ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 513: กระแสน้ำวนแห่งโชคชะตา (3)
บทที่ 513: กระแสน้ำวนแห่งโชคชะตา (3)
ฉินฮุ่ยได้เดินทางกลับไปยังยมโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม…เหล่าวิญญาณยังคงรวมตัวกันอยู่ในจุดที่อีกฝ่ายเคยอยู่
อีกทั้งพวกเขาก็ยังคงพุ่งตรงมาที่นี่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ และการมาถึงของวิญญาณเหล่านั้นย่อมหมายความว่าสถานที่ซึ่งเคยสงบสุขและเงียบสงัดกำลังเปลี่ยนเป็นความวุ่นวายไป ปหมด!
มันเหมือนกับการมาถึงของกระแสน้ำที่รุนแรง!
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ และในวินาทีนั้น เขาก็เข้าใจทุกอย่าง
ลีจองซุก…ช่างโหดเหี้ยมเสียจริง ไม่คิดเลยว่านางจะอดทนรอเวลาที่ยักษ์ทมิฬจะเสียสมาธิ ปีศาจตรงหน้าคงจะตกตะลึงกับข้อเท็จจริงที่ว่าเขาคือยมทูตที่มีชีวิตและเผลอลดการป้องกันของ ตัวเองลง ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาที่หญิงสาวจะสามารถลั่นไกไปที่หัวของยักษ์ทมิฬได้
จากนั้น นางก็คงจะสลับที่กับวิญญาณอารักษ์ของตัวเองทันทีที่ลงไปยืนอยู่ที่พื้น และตอนนี้ตัวของนางเองก็คงจะซ่อนตัวอยู่สักที่ท่ามกลางทะเลพลังหยินเหล่านี้ ในฐานะของผู้ที่ ยืนอยู่ระหว่างทั้งสองโลก พวกวิญญาณย่อมปฏิบัติกับนางเหมือนกับเป็นพวกของตนเอง และนางจะปลอดภัยอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกัน หากคาราสุเท็งงุและยักษ์ทมิฬต้องการจะระบุตำแหน่งของน นางอีกครั้ง พวกมันก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องต่อสู้กับเหล่าวิญญาณทั้งหมดเพื่อตามหานาง!
สุดยอดมาก! เด็กหนุ่มแย้มยิ้มกว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มพร่าเลือน และกระแสลมนรกก็เริ่มหมุนรอบตัวเขา
ฉินเย่ได้เปิดใช้เศษตราจ้าวนรกของตัวเองตั้งแต่ตอนที่ลีจองซุกบอกเขาแล้วว่ายักษ์ทมิฬยังคงมีชีวิตอยู่ และมันก็ผ่านมากว่าห้าวินาทีแล้วนับตั้งแต่ตอนนั้น
หลังจากการไล่ตามอย่างเข้มข้นกว่าสิบนาที ในที่สุดเขาก็มีช่องว่างให้ได้หลบหนีกลับไปยังยมโลก!
…………………
ย้อมกลับไปในลิมโบ ณ จุดที่ตี้ทิงอยู่
ดอกบัวสีทองจำนวนมากเบ่งบานอยู่กลางอากาศ น้ำหมึกได้หยดลงมาจากรากของมัน หลั่งไหลไปสู่ปลายด้ามพู่กันของโชคชะตาขณะที่มันยังคงเขียนบทละครบทสุดท้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในเทศกาลวัน นสารทจีน
ทีละเล็กทีละน้อย…มันเขียนบทสำหรับการมาบรรจบกันของความบังเอิญที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์ ตี้ทิงมองดูมันจากด้านข้าง ในขณะที่ร่างมายาร่างหนึ่งนอนเอนกายอยู่บนหัวของตี้ทิง
“นายท่าน...เขาคงจะไม่ตกอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่?” ตี้ทิงถามขณะที่มันยังคงอ่านสิ่งที่ถูกเขียนโดยโชคชะตา ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มดุเดือดขึ้น และมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลขึ้นภาย ยในใจ
“อาจจะ” จ้าวนรกองค์ที่สองเอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเล “คนเรา…มักต้องเผชิญหน้ากับความพลิกผันในชีวิต บางสิ่งอาจนำมาซึ่งความสุข ในขณะที่บางสิ่งนำมาซึ่งความเศร้าโศก ไม่มีใครที่ได้ใ ใช้ชีวิตอย่างราบรื่น เขาคงจะรู้สึกโกรธเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้น เราก็ควรปล่อยให้เขารู้สึกทรมานกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ดีกว่าที่ทั่วทั้งแผ่นดิน จีนจะต้องรู้สึกผิดหวังกับเขาหลังจากนี้”
“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงผลกรรมชนิดหนึ่งเท่านั้น โชคชะตาเพียงแค่ทำให้ผลการกระทำของเขามาถึงเร็วขึ้น แน่นอนว่ามันต้องเกิดอันตรายขึ้นอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรแล้ว อุบัติเหตุก็เป็น วิธีการอย่างหนึ่งในการมาบรรจบกันของโชคชะตา แต่ไม่ว่าอย่างไร…”
“เจ้าสามารถวางใจได้หากข้ายังอยู่”
ขณะที่พูด การเคลื่อนไหวของโชคชะตาก็หยุดนิ่งไป มันกระตุกเล็กน้อย และก็หยุดเขียนไปชั่วขณะหนึ่ง นอกจากนี้…ถ้อยคำที่ถูกเขียนด้วยพลังหยินก็กระเพื่อมก่อนจะจางหายไป
“นี่มัน…” ตี้ทิงตกตะลึง แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไร ร่างมายาด้านบนก็ลืมตาขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้น ร่างของเขาก็หายไปก่อนจะปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของโชคชะตา และจับมันเอาไว้ ด้วยมือของตนเอง
ทันใดนั้น ลำแสงอันเจิดจ้าก็พุ่งออกมาจากโชคชะตา แทบจะเหมือนกับว่ามีพลังที่มองไม่เห็นกำลังบังคับให้มันเขียนโชคชะตาของฉินเย่ขึ้นใหม่
แสงสีทองส่องประกายออกมาจากโชคชะตาราวกับกระแสคลื่นที่รุนแรง ส่งผลให้เสื้อผ้าของจ้าวนรกองค์ที่สองขาดกระจาย แม้แต่เกล็ดของตี้ทิงเองก็สั่นไม่หยุด โชคชะตาพยายามต่อต้านแรงของ จ้าวนรกองค์ที่สอง พยายามเสียจนมันส่งเสียงกรีดร้องที่แหลมเสียดหูออกมา
กรี๊ดดดดดด!!!
คลื่นกระแทกที่ถือกำเนิดจากเสียงกรีดร้องดังกล่าวส่งผลให้ภูเขาที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรพังทลายลงภายในชั่วพริบตา!
เส้นเลือดบนมือของจ้าวนรกองค์ที่สองปูดโปนขึ้นขณะที่เขาพยายามควบคุมโชคชะตาที่อยู่ในมือ นี่คือชายผู้ที่ได้รับการกล่าวขานว่าแข็งแกร่งที่สุดในสามโลก เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ กด ดมันเอาไว้ และตะโกนออกไปด้วยเสียงอันทรงอำนาจ “บังอาจ!!!”
ตู้ม!
อากาศโดยรอบสั่นสะเทือน แทบจะเหมือนกับว่าความสงบสุขได้กลับคืนมาสู่อาณาจักรทั้งหมด จากนั้นโชคชะตา…ก็เริ่มเขียนอีกครั้ง
ตี้ทิงอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ก่อนจะถามว่า “นายท่าน...นั่นมันอะไรกัน?”
“ตราจ้าวนรก” จ้าวนรกองค์ที่สองสะบัดมือเพื่อไล่ความตึงของกล้ามเนื้อ “ควรค่าแก่การถูกเรียกว่าเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของยมโลกอย่างแท้จริง หากฉินเย่มีเศษตราจ้าวนรกอยู่ในครอบครอ องมากกว่านี้แม้เพียงชิ้นเดียว ข้าก็อาจจะไม่สามารถควบคุมมันได้…”
“ก่อนหน้านี้ เขาหาเวลาในการใช้งานเศษตราจ้าวนรกได้ แต่…ข้าไม่ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น”
ใบหน้าของตี้ทิงบิดเบี้ยวเล็กน้อย “แต่นายท่าน...นั่นดูเหมือนจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนักมิใช่หรือ? สถานการณ์ในตอนนี้ดูค่อนข้างอยู่ในช่วงวิกฤต…”
“วิกฤตอย่างนั้นหรือ?” จ้าวนรกองค์ที่สองนั่งลงและหลับตาลงอีกครั้ง “วิกฤตก็ดี…”
“มีเพียงตอนที่อยู่ในช่วงเวลาวิกฤตเท่านั้นที่คน ๆ หนึ่งจะเริ่มหมดความอดทน และการหมดความอดทนก็นำมาซึ่งการตัดสินใจที่ย่ำแย่ และการตัดสินใจที่ย่ำแย่…ก็จะนำมาซึ่งความเจ็บปวด มี เพียงตอนที่เจ็บปวดที่สุดเท่านั้นที่เขาจะเรียนรู้และเข้าใจ”
“ไม่ต้องห่วง แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถยับยั้งอำนาจของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ได้โดยสมบูรณ์ ทั้งหมดที่ข้าทำมีเพียงแค่การชะลอผลของมันเท่านั้น… เพราะไม่ว่าอย่างไร โชคชะตาของจ้าวนรกก็ไ ไม่ควรถูกเขียนโดยโชคชะตาอยู่แล้ว พวกเราเพียงปล่อยให้กฎเกณฑ์ของโชคชะตาธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดอุบัติเหตุ หรือการเริ่มต้นใหม่ของการเขียนของโชคชะตา ห้านาที ถ้าเขาสามารถอยู่ รอดได้ถึงห้านาที เขาจะเป็นผู้ที่ได้หัวเราะในตอนท้ายที่สุด”
ตี้ทิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไป ไม่กี่วินาทีต่อมา มันก็ถามขึ้นอย่างระวัง “แล้ว…หากเขาอยู่ไม่ถึง?”
จ้าวนรกองค์ที่สองตอบกลับเสียงเรียบ “เจ้ายังจำกฎของยมโลกเกี่ยวกับกองกำลังภายนอกได้หรือไม่?”
ตี้ทิงพยักหน้า “ผู้ที่กระทำผิดจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต?”
จ้าวนรกองค์ที่สองพยักหน้า “อิซานามิกำลังทำในสิ่งที่เกินความสามารถของนางเอง”
………
กลับมาในแดนมนุษย์ รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่ชะงักค้างไป
ทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าของเขากำลังจะหายไปเมื่อจิตใต้สำนึกของเขาดูเหมือนว่าจะถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?!” เขามองไปที่อกของตัวเองด้วยความเหลือเชื่อ สิ่งใดกันที่สามารถขัดขวางการทำงานของเศษตราจ้าวนรกได้?
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ มนุษย์ทุกคนล้วนเกลียดความเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อสถานการณ์เร่งด่วนเกิดขึ้น สิ่งที่สมควรทำมากที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับมันโดยตรง
ฉินเย่รีบพุ่งตัวออกไป มันเห็นได้ชัดเจนเลยว่าลีจองซุกมีบางสิ่งบางอย่างที่ยมทูตญี่ปุ่นทั้งสองต้องการ และมันก็ยังชัดเจนอีกด้วยว่าสิ่งหนึ่งที่ฉินเย่และหญิงสาวมีเหมือนกันก็ค คือข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้กินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไป หากฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถระบุตำแหน่งของลีจองซุกได้ เป้าหมายต่อไปของอีกฝ่ายก็ย่อมต้องเป็นเขา!
ขณะที่หนี เขาก็หยิบเศษตราจ้าวนรกออกมาดู เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งใดกันที่จะสามารถหยุดการทำงานของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ได้
แต่เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าเศษตราจ้าวนรกในเวลานี้ได้ถูกปกคลุมด้วยชั้นผงสีทอง มันไม่ใช่ทั้งพลังหยินหรือพลังปราณ แต่มันคือสิ่งที่มีพลังอำนาจมากกว่าทุกสิ่งที่เขาเคยเจ จอมา และมันก็เป็นเพราะพลังแปลกประหลาดนี้เองที่ได้ตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างเขากับเศษตราจ้าวนรก ขัดขวางไม่ให้ใช้งานมัน
“ห้านาที?!” เขาพุ่งตัวไปด้วยความเร็วสูง เร็วเสียจนกล้ามเนื้อของตนเริ่มสั่นเทา
คาราสุเท็งงุจ้องไปทางเด็กหนุ่ม ในขณะที่ยักษ์ทมิฬจ้องมองไปยังทิศทางการหลบหนีของลีจองซุก หลังจากนั้นไม่นาน ยักษ์ทมิฬก็ชูกรงเล็บของมันขึ้นกลางอากาศและกัดฟันแน่น “บัดซบ…บัด ดซบที่สุด!!!”
ตู้ม!
เสื้อผ้าของมันกระพืออย่างรุนแรงจากเสียงคำรามที่ดังสนั่นนั้น ภายในชั่วพริบตา มันก็เริ่มลงมือ ประสานอินอย่างรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน จากนั้นจุดสีดำก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของ งมัน
ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ก็ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมองเลยสักนิด เขาสัมผัสได้ว่าพลังหยินของยักษ์ทมิฬได้พุ่งสูงขึ้นจนเลยขั้นตุลาการนรกและใกล้จะก้าวเข้าสู่ขั้นฝู่จวินไปเป็นที่เ เรียบร้อยแล้ว!
และที่เป็นเรื่องแย่กว่าเดิมก็คือ อีกฝ่ายกำลังยืนอยู่ถัดจากประตูนรก ดังนั้น การหลบหนีผ่านทางประตูนรกจึงไม่สามารถเป็นไปได้ ทางเลือกที่ดีที่สุดต่อไปของฉินเย่คือการรีบไปร รวมตัวเหล่าทหารวิญญาณ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว พวกเขาก็ล้วนเป็นระดับหัวกะทิทั้งสิ้น และพวกเขาย่อมตรวจจับถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นบริเวณนี้ได้อย่างแน่นอน…
แต่ความคิดของเขากลับผิดคาด ยักษ์ทมิฬและคาราสุเท็งงุไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวไปจากจุดเดิมเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นาน ยักษ์ทมิฬก็ประกบมือเข้าด้วยกัน กระแสน้ำวนพลังหยินที่กว ว้างกว่าพันเมตรได้ก่อตัวขึ้นล้อมรอบร่างของเขา เสียงร้องโหยหวนของเหล่าวิญญาณดังขึ้นให้ได้ยินจากภายใน คาราสุเท็งงุอ้าปากค้าง ขณะที่ขนบนร่างของมันลุกชัน และมันก็ตะโกนถา ามออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “เจ้า…ฮื่อ…เจ้ากำลังจะ…!”
“เจ้า… ฮื่อ… กำลังจะเรียกขบวนร้อยอสูรอย่างนั้นหรือ?! นี่เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?!”
“ใช่ ข้าเสียสติ…” ยักษ์ทมิฬกลับคืนสู่ร่างครึ่งคนครึ่งสุนัขดังเดิม มันยืนอยู่ท่ามกลางสายลมกระโชกแรก และด้วยร่างที่สั่นเทา มันยกมือขึ้นสางผมของตัวเอง “ถูกต้อง… ข้าเสียสต ติไปแล้วจริงๆ…”
“หากเราหาตัวลีจองซุกไม่เจอ พวกเราทั้งหมดจะต้องตาย!!” ปากของมันเปิดออกกว้าง และดวงตาสีแดงก่ำจำนวนมากก็ลืมขึ้นภายในความว่างเปล่า ในขณะเดียวกันมันคว้ามือของคาราสุเท็งงุ ก ก่อนทั้งสองจะกลายร่างเป็นกระแสลมที่หลอมรวมเข้าไปกับกระแสน้ำวนพลังหยินที่อยู่โดยรอบ
ความรู้สึกอันตรายไล่ไปตามหลังคอของฉินเย่ สถานการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว… พลังของยมทูตญี่ปุ่นทั้งสองพุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง! อีกฝ่ายกำลังจะบรรลุแล้ว!
และสิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ามันมีร่างกว่าร้อยร่างปรากฏขึ้นในกระแสน้ำวนที่พลังหยินพุ่งไปรวมตัวกัน โดยแต่ละแห่งล้วนปล่อยพลังของขั้นยมทูตขาวดำออกมาทั้งสิ้น น!
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ปีศาจที่มีความสูงกว่าสิบเมตรก็ปรากฏตัวขึ้นจากใจกลางของกระแสน้ำวนที่รุนแรงนั้นพร้อมกับเสียงร้องคำรามที่น่าตกใจ
สิ่งมีชีวิตสองหัว หัวหนึ่งคือหัวของคาราสุเท็งงุ และอีกหัวหนึ่งคือหัวของยักษ์ทมิฬ ร่างของมันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสีแดงสด ในขณะที่ขนสีขาวดูเหมือนจะกระจายอยู่ ณ ส่วนต่าง ๆ ของร่าง สวมทับด้วยชุดเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง และพลังหยินที่ไหลเวียนอยู่รอบร่างของมัน….ก็อยู่ขั้นฝู่จวิน!
ฉินเย่กัดฟันแน่น เขาไม่กล้าจะหันกลับไปมองด้านหลังเลยแม้แต่น้อย ปีศาจตนนั้นได้เสียสติไปแล้ว ความหวาดกลัวที่มีต่อยมโลกและความโกรธที่มีต่อลีจองซุกได้กระตุ้นให้พวกมันใช้วิชา ที่รุนแรงที่สุด เพื่อบดขยี้ สังหาร และทำลายล้างทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าฉินเย่ไม่สามารถกลับไปยังยมโลกได้!
ความรู้สึกเสียใจผุดขึ้นมา เขาไม่คิดว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในระหว่างเทศกาลวันสารทจีน การเตรียมการของเด็กหนุ่มยังน้อยเกินไป หากพูดกันตามตรง เหตุการณ์เช่นนี้ถูกบันท ทึกไว้ในเอกสารมากมายของยมโลกแห่งเก่า การขาดการเตรียมการเหล่านี้เป็นความสะเพร่าของเขาเอง
แต่ถึงกระนั้น นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาทบทวนความผิดของตัวเอง มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาโอดครวญเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดไปแล้ว กลับกันสิ่งที่เขาสามารถทำได้ตอนนี้ก็คือมองไปข้างหน้าและ ะยอมรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงมุ่งหน้าตรงไปที่รอบนอกของโครงการพัฒนาเหมาหยวน ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเองในที่สุด
มันน่ากลัวมาก เขาเห็นบางอย่างอยู่ที่เท้าของตัวเอง กระแสน้ำวนสีดำที่ปรากฏขึ้นดูไม่ต่างอะไรกับนรกบนดินเลยแม้แต่น้อย และร่าง ๆ หนึ่งก็ปีนออกมาจากกระแสน้ำวน ก่อนจะมาปรากฏ ฏตัวขึ้นที่ด้านล่างของเขา!
“หึหึ!” มันเป็นเสียงหัวเราะที่แหลมสูง ตนแรกที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นคือชายวัยกลางคนที่สวมชุดกิโมโน ร่างดังกล่าวหัวโล้นและมีหนวดเครารุงรังไปหมด
คนแคระ…
ชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่ปกปิดแขนขาของเขาจนดูเลือนลาง แต่ฉินเย่ก็ยังสามารถบอกได้จากพลังหยินที่ไหลออกมาว่าร่างดังกล่าวมีตัวตนอยู่จริง
ขั้นยมทูตขาวดำ
ขั้นยมทูตขาวดำที่แท้จริง
และที่ทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิมก็คือ เด็กหนุ่มจำได้ว่าเขาเคยเห็นภาพของวิญญาณเช่นนี้ตอนที่เขาอ่านเอกสารของยมโลกแห่งเก่า
มันคือนูราริเฮียง โยไกชนิดหนึ่ง ตำนานกล่าวว่านูราริเฮียงคือผู้ที่มีอำนาจเหนือเหล่าโยไกด้วยกัน และมันก็สามารถควบคุมโยไกกว่าร้อยตนได้ในคราวเดียว*[1]
ทันทีที่นูราริเฮียงปรากฏตัวขึ้น ร่างอีกจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏตัวขึ้นมาในทันที ขณะที่พวกมันทั้งหมดลอยตัวขึ้นจากพื้นแทบจะในเวลาเดียวกัน!
บางตนสวมกิโมโน บางตนดูราวกับแมงมุม บางตนดูสวมหน้ากากฮันเนียที่ดูน่ากลัว*[2] บางตนถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลวไฟนรก บางคนถือโคมไฟกระดาษและต่อแถวกันเป็นขบวนโครงกระดูก... ในวิ นาทีนั้น วิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในความมืด!
ทันทีที่โยไกทั้งหมดปรากฏตัวขึ้น พวกมันก็ลอยไปอยู่ล้อมรอบร่างของปีศาจที่ถือกำเนิดจากคาราสุเท็งงุและยักษ์ทมิฬเอาไว้ และภายในชั่วพริบตา กระแสน้ำวนสีแดงเข้มของพลังหยินก็พัด ดวนอยู่รอบร่างของปีศาจตนนั้น! ลูกไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนลอยไปมาในอากาศอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเหล่าวิญญาณ พลังหยินแพร่กระจายออกไปโดยรอบ ขยายตัวออกไปทั่วอาณาเขตขอ องเมืองหวู่หยาง…
และในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ทั่วทั้งพื้นที่ได้กลายเป็นนรกบนดิน! และปีศาจที่มีขนาดสูงกว่าสิบเมตรก็คือนายของดินแดนใหม่นี้!
หลังจากนั้น ปีศาจตนนั้นก็หันมองไปที่ฉินเย่!
[1] โยไกในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ภูติ หรือ ปิศาจ
[2] ชื่อหน้ากากที่ใช้ในการแสดงละครโนะของญี่ปุ่น แสดงถึงลักษณะของปีศาจหญิงขี้อิจฉา