ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 510: ราตรีขบวนร้อยอสูร (3)
บทที่ 510: ราตรีขบวนร้อยอสูร (3)
ใครกัน?!
ฉินเย่กวาดตามองไปรอบ ๆ สังเกตแม้กระทั่งเงาที่อยู่ห่างไกลออกมา หลังจากผ่านไปหลายนาทีก็ละสายตากลับมา เขามองไม่เห็นใครเลยสักคน…
มันคือภาพลวงตาจริง ๆ น่ะหรือ? หรือบางที…เขาอาจจะเครียดจนตาฝาดไปก็ได้…
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะไปมาเพื่อขจัดความคิดเหล่านี้ออกไปจากหัว แต่ถึงกระนั้นเขาก็พบว่าตัวเองไม่สามารถสลัดความรู้สึกผิดปกติภายในใจของไปได้ และในวินาทีนั้นเอง เขาก็ต้องขมวดคิ้ว เข้าหากันอีกครั้ง
พลังหยิน…กำลังแปรปรวน
และมันก็กำลังแปรปรวนอย่างมากเสียด้วย!
เขาคือผู้ปกครองของเหล่าวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงสามารถสำรวจจิตใต้สำนึกของวิญญาณทั้งหมดได้ แต่เด็กหนุ่มกลับพบกลุ่มก้อนพลังหยินที่หนาแน่นหลายกลุ่มกำลังวนไปมาจ จนก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนที่มีความกว้างกว่าสิบเมตร วิญญาณที่อยู่โดยรอบซึ่งกำลังหมอบกราบอยู่กับพื้นต่างร้องโหยหวนออกมาขณะที่พวกเขาค่อย ๆ ถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้น และในขณ ณะเดียวกัน ฉินเย่ก็สัมผัสได้ถึงการก่อตัวของอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจกลางของกระแสน้ำวนพวกนั้นอีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้น? นี่มันภาพลวงตาอย่างนั้นหรือ?” เขารู้สึกราวกับว่าภายในหัวของตัวเองมีไฟลุกโชนไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างดูเร่งรีบไปหมด และการตัดสินใจที่เร่งรีบก็ไม่มีทางเป็นการตัดสินใ ใจที่ดี เด็กหนุ่มพยายามระงับความกังวลของตัวเองขณะที่จมลงไปในจิตใต้สำนึกของเหล่าวิญญาณภายในกระแสน้ำวนอีกครั้ง
แต่ทันทีที่เขาพยายามเข้าไป วิญญาณที่อยู่ภายในนั้นก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงและหลบหนีไปในทันที!
วิญญาณร้าย…!
ฉินเย่อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เขาเข้าใจทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเมื่อมองไปรอบ ๆ เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามีกระแสน้ำวนกว่าพันแห่งเกิดขึ้นทั่วทั้งเมืองหวู่หยาง!
วิญญาณร้ายกว่าพันตน…กำลังถือกำเนิดขึ้น!
ความกังวลภายในใจพุ่งสูงขึ้น มือทั้งสองข้างกุมเข้าหากันแน่นอย่างหัวเสีย “นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?!”
กระแสลมพัดผ่านไป และไม่นานอาร์ทิสก็มายืนอยู่ข้าง ๆ เขา “ประตูนรกเปิดออก การดึงดูดที่ข้าพูดถึงคือการตอบสนองโดยธรรมชาติต่อพลังหยินที่หลั่งไหลออกมา เทศกาลวิญญาณทั้งสามคือช ช่วงเวลาที่กำแพงที่กั้นระหว่างโลกนั้นบางที่สุด และวิญญาณอีกจำนวนมากที่อยู่ในโลกใต้พิภพก็อาศัยโอกาสนี้ในการกลับไปยังยมโลก แต่ถึงอย่างนั้น…นี่ยังเป็นช่วงเวลาที่พลังหยิน นที่หนาแน่นและบริสุทธิ์ของยมโลกแผ่ออกไปในแดนมนุษย์ และกลายเป็นอาหารแก่วิญญาณโดยรอบทำให้วิญญาณหลายตนมีการพัฒนาสามัญสำนึกทางจิตวิญญาณของพวกเขาอีกด้วย”
“สำหรับวิญญาณเหล่านั้น การเดินทางมายังยมโลกนั้นก็เหมือนกับการตายโดยสมบูรณ์ ดังนั้นการหลบหนีจากยมโลกจึงเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณของพวกเขา”
ฉินเย่ยกมือขึ้นกุมขมับของตัวเอง สัญชาตญาณ…ไอ้สัญชาตญาณงี่เง่าเอ้ย! ราตรีขบวนร้อยอสูรอาจหมายถึงการหลั่งไหลของเหล่าวิญญาณเข้ามายังเมืองหวู่หยาง แต่มันก็ยังหมายถึงการถือ กำเนินของวิญญาณร้ายจำนวนมากด้วยเช่นกัน! เขาแทบจะไม่ได้เตรียมการสำหรับสถานการณ์เช่นนี้เลยแม้แต่น้อย…แต่…เขาจะโทษใครได้?
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว มันก็ไม่ใช่ว่าตี้ทิงไม่ได้เตือนเขามาก่อนเกี่ยวกับหายนะที่อาจจะเกิดขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่ตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้มีความสามารถมากอย่างที่ตัวเองค คิด
มุมมองของเขาต่อสิ่งต่าง ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่โหดร้ายของโลก
แต่เขาก็ไม่ได้ลงมืออะไร ตอนนี้เขาทำได้เพียงเชื่อมั่นในเหล่าทหารวิญญาณที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาเท่านั้น นอกจากนี้…
เขาหันไปหาราชาผีแห่งพิภพอสูร ก่อนจะพบกับรอยยิ้มประจบประแจงของอีกฝ่าย “เจ้ายืนอยู่ที่นี่”
“รับบัญชา” ราชาผีแห่งพิภพอสูรโค้งคำนับ
“ท่านแน่ใจหรือ?” อาร์ทิสกระซิบถาม
“เจ้าพยายามจะพูดอะไรกันแน่?!” ฉินเย่ถามกลับ “มันสนุกมากเลยหรือที่เห็นข้าทำอะไรโง่ ๆ?! พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่?!”
“ท่านอย่าลืมสิว่าผู้ใดกันที่เป็นคนทำให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น!” อาร์ทิสเองก็ตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ “มันผ่านมานานกว่าสองเดือนแล้วตั้งแต่ที่ท่านยึดครองนครเผิงชิวมาได้ ! หากจิตใจของท่านจดจ่อกับอยู่ยมโลก ท่านคิดว่าพวกข้าจะไม่เตือนท่านเกี่ยวกับสิ่งที่จะมาถึงหรืออย่างไร?!”
“ท่านคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติหรือที่ตี้ทิงจะเป็นผู้มอบคำชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องในยมโลกให้กับท่านด้วยตัวเอง? แต่ถึงกระนั้น ท่านกลับไม่คิดที่จะฟังคำสอนนั้นและหนีกลับไปยังแดน นมนุษย์เสียก่อน! ท่านคิดว่านครเผิงชิวนั้นเหมือนกับเมืองเป่าอันหรืออย่างไร?! ไม่! มันไม่เหมือนกัน! ไม่ว่าจะเป็นอาณาเขต คุณภาพหรือจำนวนของวิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปอย่ างสิ้นเชิง!”
“ท่านคิดว่าท่านจะสามารถปกคริงนครเผิงชิวได้อย่างที่ท่านปกครองเมืองเป่าอันอย่างนั้นหรือ? นี่มันฝันชัด ๆ! ทีนี้ท่านตระหนักได้แล้วหรือยังว่ายมโลกและแดนมนุษย์นั้นเป็นสถาน นที่ซึ่งแตกต่างกันอย่างชัดเจน?!!”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เดือดดาลเป็นอย่างมาก แต่มันก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถพูดได้
ความเงียบที่น่าอึดอัดปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ ทว่าทันใดนั้น…ทั่วทั้งเมืองก็กลายเป็นสีแดง
เปลวไฟนรกภายในโคมไฟกระดาษที่ถูกถือโดยเหล่าวิญญาณพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ในเวลาเดียวกัน วิญญาณทั้งหมดก็เงยหน้าขึ้นและมองไปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความละโมบ
พรึ่บ…
วิญญาณกว่าแสนตนก็หันมามองทางฉินเย่พร้อมกันในคราวเดียว เด็กหนุ่มก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปตามกระดูกสันหลังอย่างห้ามไม่ได้
“นี่มัน…”
“หนึ่งในกฎเหล็กของยมโลก” อาร์ทิสจ้องมองไปยังท้องฟ้าพร้อมกับอธิบายออกมา “วิญญาณทุกตนย่อมถูกดึงดูดโดยวิญญาณที่มีพลังสูงกว่า”
ทั่วทั้งเมืองหวู่หยางตกอยู่ในความเงียบ
ในเวลานี้ เสียงที่เขาได้ยินมีเสียงลมหายใจที่ถี่รัวของเหล่าคนตายเท่านั้น
“ครั้งที่แล้ว…ท่านได้หนีไปโดยไม่ได้ฟังตี้ทิงพูดจนจบ” อาร์ทิสเอ่ยต่อ “กฎแห่งการดึงดูดนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับความคิดหรือสติปัญญา กลับกัน มันเกิดจากสัญชาตญาณเพียงอย ย่างเดียว วิญญาณที่พัฒนาสามัญสำนึกทางจิตวิญญาณจะสามารถชั่งน้ำหนักระหว่างความสนใจของพวกเขาต่อวิญญาณตนหนึ่งกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ในขณะที่พวกที่ไม่มีสามัญสำนึกทางจิตวิญ ญญาณนั้น…“
นางเหลือบมองไปยังส่วนต่าง ๆ ของเมือง “พวกเขาจะถาโถมเข้ามา… กระหายที่จะกลืนกิน…หรือถูกกลืนกิน”
ทันใดนั้น เสียงโห่ร้องก็ดังก้องไปทั่วทั้งเมืองเนื่องจากวิญญาณนับแสนตนกรีดร้องออกมาพร้อมกัน เสียงกรีดร้องดังกล่าวแสดงถึงความหิวกระหายและความปรารถนาที่ชัดเจน และในเสี้ยววินาที ต่อมา วิญญาณที่อยู่ทั่วทั้งเมืองก็เริ่มเคลื่อนไหว พร้อมกับโคมไฟกระดาษสีแดงของพวกเขา
ทันใดนั้น เหล่าวิญญาณที่หมอบกราบอยู่กับพื้นก็ลุกขึ้นยืนราวกับวิญญาณที่เสียสติ กรีดร้องออกมาสุดเสียงและพุ่งตัวไปข้างหน้าราวกับกระแสน้ำที่รุนแรง ต้องการจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง งที่อยู่เบื้องหน้า
ซ่ากกกก!!!
เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นกลบเสียงสายลมในยามค่ำคืน ซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนลอยไปบนท้องฟ้า พร้อมกับมือที่ยื่นไปข้างหน้าและปากที่อ้ากว้าง ก่อตัวเป็นคลื่นสึนามิของเหล่าซากศพที่พุ งตรงไปยังโครงการพัฒนาเหมาหยวน!
มันเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก…
มากเสียจนแม้แต่ฉินเย่เองก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ภายในหัวของเขาว่างเปล่า เขาไม่ถามอาร์ทิสอีกต่อไปว่าเหตุใดนางจึงไม่บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ กลับกัน…เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ จับตาดูกลุ่มลูกไฟนรกที่พุ่งเข้ามาหาตนจากทั่วท ทุกทิศทางอย่างระมัดระวัง
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อครู่นี้อาร์ทิสถึงถามว่าเขาแน่ใจเกี่ยวกับการตัดสินใจของตัวเองแล้วใช่ไหม
เขาไม่รู้ว่าประตูนรกจะเปิดออกในคืนนี้ การเตรียมการของเขาเป็นไปอย่างเร่งรีบ และก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะรวบรวมพลังหยินจากสมุดแห่งความเป็นตายด้วยซ้ำ จากนั้น เมื่อประตูนรกเปิดอ ออก พลังหยินที่หลั่งไหลออกมาก็ดึงดูดวิญญาณทั้งหมด และกระตุ้นการพัฒนาสามัญสำนึกทางจิตวิญญาณของวิญญาณบางตนอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน เขาก็พาราชาผีแห่งพิภพอสูรขึ้นมาจากส่วนลึกของยมโลกเนื่องจากรู้สึกไม่สบายใจหากต้องปล่อยอีกฝ่ายอยู่ในยมโลก แต่ถึงกระนั้น…ราชาผีผู้นี้กลับเป็นวิญญาณที่ใช้ชี วิตหลังความตายส่วนใหญ่ของตนอยู่ภายใต้กงล้อแห่งสังสารวัฏ! หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขาคือวิญญาณที่มีกลิ่นหอมของกงล้อแห่งสังสารวัฏติดตัวอยู่!
กงล้อแห่งสังสารวัฏ…ตามตำนานกล่าวว่าถูกสร้างขึ้นจากร่างของราชินีแห่งแผ่นดินโฮ่วถู่เหนียงเหนียง…
หากราชาผีแห่งพิภพอสูรไม่อยู่ที่นี่ ฉินเย่คงจะสามารถจัดการกับวิญญาณร้ายเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่การปรากฏตัวของอีกฝ่ายกลับทำให้กลิ่นหอมของกงล้อแห่งสังสารวัฏได้ปรากฏขึ้ น ซึ่งมันเหมือนกับการแขวนสิ่งล่อใจเกี่ยวกับการกลับไปเกิดใหม่เอาไว้ตรงหน้าของเหล่าวิญญาณ บ่งบอกพวกเขาว่าพวกเขาจะสามารถไปเกิดได้ตราบใดที่พวกเขาเข้ามาถึงประตูนรก
แล้ววิญญาณท้ังหมดจะไม่กลายเป็นบ้าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความดึงดูดใจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
นอกจากนี้ มันยังมีกฎที่อาร์ทิสเพิ่งอธิบายให้เขาฟังอีก ฉินฮุ่ยคือขั้นฝู่จวิน และพลังหยินที่เขาแผ่ออกมาก็หนาแน่นกว่าของฉินเย่มาก ภายใต้อิทธิพลของกฎแห่งการดึงดูดและคว วามเย้ายวนของการกลับไปเกิดใหม่…เหล่าวิญญาณภายในเมืองหวู่หยางย่อมบ้าคลั่งเป็นธรรมดา
ในที่สุดฉินเย่ก็ตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตน ด้วยร่างที่สั่นเทา เขารีบหันกลับไปและตะโกนใส่ราชาผี “กลับไปที่ยมโลกเดี๋ยวนี้!!”
“หืม?” ราชาผีแห่งพิภพอสูรประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
“เดี๋ยวนี้! กลับไปยังยมโลกเดี๋ยวนี้!” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ ไม่…เขาจะสูญเสียความสุขุมของตัวเองไปไม่ได้! หากราชาผีแห่งพิภพอสูรพบว่าเทศกาลวันสารทจีนไม่ได้ถูกรับมืออย่างดี เท่าที่คิด ท่าทีของอีกฝ่ายจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน!
ในวินาทีนั้น ฉินเย่พลันรู้สึกว่าเขากำลังถูกกดดันจากทุกฝ่าย
เส้นด้ายที่มองไม่เห็นที่รายล้อมรอบร่างของเขาอยู่ได้มารวมตัวกัน ผูกมัดเขาอย่างแน่นหนาจนเขาแทบจะไม่สามารถหายใจได้
โชคชะตาไม่เคยปล่อยให้ใครหลุดพ้นจากเงื้อมมือของมัน
วงล้อแห่งโชคชะตาย่อมก่อให้เกิดผลลัพธ์เสมอ
และหากคน ๆ หนึ่งสบประมาทโชคชะตาของตัวเองมาเกินไป มันก็จะเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่คนผู้นั้นจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
“รับทราบ…” ราชาผีแห่งพิภพอสูรตอบกลับ จากนั้นริมฝีปากของเขาก็อ้าออกเล็กน้อย แทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังพูดอะไรบางอย่าง
ทว่าน่าเสียดายที่ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาเลยแม้แต่คนเดียว
ครืนนน!!! หลุมลึกใต้ฝ่าเท้าของราชาผีพลันส่งเสียงดังสนั่น ในวินาทีนั้น หลุมดังกล่าวก็ขยายตัวออกไปอีกหลายหมื่นเมตร กลืนกินถนนและสวนสาธารณะทั้งหมดที่อยู่โดยรอบลงไป ไม่นานห หลังจากนั้น เสาพลังหยินขนาดใหญ่ก็ระเบิดขึ้นมาจากด้านหลังของราชาผีแห่งพิภพอสูร ส่งผลให้เสื้อผ้าและเส้นผมของเขาสะบัดไปมาอย่างรุนแรง
ไม่กี่วินาทีต่อมา สิ่งก่อสร้างสีดำขนาดใหญ่ก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินและตั้งตระหง่านเหนือเมืองทั้งเมือง
“มันสายไปแล้ว” อาร์ทิสพึมพำออกมาเสียงเบา “ประตูนรกได้ปรากฏขึ้นแล้ว”
ฉินเย่จ้องมองไปยังหลุมลึกด้านล่างขณะที่สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น และสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือรูปปั้น หลังจากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาและหลับตาลง
มันคือรูปปั้นของตัวเขาเอง
เขาจำมันได้ในทันที มันคือเขาตอนที่อยู่ในร่างยมทูต
ที่ฐานของรูปปั้นดังกล่าวมีคำสลักอยู่ ‘จ้าวนรกฉินเย่’
ของแบบนี้ปรากฏขึ้นในแดนมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
แล้วมันปรากฏขึ้นในเมืองอื่น ๆ ของจีนด้วยหรือไม่?
ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยแล้วหรือ?!
น่าเสียดาย แต่เขาไม่มีเวลามากพอที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ด้วยแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรง สิ่งก่อสร้างดังกล่าวยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ! สิ่งที่อยู่ใต้รูปปั้นคือประตูโบราณขนาดใหญ่ ความสูงของมันยังไม่ชัดเจนนัก แต่ทุกคนที่เห็นมันก็สามารถบอกได้ทันทีว่าบานประตูดังกล่าวมีความกว้างอย่างน้อยพันเมตร
ด้านบนสุดของบานประตูถูกแขวนด้วยธงวิญญาณจำนวนมากห้อยลงมา และในวินาทีนั้น ทั่วทั้งท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเงินกระดาษที่กระจัดกระจายไปทั่ว โคมไฟสีแดงสองแถวถูกแขวนไว้ที่ทั้งส สองฝั่งของประตู
ครืนนน...
การเคลื่อนตัวขึ้นมาของบานประตูใช้เวลากว่าสิบนาทีเต็ม จนกระทั่งในที่สุดประตูขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของฉินเย่
มันมีความสูงประมาณ 400 เมตรและกว้างประมาณ 1,000 เมตร! บานประตูดังกล่าวดูราวกับเป็นประตูระหว่างโลก มันแผ่รัศมีของความยิ่งใหญ่ออกมา
โคมไฟสีแดงแขวนอยู่ทั้งสองฝั่งของประตูขยับไปมาตามกระแสลม ส่องให้เห็นถึงโคลงคู่หนึ่งที่ถูกติดเอาไว้
โคลงบทแรกเขียนเอาไว้ว่า: ผู้กระทำดีได้รับการต้อนรับ
ในขณะที่โคลงบทที่สอง: ผู้กระทำบาปจงสำนึก
ป้ายที่อยู่เหนือซุ้มประตู: ประตูนรก
เทศกาลวิญญาณทั้งสามคือช่วงเวลาที่ประตูนรกจะปรากฏขึ้น และเหล่าวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่ในแดนมนุษย์ก็จะสามารถเดินทางมายังยมโลกได้ในที่สุด ฉินเย่จ้องมองไปยังประตูขนาดใหญ่ตรงหน้า ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียง ‘กริ๊ก’ เบาๆ
หลังจากนั้น บานประตูก็ค่อย ๆ เปิดออก
แอ๊ดดดดด….
ขณะที่บานประตูเบิดออก กลุ่มก้อนพลังหยินที่เข้มข้นก็หลั่งไหลออกมาจากด้านใน กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาอีกประมาณสิบนาที จนกระทั้งบานประตูเปิดออกกว้างในที่สุด!
ฮืออออ...
เสียงร้องโหยหวนของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนดังมาจากด้านใน แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่ก็ต้องประหลาดใจกับข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งที่ปรากฏเบื้องหลังของประตูดังกล่าวไม่ใช่นครเผิงชิวแต่อย่างใด กลับกัน…พวกมันคือมือ!
มือจำนวนมาก!
มันแทบจะเหมือนกับว่าใครก็ตามที่เข้าไปใกล้ทางเข้าจะถูกลากเข้าไปในขุมนรกที่อยู่ด้านใน
บานประตูขนาดใหญ่ได้เปิดออกในยามค่ำคืน เผยให้เห็นมือจำนวนมากที่พยายามคว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกมันสามารถคว้าได้ เงินกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนแพร่กระจายทั่ว ในขณะที่ส่วนอื่น ๆ ขอ องเมืองก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงจากโคมไฟกระดาษสีแดงที่อยู่โดยรอบ มันเป็นภาพที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก!
และที่ทำให้เรื่องแย่กว่าเดิมก็คือ มันมีมือจำนวนมากที่พุ่งตรงมาทางเขา!
หากเขาไม่หลบมัน เขาจะต้องจมอยู่ภายใต้คลื่นวิญญาณจำนวนมากอย่างแน่นอน
ในวินาทีนั้น ฉินเย่รู้สึกอับจนหนทาง
นี่เขายังพยายามไม่พออย่างนั้นหรือ?
นี่เขา…ละเลยหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเองจริง ๆ น่ะหรือ?
หากไม่ใช่ แล้วเหตุใดทุกอย่างจึงกลายเป็นเช่นนี้? เหตุใดทุกสิ่งทุกอย่างจึงอยู่เหนือความคาดหมายและการควบคุมของเขาอย่างสิ้นเชิง?
“เฮ้อออ… ช่างบังเอิญเสียจริง…” ทันใดนั้นเอง เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นตัดผ่านความเงียบสงัดยามค่ำคืน ดึงให้ฉินเย่หลุดออกจากภวังค์ของตน
เมื่อเขามองไปทางต้นเสียง เขาก็เห็นวิญญาณที่เหมือนกับสุนัขซึ่งแต่งกายด้วยเครื่องแบบของเทพญี่ปุ่นในสมัยโบราณ และเท็งงุอีกตนหนึ่ง โดยเท็งงุตนนั้นกำลังจับร่างของลีจองซุกเอ อาไว้ขณะที่มันจ้องมองมาที่เขา
แข็งแกร่ง…
ภายในหัวของฉินเย่มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นทันทีที่เขาเห็นวิญญาณตรงหน้า
ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าอาร์ทิสอย่างแน่นอน! หากพูดกันตามตรง พวกนี้อาจจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับหลิวอวี้เลยก็ว่าได้ ยิ่งไปกว่านั้น…อีกฝ่ายยังสวมเครื่องแบบของญี่ปุ่น ซึ่งหมายความ มว่าวิญญาณทั้งสองตนนี้คือยมทูตนอกอาณาเขต! มันไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถกำจัดวิญญาณพวกนี้ได้ภายในการโจมตีเดียว!
ฉินเย่มองไปทางซ้ายมือของตน จากนั้นก็มองไปทางขวา
ข้างกายของเขามีเพียงแค่อาร์ทิสเท่านั้น
ทหารวิญญาณอีก 8,000 นาย…ได้ถูกสั่งให้ไปประจำการอยู่ที่ส่วนต่าง ๆ ของเมืองหมดแล้ว