ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 515: จุดจบของโชคชะตา (2)
บทที่ 515: จุดจบของโชคชะตา (2)
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด…!
หลินฮั่นจ้องมองโทรศัพท์ของตนเองด้วยสายตาตกตะลึง หลังจากผ่านไปสามวินาที เขาก็ชูมือขึ้นบนฟ้า “รองผู้อำนวยการโจว โทรติดแล้วครับ!”
ทว่าทันใดนั้นเอง ความรู้สึกเย็นยะเยือกก็ไหลลงไปตามกระดูสันหลัง เขารีบหดมือลงทันที แต่มือที่ถือโทรศัพท์ยังคงกำแน่นแม้ว่าจะสั่นเทาเล็กน้อยก็ตาม
ในขณะเดียวกัน วิญญาณสาวที่ถือโคมไฟสีแดงก็ลอยขึ้นมาจากพื้นเบื้องหน้า ร่างของนางสวมทับด้วยชุดกิโมโนที่สวยงาม โดยที่ช่วงล่างของนางมีรูปลักษณ์คล้ายกับหางงูจำนวนมากที่เลื้อย ยไปมาอยู่
“[ภาษาญี่ปุ่น] อาหาร...” นางไล่นิ้วไปตามริมฝีปากของตัวเอง แต่ก่อนจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ ร่างของนางก็บิดเบี้ยวและสลายหายไปเสียก่อน
โจวเซียนหลงลดมือลง แต่แทนที่จะตอบรับคำเรียกของหลินฮั่นก่อนหน้านี้ เขาเพียงหันไปมองทางส่วนอื่น ๆ ของเมือง
ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำกว่าร้อยตน มันเป็นความรู้สึกที่น่าขนลุกเป็นอย่างมาก วิญญาณขั้นยมทูตขาวดำกว่าร้อยตนปรากฏตัวขึ้นในเมืองหวู่หยาง แ และพวกมันก็ไม่ใช่วิญญาณจีนเลยสักตน!
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?!
ห่างออกไปไม่ไกล วงล้อเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวได้เคลื่อนตัวไปตามท้องถนน กลืนกินทุกดวงวิญญาณที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่มันผ่าน จากนั้น แทบจะเหมือนกับว่าสัมผัสได้ถึงกระแส พลังของโจวเซียนหลง มันรีบหมุนตัวและกรีดร้องออกมาในขณะที่เคลื่อนตัวไปในทิศทางตรงข้ามทันที
“บัดซบ…” โจวเซียนหลงกำหมัดแน่นและหันไปหาโม่ฉางห่าว “คุณระบุตำแหน่งของความวุ่นวายครั้งนี้ได้หรือยัง?”
โม่ฉางห่าวพยักหน้า “ผมเพิ่งตรวจพบถึงการแปรปรวนอย่างรุนแรงของพลังงานที่อยู่ในพื้นที่บริเวณโครงการพัฒนาเหมาหยวนครับ!”
“ดี พวกเราจะรีบมุ่งหน้าไปที่นั่นทันที!” โจวเซียนหลงกัดฟันแน่นและเตรียมที่จะจากไป แต่แล้วเขาก็หยุดชะงักและหันไปหาหลินฮั่น “มีคนรับโทรศัพท์หรือยัง?”
“ยังครับ!”
โม่ฉางห่าวที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปสั่ง “รีบตามหาพิกัดโทรศัพท์ของเขาเดี๋ยวนี้!”
“เรียบร้อยแล้วครับ” อัลบาทรอสคนหนึ่งเดินเข้ามาและเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “และมันก็บังเอิญมาก เพราะเขาเองก็อยู่ที่โครงการพัฒนาเหมาหยวนเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวเซียนหลงที่กำลังจะพุ่งตัวออกไปก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงหันกลับไปมองผู้พูดด้วยความตกตะลึง “คุณแน่ใจหรือเปล่า?”
“เมื่อครู่นี้ พวกเราตรวจจับได้ถึงการแปรปรวนของพลังหยินขั้นฝู่จวิน เขาจะยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอเมื่อเราไปถึง?”
“ผมแน่ใจครับ” อัลบาทรอสคนนั้นโน้มตัวมาและกระซิบเสียงเบา “รองผู้อำนวยการโจว คุณคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าโทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่สอบสวนทุกคนนั้นถูกเชื่อมต่อกับระบบดวงตาสวรรค์ โดยตรง และชิปตรวจสอบที่เชื่อมต่อกับเจ้าหน้าที่แต่ละคนก็ไม่ได้มีประโยชน์แค่สำหรับการระบุตำแหน่งของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังสามารถตรวจจับถึงความผันผวนของพลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่ างของพวกเขาด้วย ซึ่งพวกเราก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ตลอดเวลา”
“ผมสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่าเมื่อครู่นี้พวกเราตรวจพบถึงความผันผวนของพลังงานที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา”
หางตาของโจวเซียนหลงกระตุกเล็กน้อย “ความผันผวนของพลังงาน?”
“ครับ” อัลบาทรอสพยักหน้า “และมันก็ไม่ใช่พลังปราณด้วย”
ไม่มีเสียงเอ่ยตอบ หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ โจวเซียนหลงก็ถอนหายใจออกมา “รีบไปกันเถอะ!”
……………
“บัดซบ… บัดซบ!!!” บุตรแห่งซูซะกัดฟันแน่นและสบถออกมาขณะที่มันจ้องมองไปยังจุดที่อยู่ห่างออกไป
มันลืมไปได้อย่างไรยังมีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย…
มนุษย์ผู้นี้เพียงยืนอยู่ตรงนั้น มองดูการต่อสู้ทั้งหมดด้วยสีหน้านิ่งเฉย เห็นได้ชัดเลยว่าชายผู้นั้นแข็งแกร่งกว่ามันมาก แต่มันกลับดูเหมือนเขาจะพึงพอใจกับการเป็นแค่ผู้ยืนด ดูเท่านั้น…
หากพูดกันตามตรง บุตรแห่งซูซะยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวของสิ่งประดิษฐ์ระดับเทพเจ้าอีกด้วย
ดังนั้นบุตรแห่งซูซะจึงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนที่น่าสะพรึงกลัวผู้นี้มาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายตัดสินใจที่จะเข้ามาขัดขวางมันเสียเอง
“เจ้าพยายามรนหาที่ตายอย่างนั้นหรือ?!” ปีศาจร่างใหญ่คำรามออกมาด้วยความโกรธ มันผ่านไปกว่า 15 นาทีแล้วที่ประตูนรกได้เปิดออก และทหารวิญญาณได้ปรากฏตัวขึ้น ตามบันทึกเก่า ๆ ขั้น ฝู่จวินของยมโลกจะมาถึงที่แดนมนุษย์ในอีกไม่ช้านี้ การเข้ามาแทรกแซงของชายสูงวัยได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมที่สุด! มันเป็นการเข้ามาแทรกแซงที่ปิดกั้นโอกาสในการไล่ล่าฉิ นเย่ของมันไปอย่างสิ้นเชิง!
ชายสูงวัยไม่ตอบ กลับกันเขาเพียงชูเศษซากกระบี่เซวียหยวนในมือขึ้นขณะที่มองไปยังบุตรแห่งซูซะ
“ลองดูสิ”
บุตรแห่งซูซะจ้องชายสูงวัยเขม็ง ต้องการจะฉีกกระชากร่างของอีกฝ่ายออกและกลืนกินหัวใจของมนุษย์ตรงหน้าซะ
แต่มันไม่กล้า…
กระบี่เล่มนี้อาจจะได้รับความเสียหาย แต่มันก็ยังแผ่รัศมีอันทรงพลังที่สร้างความรู้สึกเย็นยะเยือกให้กับปีศาจร่างยักษ์ได้อยู่ดี ในวินาทีนั้น พวกเขาพบว่าพวกตนเพียงแค่ยืนสบตา กันนิ่งโดยไม่มีฝ่ายใดขยับตัว แต่หลังจากเวลาผ่านไปกว่าสิบวินาที บุตรแห่งซูซะก็ถอนหายใจออกมาและมองไปที่ฉินเย่พร้อมกับกัดฟันแน่น
“นับว่าเจ้าโชคดีไป…” เมื่อเอ่ยจบ ร่างของมันก็เปลี่ยนเป็นกระแสลมที่พร้อมจะถอยหนีทันที
มันจำเป็นจะต้องลดความสูญเสียของตนเอง การดำเนินการครั้งนี้อาจจะล้มเหลว แต่หากมันไม่สามารถหาตัวลีจองซุกได้ มันจะต้องถูกสังหารอยู่ในแผ่นดินจีนอย่างแน่นอน!
แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับคำตอบกลับจากฉินเย่ “นับว่าข้าโชคดีอย่างนั้นหรือ?”
นี่เจ้าอยากตายหรืออย่างไร?! บุตรแห่งซูซะหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ดวงตาสีแดงก่ำของมันมองทะลุกลุ่มก้อนพลังหยินและจ้องเขม็งไปที่ฉินเย่ ในขณะเดียวกัน ชายสูงวัยที่ลอยตัวอยู่บนฟ้าเ เองก็เหลือบตามอง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองต่างตกตะลึงกับการตอบกลับของฉินเย่
ร่างของฉินเย่เริ่มกระเพื่อมไปมาราวกับเงาสะท้อนบนผิวน้ำ พลังหยินที่หนาแน่นไหลอยู่รอบร่างของเขาขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความโกรธ “เจ้าต่างหากที่โชคดี…”
“หลังจากที่ได้สังหารทหารวิญญาณไปจำนวนมาก เจ้ายังคิดอีกหรือว่าตัวเองจะได้ออกไปจากที่นี่?!”
ในที่สุดระยะเวลาห้านาทีก็สิ้นสุดลง!
…………
พรึ่บ…
แสงสีทองปะทุขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้โชคชะตาไม่ได้สั่นเทากับการปะทุของลำแสงเลยแม้แต่น้อย เพราะมันคือคำที่ได้ถูกเขียนลงไปต่างหากที่เปล่งประกายแสงออกมา
“นี่มันอะไรกัน?!” ตี้ทิงที่เห็นเช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืน
ในขณะที่จ้าวนรกองค์ที่สองเพียงอธิบายด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เขาสามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้กับโชคชะตาได้อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่สมควรถูกเขียนก็ได้ถูกเขียนไปจนหมดแล้ว ว บทสรุปนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
“เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว…” เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า “จุดจบของบทละครที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้…กำลังจะมาถึง…”
ตี้ทิงชะงักไป จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา “ท่านจะไปพบเขาหรือไม่?”
“ข้าจะต้องได้พบกับเขาในท้ายที่สุด แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น” จ้าวนรกองค์ที่สองลุกยืนขึ้น “มันมีบางอย่างที่ข้าจำเป็นจะต้องสอนเขาด้วยตัวเอง แต่…หากเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อย ยากจะถูกเขาต่อยเลยสักนิด”
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินเย่ก็คงจะไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างลอยนวลหากเด็กหนุ่มได้รับรู้ถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องในครั้งนี้…
“เรามารอลุ้นตอนจบกันดีกว่า” เขาลูบอุ้งมือของตี้ทิงเบา ๆ “ข้าจะช่วยเจ้าเอง เจ้าไม่ได้กลับไปยังแดนมนุษย์มานานแล้วใช่หรือไม่? ไปช่วยเขา การที่ได้เห็นยมโลกตกอยู่ในสภาพที่เ เสื่อมโทรมเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดจริง ๆ”
“แต่เจ้าก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกันว่าเจ้าจะไปปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด”
สิ้นสุดเสียงพูด เขาก็ตบเบา ๆ ร่างของตี้ทิง และอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็หายวับไป
………
ฟึ่บ...
ราชาผีแห่งพิภพอสูรรีบเข้าไปคารวะฉินเย่ทันทีที่เด็กหนุ่มกลับมายังยมโลกอีกครั้ง “นี่มัน…ท่านจ้าวฉิน เกิดอะไรขึ้น…?!”
ราชาผีที่กำลังช่วยพยุงฉินเย่ให้ยืนขึ้นชะงักไป
ใบหน้าของเด็กหนุ่มในเวลานี้ซีดเผือด เลือดไหลออกมาจากมุมปาก และ…มีกลิ่นอายของขั้นฝู่จวินแผ่ออกมาจากร่าง
จะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในแดนมนุษย์เป็นแน่!
นี่คือความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
และจากนั้น ความคิดมากมายก็ตามมาติดๆ
ประตูนรกได้เปิดออกอีกครั้งในเทศกาลวันสารทจีน จ้าวนรกได้เข้ามาดูแลสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์ด้วยตนเอง แต่แล้วก็ต้องกลับมาพร้อมกับบาดแผลมากมาย ยมโลกไม่ได้แข็งแกร่งอ อย่างที่พวกเขาพยายามจะแสดงออก
ผู้ที่แสนจะเจ้าเล่ห์อย่างราชาผีแห่งพิภพอสูรนั้นเชี่ยวชาญในการสังเกตถึงสิ่งผิดปกติ ความจงรักภักดีเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันสำหรับพวกเขา เขาสามารถยกย่องคน ๆ หนึ่งได้ แต่ก็สามารถ ถสังหารคนผู้นั้นได้โดยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ เช่นกัน
“ท่านจ้าวฉิน” เขารีบช่วยฉินเย่ให้ลุกยืนขึ้น “เหตุใดท่านจึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้?”
“ผู้ใดกันที่กล้าโจมตีจ้าวนรกแห่งยมโลก? ราชองครักษ์ของท่านอยู่ที่ใด? แล้วท่านตี้ทิงและท่านจูล่งเล่า? หรือว่า…ตอนนี้พวกเขาได้กลายเป็นเพียงตำนานไปแล้ว?”
ทว่าทันใดนั้น มือของฉินเย่ก็คว้าเข้าที่ลำคอของอีกฝ่ายและยกร่างของราชาผีขึ้น
ความโกลาหลที่เกิดขึ้นในคืนนี้เป็นเพราะการละเลยหน้าที่ของเขา เทศกาลวันสารทจีนล้มเหลว แถมเขายังต้องสูญเสียทหารวิญญาณระดับสูงไปอีกหลายพันนาย แล้วฉินฮุ่ยกล้าดีอย่างไรถึงมาแห หย่รังแตนในเวลานี้?
“ราชาผีแห่งพิภพอสูร…” ฉินเย่เอ่ยด้วยใบหน้าถมึงทึงขณะที่เขาเช็ดเลือดที่มุมปากของตนเอง “หากเจ้ายังอยากจะอยู่ในยมโลก เจ้าควรจะรู้จักวิธีวางตัวและระวังคำพูดของตัวเองให้ม มากกว่านี้”
รูม่านตาของราชาอสูรหดลงทันทีที่เขารู้สึกได้ว่าร่างของตนเองลอยขึ้นจากพื้น ทันใดนั้นพลังหยินภายในกายของเขาเดือดพล่าน เส้นเลือดที่มือปูดโปนขึ้น และแม้แต่หน้าอกของเขาก็ กระเพื่อมอย่างรุนแรง ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังจะโผล่ออกมาจากภายใน
แต่เขาก็ระงับความปรารถนาภายในใจของตัวเองเอาไว้ทันทีที่เขาได้ยินคำเตือนที่ฉินเย่เอ่ยออกมา
ตุ้บ…!
ฉินเย่ปล่อยมือจากคอของอีกฝ่าย และร่างของราชาอสูรก็กลับมายืนอยู่บนพื้นตามเดิม หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็แย้มยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า “โปรดอย่าเอ่ยเช่นนั้น ใต้เท้า ข้า าเพียงแค่แสดงความเป็นห่วงออกมาเท่านั้น”
“เป็นห่วงอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น เขาโน้มหน้าไปกระซิบกับราชาผี “เจ้าอยากจะเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของยมโลกหร รือไม่?”
ดวงตาของราชาผีไหววูบ “เอ่อ…ใต้เท้าพูดเรื่องตลกอันใดกัน ข้านั้นอุทิศตนให้กับยมโลกทั้งกายและใจ เหตุใดข้าถึงต้องท้าทาย…”
“อยากหรือไม่อยาก?”
“…หากใต้เท้าจะกรุณา ข้าก็อยากจะได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของยมโลกด้วยตาของตนเองสักครั้ง”
“ดี” ฉินเย่แย้มยิ้มและก้าวถอยหลังกลับไป จากนั้นเกล็ดสีทองก็ลอยขึ้นในอากาศ พลังหยินอันไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่ ในวินาทีนั้น ภายในหัวของราชาผีตื้อชาไปหมด แล ละเขาก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที
นี่มัน… ท่านตี้ทิง…
นี่คือพลังหยินของท่านตี้ทิง!
อีกฝ่ายยังอยู่! อสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่จริง ๆ!
โชคดีจริง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาคาดคะเนถึงความแข็งแกร่งของยมโลกอยู่แค่ภายในใจเท่านั้น ไม่เช่นนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นกัน?
ด้วยการที่ตี้ทิงอยู่ใกล้ ๆ แม้แต่การดูหมิ่นจ้าวนรกเพียงเล็กน้อยก็ยังทำให้ได้รับบทลงโทษที่รุนแรงที่สุด!
“วะ วิญญาณบาปผู้ต่ำต้อยคารวะท่านตี้ทิง!!!” ราชาผีตะโกนออกมาเสียงดัง แต่ตี้ทิงกลับไม่สนใจถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
กลับกัน มันเพียงหันไปหาฉินเย่ “เกิดอะไรขึ้น?”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ บุตรแห่งซูซะ… เขามีแผนการที่สมบูรณ์แบบอยู่ในหัว
กงล้อแห่งสังสารวัฏ!
ปีศาจตนนั้นจะต้องกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานในการสร้างกงล้อแห่งสังสารวัฏ!
นี่เป็นครั้งแรกที่ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรงเช่นนี้…รวมไปถึงความกังวลใจด้วย
บางที แม้แต่ลีจองซุกก็คงจะไม่คิดว่ายมโลกจะไม่สามารถหยุดบุตรแห่งซูซะได้ เพราะอย่างไรแล้ว นางก็คงอยากจะยืมมือของพวกเขาสังหารบุตรแห่งซูซะ
ฉินเย่อยากจะช่วยลีจองซุก
ไม่ใช่เพียงเพราะว่านางเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าใจเขา แต่เป็นเพราะว่า…นางเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้
“กองกำลังทั้งหมด ฟังคำสั่ง!” เสียงที่เอ่ยออกมาของเขาดังก้องขึ้นภายในหูของทหารวิญญาณทุกตน “ระดมพลโดยด่วน อีกสามนาทีหลังจากนี้ พวกเราจะเคลื่อนทัพออกไปปราบกบฏ!”
“รับทราบ!!!” เสียงคำรามดังขึ้นให้ได้ยินจากด้านบนสุดของกำแพงเมืองทั้งสี่ด้าน
มันเป็นตอนนั้นเองที่ฉินเย่หันกลับไปมองเกล็ดสีทองที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ “ท่านตี้ทิง ข้าได้รับเกียรติพอที่จะได้รับความช่วยเหลือจากท่านหรือไม่?”
“มันเป็นหน้าที่และเป็นเกียรติของข้าที่จะทำเช่นนั้น”