทำให้ความคิดทั้งหมดในหัวของเขาก็ถูกปัดทิ้งไปในทันที
“ไม่สำคัญหรอกว่าที่ไหน แต่ยิ่งไกลยิ่งดี!”
หวังเฉิงห่าวพยักหน้าและเริ่มเก็บข้าวของจำเป็น
สิบนาทีต่อมาฉินเย่และหวังเฉิงห่าว กระโดดขึ้นรถแท็กซี่และเริ่มเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมือง
ฉินเย่ฝืนตัวเองให้ตื่นตัว ยิ่งรถขับออกไปไกลเท่าไร คนขับรถแท็กซี่ก็ยิ่งตัวสั่น “นี้มันบ้าอะไร ทำไมวันนี้อากาศหนาวจัง”
“มันจะไม่หนาวถ้าคุณขับเร็วกว่านี้” ฉินเย่ตอบนิ่ง ๆ เขาเปลี่ยนเป็นชุดใหม่แล้ว ไม่มีร่องรอยของเลือดบนร่างกายอีกต่อไป ฉินเย่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกมีวิญญาณ หยินหลายร้อยหลายพันดวง กำลังล่องลอยจากทิศตรงข้ามและมุ่งตรงไปยังที่ที่ฉินเย่และหวังเฉิงห่าวเพิ่งจากมา!
เชาโยวเต๋าต้องเรียกวิญญาณหยินทั้งหมดในเมืองเป่าอันแน่ …ฉินเย่กำหมัดแน่น
จะตี 5 แล้ว คืนนี้เขาคงยังเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ แต่พรุ่งนี้…ไม่ก็มะรืน เมืองทั้งเมืองต้องกลายเป็นหายนะแน่!
เมืองเป่าอันที่ยังเห็นอยู่ด้านหน้ากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในไม่ช้า
วิญญาณหยินทั้งหมดถือโคมไฟสีแดง เท้าของพวกเขาไม่ขยับ แต่พวกเขาลอยไปข้างหน้าช้า ๆ มีคำว่า “เชา” เขียนด้วยหมึกสีดำอยู่บนโคมไฟทั้งหมด
พวกมันลอยไปมาจากทุกที่ จำนวนของพวกมันก็มากมายราวกับน้ำในมหาสมุทร
เมื่อถึงตีห้า ฉินเย่ถึงหลับตาลง
การฟื้นฟูพลังกลับคืนมาเป็นสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำเป็นอันดับแรก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เขาตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่ามีคนกำลังเขย่าตัว หวังเฉิงห่าวโน้มตัวมาถามเขาด้วยความกังวล “ พี่ฉิน … เป็นยังไงบ้าง? ต้องพาไปโรงพยาบาลมั้ยเนี่ย”
พวกเขามาถึงใจกลางเมืองแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าครึ่ง และท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างอย่างช้า ๆ ฉินเย่ส่ายหัว “ ไม่จำเป็น เปิดห้องพักให้ฉันได้พักผ่อนก็พอ”
หลังจากได้ห้องแล้วฉินเย่ก็ทรุดตัวลงบนเตียงและนอนหลับไปแปดชั่วโมง
เป็นเวลา 14.00 น. ฉินเย่จึงตื่นขึ้น
เขาแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปมาก เขาหายจากบาดแผลหลังจากพักผ่อนเพียงหนึ่งตื่น จากนั้นก็พิงหัวเตียงและพึมพำกับตัวเอง
เราจะทำยังไงดี?
ไม่มีทางที่เชาโยวเต๋าจะยอมแพ้กับเศษตราจ้าวนรกง่าย ๆ แน่ หากการครอบครองชิ้นส่วนแรกสามารถทำให้เขารอดจากการล่มสลายครั้งใหญ่ได้ แล้วชิ้นที่สองล่ะ?
ฉินเย่ตัดสินใจทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาไปแล้ว เมื่อเขาเปิดเผยว่าตัวเองครอบครองชิ้นส่วนตราจ้าวนรก มั่นใจได้เลยว่าเชาโยวเต๋าจะต้องพลิกเมืองหาเขาในคืนนี้!
ใช่ พลังหยินของพวกเขาไม่ได้มีพลังมากพอจะสัมผัสถึงกันได้ เนื่องจากอีกฝ่ายมีอำนาจแค่เพียงในมณฑลที่ดูแล แต่…เชาโยวเต๋าได้เห็นใบหน้าของฉินเย่แล้ว นอกจากนี้วิญญาณหยิน … เป็นร่างกายที่ไม่มีตัวตนตามธรรมชาติ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่สำคัญว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ถึงจะซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า วิญญาณหยินก็สามารถผ่านทะลุกำแพงเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
ไม่มีที่ให้วิ่งหนีและไม่มีที่ให้ซ่อน!
“ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ความจริงที่ว่าสิ่งนี้จะทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ของการจลาจลโดยวิญญาณหยินทั่วโลก บังคับให้ชาวโลกต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปราบปรามการปฏิวัติเหล่านี้ จะมีพลเมืองกี่คนที่จะเห็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้ รัฐบาลจะต้องเพิ่มความพยายามในการสะสางและแก้ไขมากน้อยแค่ไหน … ” เขาถอนหายใจ “ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเลย”
“แค่ก ๆ… ” ทันใดนั้นเสียงที่อ่อนแรงและแหบแห้งก็ดังออกมาจากไหนไม่รู้ ฉินเย่ชะงักเล็กน้อย“ อาร์ทิส? เจ้าตื่นแล้วเหรอ”
ไม่มีการตอบสนองใด ๆ
ไม่นาน เสียงแผ่วเบาของอาร์ทิสก็พูดอีกครั้ง“ เจ้ารู้อะไรไหม … ”
“ตอนนี้ข้าว่าข้าเริ่มเสียใจที่ได้ผูกวิญญาณกับเจ้าแล้ว…”
ฉินเย่รู้สึกไม่พอใจ “นี่คือชะตากรรมของท่าน”
ทั้งคู่เคยชินกับการพูดเสียดสี แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป อาร์ทิสไม่ได้โต้กลับคำพูดของฉินเย่ เธอกลับเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะพูดอีกครั้ง “เจ้าเคยได้ยินเรื่องละมั่งหรือเปล่า”
อาร์ทิสไม่รอฉินเย่ตอบ เธอพูดต่อ “เมื่อถูกเสือล่า ละมั่งจะสู้กลับด้วยเขาของมัน…แค่ก ๆ …แต่มันจะพยายามหนีให้ถึงที่สุดก่อน มันถึงจะตอบโต้”
“เจ้าเข้าใจที่ข้าสื่อหรือไม่ ก่อนที่เรื่องต่าง ๆ จะไม่สามารถแก้ไขได้ คำตอบแรกของมันไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการหนี…แค่ก ๆ …ใช่แล้ว …ข้าเข้าใจเจ้า เจ้าซ่อนตัวอยู่ในแดนมนุษย์นานเกินไป เจ้ากลัวที่จะได้รับใบอนุญาตด้านอสังหาริมทรัพย์ ใบขับขี่หรือแม้กระทั่งบัตรประจำตัวที่มีรูปถ่าย…และไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหวังหรือการเผชิญหน้ากับมัจจุราชแห่งยมโลกหรือจนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังคิดจะหนีการต่อสู้…”
ฉินเย่หน้าร้อนผ่าว เมื่อไรกันที่อาร์ทิสเข้าใจตัวตนของเขาถึงเพียงนี้ แต่ความจริงที่คำพูดของอาร์ทิสแทงใจดำเขาอย่างจัง ทำให้เขาทั้งรู้สึกประหลาดใจและอับอาย
อาร์ทิสไม่ได้เอ่ยต่อ แต่กับพูดติดตลก “ เจ้ารู้ไหมว่าชื่อเสียงอันน่าเกรงขามของนรกมาได้ยังไง เจ้ารู้ไหมว่าทำไมปฏิกิริยาแรกของมัจจุราชแห่งยมโลก คือถอยทันทีเมื่อเจ้าบอกว่าเป็นยมทูต”
ฉินเย่ไม่เข้าใจว่าทำไมอาร์ทิสถึงเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหัน เขาเม้มริมฝีปากและส่ายหน้าเบา ๆ
อาร์ทิสพูดต่อด้วยน้ำเสียงสงบ “แค่ก ๆ …สองร้อยปีก่อนมีการก่อกบฏขึ้น ปีศาจร้ายทั้งเจ็ดที่มณฑลหยุนชวน เจ็ดนักล่าวิญญาณและสองยมทูตขาวดำถูกสังหารในหน้าที่… ”
“หนึ่งร้อยสามสิบปีที่แล้ว มีผู้กลับชาติมาเกิดในหลุมฝังศพของนครหนานเจียง ยมทูตขาวดำห้าคนที่ประจำการอยู่ที่เมืองใกล้เคียงถูกสังหารในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แม้แต่ตุลาการนรกก็ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่มีใครถอยแม้แต่ก้าวเดียว…”
“ย้อนกลับไปในสมัยนั้น ข้ายังเคยเจอกับภูตผีในตอนที่ข้าเป็นเพียงนักล่าวิญญาณ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าโชคดี ข้าคงไม่มีโอกาสได้ดูแลมณฑลหมิงเฟิง…”
ใบหน้าของฉินเย่แดงขึ้นและแดงขึ้น คำพูดของอาร์ทิสเหมือนกับเปลวไฟที่กำลังลนใบหน้าของเขาช้า ๆ ทำให้หน้าเขาไหม้และเดือดขึ้น ฉินเย่กระแอมพึมพำเบา ๆ “ มันไม่ใช่อย่างที่ข้าต้องการ – … ”
เสียงของอาร์ทิสสวนขึ้นมา“แต่เจ้ายังคงถูกตราหน้าด้วยตรายมทูต นี่คือราคาที่เจ้าต้องจ่ายไปตลอดชีวิต!”
แต่ละประโยคที่พูด เป็นเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางใจ ดึงฉินเย่ให้ออกมาจากการหลอกตัวเอง
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกมีหน้าที่เป็นของตัวเองทั้งนั้น! หน้าที่ของยมทูตคือการจัดระเบียบให้กับโคจรของโลกใบนี้! ความดีและความชั่วควรได้รับการตอบแทน ธรรมชาติของโลกควรไหลไปในรูปแบบที่ไม่สมควรถูกยับยั้ง นับตั้งแต่ที่เจ้าได้เข้าทำงานในฐานะยมทูต สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเจ้าไม่มีอะไรอื่นนอกจากความอยู่รอดของตัวเอง!”
“แล้วข้ามีทางเลือกไหมล่ะ!!” ฉินเย่ลุกขึ้นยืนทันที
เขาคว้าลูกบอลผนึกด้วยความโกรธ “ข้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา! ข้าอาจได้กินเห็ดเทียนสุ่ยและกลายเป็นอมตะและสามารถฟื้นคืนชีพได้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ความตายมันเจ็บปวด! ข้ายังกลัวตาย!! ทุกครั้งที่ข้ากลับชาติมาเกิดข้าจะสูญเสียความทรงจำในอดีตและเริ่มต้นใหม่แบบว่างเปล่า แล้วตัวข้ายังคงเป็นตัวข้าอยู่ไหม!”
“ข้าหนีเหรอ?! ข้าทำอะไรได้อีกนอกจากวิ่งหนี! นักล่าวิญญาณแตกต่างจากยมเทพแค่ไหนเจ้าก็รู้! ที่โรงแรมเฝิงไหลข้าก็เกือบจะตายอยู่แล้ว!!”
“ท่านเคยสอนวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งให้ข้าบ้างไหม!”
“แล้วเจ้าถามข้าสักครั้งไหม !!” เสียงอาร์ทิสดังขึ้นก่อนที่เธอจะไออย่างแรง หวังเฉิงห่าวกะพริบตาอย่างเชื่องช้าและพยายามหลบไปที่มุมหนึ่ง ฉินเย่มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ จนหวังเฉิงห่าวรีบพูด “เดี๋ยวฉันจะไปแล้ว” ยังไม่ทันที่หวังเฉิงห่าวจะพูดจบ ก็หมดสติทรุดตัวลงบนเตียงทันที
เจ้าเป็นคนประเภทไหนกัน!
ลูกบอลผนึกสั่นสะเทือนอย่างแรง นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองโต้เถียงหน้ากันอย่างรุนแรง จนเกือบจะตีกันอยู่แล้ว
ฉินเย่หายใจแรง อาร์ทิสหอบและพูดต่อ “คำถามเดียวที่เจ้าเคยถามข้าคือวิธีแก้ปัญหา แต่…แต่เจ้าไม่เคยถามข้าเลยสักครั้งว่า…เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร !!”
“แค่ก ๆ…เจ้าไม่มีมุมมองหรือทัศนคติของยมทูตเลย ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะพบว่าตัวเองถูกผีร้ายที่มีอำนาจครอบงำในที่สุด…เมื่อไหร่ที่เจ้าได้เวลาสู้เหมือนละมั่ง … เจ้าจะพบว่า เขาของเจ้างอกยาวพร้อมสู้แล้ว…”
“ตั้งแต่นรกพังทลายลงวิญญาณชั่วร้ายก็อาศัยอยู่ในแดนโลกมาโดยตลอดหลายปีมานี้…แค่ก ๆ..เจ้าไม่สามารถเอาตัวรอดไปวัน ๆ ได้ …เพราะขืนเจ้าเป็นแบบนี้ต่อไป วันหนึ่งเจ้าจะต้องเจอกับผีร้ายที่ทรงพลังมาก จนมันสามารถฉีกเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ ก่อนที่เจ้าจะรู้ตัวซะอีก !!”
“แม้ว่าเจ้าจะสามารถหลบหนีจากเชาโยวเต๋าได้ แต่ในไม่ช้าเจ้าก็จะพบกับเชาโยวเต๋า หรือคนอื่น ๆ ที่คล้ายกันอีก ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญาของพวกเรา เจ้าคิดว่าข้าจะสนเหรอว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่!!”
เงียบ
หนึ่งคนหนึ่งลูกบอล จ้องกันไม่วางตา
ความคิดที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจพวกเขาได้ถูกเปิดเผย ภายใต้อารมณ์ที่รุนแรงและความโกรธ ไม่มีใครพูดอะไรอีก
ฉินเย่ถอนหายใจยาว เขานั่งลงบนเตียง เขายังคงจ้องมองไปที่ลูกบอลผนึกด้วยตาแดงก่ำ สักพักเขาก็พูดขึ้น “แล้วข้าจะเป็นนักล่าวิญญาณได้ยังไง”
เสียงของอาร์ทิสแผ่วเบาราวกับเทียนต้องลม“ต้องได้ 200 แต้มกุศล …แค่ก ๆ … ”
“เชาโยวเต๋าจะกวาดล้างทั้งเมืองในคืนนี้ เจ้ามีทางออกหรือไม่”
“คิดเองสิ!” อาร์ทิสว่า “ถ้าเจ้าคิดหาทางออกไม่ได้ก็ลองหาวิธีออกจากเมืองเป่าอัน หาป่าสันโดษเพื่อซ่อนตัวไปเสียเถอะ… ส่วนข้าจะไปหาที่อยู่ใหม่ ดีกว่าต้องคอยตกใจกลัวทุกเมื่อแบบนี้!”
“ถ้าเจ้ารวบรวมแต้มกุศล 200 แต้มไม่ได้ … เจ้าจะไม่มีชีวิตนานพอที่จะรวบรวมชิ้นส่วนตราจ้าวนรกทั้งหมดได้หรอก!”
ทันใดนั้นเสียงของเธอก็หายไป
ความเงียบก็เข้าปกคลุม
เส้นเลือดบนหัวของฉินเย่เต้นตุบ ๆ ก่อนเขาจะเรียกอย่างไม่เต็มใจว่า “เสี่ยวอา?”
ไม่มีการตอบสนอง
“เจ้าก็พูดง่าย” ฉินเย่ตอบ “หนึ่งวิญญาณอาฆาตครั้งก่อนทำให้ข้าได้รับเพียง 20 แต้มกุศลเท่านั้น ประตูนรกมันไม่ได้เปิดเพื่อให้ข้าได้เก็บเกี่ยวแต้ม ข้าคงแก่หัวหงอกก่อนจะได้อีก 180 แต้มน่ะสิ!”
“ให้ตาย … ไว้หน้าข้าสักนิดหน่อยไม่ได้เลยหรือ? ข้าไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน เจ้าไม่รู้หรือไงว่าคนเราก็ต้องการเวลาปรับตัวบ้าง? คนอย่างท่าน … ต้องเคยตกเป็นเป้าของการทรมานในสมัยโบราณแน่…ท่านโชคดีนะที่ข้าไม่มีอารมณ์จะมาต่อกรกับท่าน “
ไม่มีใครพูดคำใดอีก
คำพูดของอาร์ทิสแทงใจดำและไม่ไว้หน้าฉินเย่มาก แต่… เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่เป็นความจริง
โลกกำลังเปลี่ยนไป หากเขาไม่ทิ้งนิสัยเดิม ๆ และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โลกจะทิ้งเขาไว้ข้างหลังในไม่ช้า
เขาตบหน้าตัวเองแรง ๆ และหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ใจสงบลง นัยน์ตาเขาแปรเปลี่ยนไปยากจะคาดเดาอารมณ์
พอหวังเฉิงห่าวเริ่มรู้สึกตัว ก็เห็นฉากนี้เข้าพอดี
แสงตะวันสีทองอ่อนโยนสาดส่องเข้ามาในห้อง เกิดเงาสีทองอ่อน ๆ บนผิวกายชายหนุ่มที่นั่งชันเข่าใต้แสงตะวันยามเย็น หวังเฉิงห่าวลูบต้นคอตัวเองและพึมพำ “คนครุ่นคิด?” [1]
ฉินเย่ถอนหายใจ “ฉันกำลังคิดว่าฉันต้องรับผิดชอบนายมั้ย”
หวังเฉิงห่าวหวนถึงเหตุการณ์สยดสยอง “ฉันมีบางอย่างที่จะ …”
“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก”
หวังเฉิงห่าวกลืนน้ำลายและพึมพำ “ฉิบหายล่ะ… ”
เขาสัมผัสบั้นท้ายของตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ถึงค่อยวางใจ
[1] รูปปั้นที่มีชื่อเสียงที่เรียกว่า คนครุ่นคิดหรือ Le Penseur ในชื่อฝรั่งเศส