ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 522: ลาก่อน
บทที่ 522: ลาก่อน
ฉินเย่พยักหน้า ใช่แล้ว…เด็กหนุ่มรู้ดีว่าการตายของหวังเฉิงห่าวในตอนนี้จะต้องทำให้เกิดปัญหา และนั่นก็คงจะเป็นตอนที่ทางรัฐบาลเริ่มทำการสืบสวนเกี่ยวกับเขา
“คุณ…อยู่ขั้นตุลาการนรกมาโดยตลอดเลยเหรอ?” โจวเซียนหลงถามเสียงเบา เห็นได้ชัดเลยว่าหากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้เห็น
หลินฮั่นและซู่เฟิงก็จ้องไปที่ฉินเย่ พวกเขามีคำพูดมากมายอยู่ในใจ แต่ทั้งคู่กลับไม่สามารถเอ่ยมันออกไปได้เลยสักคำเดียว
“ไม่” ฉินเย่ตอบกลับเสียงห้วน เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาพูดคุยกับคนตรงหน้า มีหลายครั้งที่ผู้คนต้องเต็มไปด้วยความรู้สึกที่บังคับให้พวกเขาต้องเติบโตขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ และตอนนี้เขาก็กำลังอยู่ในสภาวะนั้น
โจวเซียนหลงพยักหน้า “ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณพอจะมีเวลากลับไปดื่มชากับเราที่สำนักงานหลักของหน่วยสอบสวนพิเศษไหม?”
“ผมไม่มีเวลา” ฉินเย่ถอนหายใจออกมา จากนั้นจึงรวบรวมความคิด พร้อมกับสังเกตสีหน้าของเจ้าหน้าที่สอบสวนทุกคนที่อยู่โดยรอบ “ทำไมถึงยังถามอยู่อีก? คุณน่าจะรู้คำตอบของผมอยู่แล้วนี่”
เหตุใดจึงยังยึดติดอยู่กับอดีต?
โจวเซียนหลงส่ายหน้า “ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะสามารถกำหนดโดยคำว่าถูกหรือผิดได้”
“การดำรงอยู่ของคุณเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญมาก คุณอาจจะเป็นทางออกของการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นภายในจีนที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่ ตราบใดที่มันยังมีความหวัง พวกเราก็ต้องคว้ามันเอาไว้”
“นอกจากนี้ มันไม่ใช่ว่าพวกเราจะสามารถปล่อยคุณไปได้ แม้แต่ฆาตกรก็สามารถเป็นสามีหรือลูกชายที่ดีของบุคคลที่พวกเขารัก แดนมนุษย์ไม่สามารถอยู่ร่วมกับตัวตนที่ไม่แน่นอนของคุณได้อีกแล้ว ‘คุณเป็นใคร’ และ ‘คุณคืออะไร’ คือคำถามที่ทางรัฐบาลต้องการคำยืนยันอย่างชัดเจน พวกเราไม่สามารถปล่อยให้ตัวแปรที่มีความสำคัญนี้ไม่ได้รับการตรวจสอบได้”
“ทุกคนต่างมีความรับผิดชอบและมุมมองของตัวเอง พวกเราทั้งหมดจะต้องตรวจสอบทุกอย่างโดยละเอียด ไม่เช่นนั้น…พวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับศพเคลื่อนที่ที่เอาแต่กิน นอน และทำตามคำสั่ง พวกเราต่างทำในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา ใช่แล้ว พวกเราทั้งหมดกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง โจวเซียนหลงได้ละทิ้งความสัมพันธ์ของพวกเขาเพื่อทำตามหน้าที่และความรับผิดชอบ ในขณะเดียวกัน หลินฮั่นและซู่เฟิงเองก็กำลังสับสนอย่างเห็นได้ชัด
ไม่มีชุมชนหรือสังคมใดที่ถือกำเนิดได้โดยปราศจากการดำรงอยู่ของรากฐานของชาติ และเขา…ก็ได้ละทิ้งหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเอง และเลือกตัวเองเหนือประเทศชาติ
ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ในเวลาเช่นนี้ โจวเซียนหลงก็ยังสอนบทเรียนที่สำคัญเช่นนี้ให้กับเขา…
“ผมไม่มีเวลา” เขาตอบกลับด้วยเสียงนิ่งเรียบจนดูราวกับไร้ความรู้สึก เขาไม่อยากจะพูดเกี่ยวกับตัวตนของตัวเอง เพราะอย่างไรแล้ว…เขาก็จำเป็นจะต้องเก็บมันเอาไว้เพื่อที่เขาจะได้สามารถใช้มันในเวลาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เขาได้กำหนดวันสำหรับการเจรจากับแดนมนุษย์ไว้อีกประมาณสองปี เมื่อถึงเวลานั้น ยมโลกของคงจะมีมณฑลหลายแห่งที่อยู่ภายใต้การครอบครองแล้ว และมันก็คงจะดีกว่าการเจรจากับแดนมนุษย์ที่หน้าประตูนรกอย่างตอนนี้แน่นอน
“เฮ้อ…” โจวเซียนหลงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “ถ้าอย่างนั้น…ผมก็ต้องขอโทษด้วย”
ฉินเย่มองไปที่มือของตน แล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังอุ่น ๆ ที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือ “คุณแน่ใจหรือว่าอยากจะสู้กับผมจริง ๆ?”
“รองผู้อำนวยการ...” หลินฮั่นเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา แต่แล้วโม่ฉางห่าวก็เอ่ยแทรกขึ้น “อาจารย์หลิน คุณควรจะตระหนักไว้เสมอว่าคุณคือเจ้าหน้าที่คนสำคัญของหน่วยสอบสวนพิเศษ และอาจารย์ผู้สอนของสำนักฝึกตนแห่งแรก”
หลินฮั่นเปิดปากออกเล็กน้อย แต่เขาก็เลือกที่จะกลืนคำพูดทั้งหมดกลับไป
โจวเซียนหลงสบตากับฉินเย่ “อย่างที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้ ผมแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น”
“คุณเองก็คงจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องแบกรับเช่นกันเมื่อคุณได้อ่านเอกสารที่บรรยายถึงการที่หลายครอบครัวไม่สามารถข่มตาหลับได้ในตอนกลางคืน และการที่เด็กทารกและเด็ก ๆ หลายคนต้องหวาดกลัวความมืดและสามารถนอนหลับได้เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อแม่เท่านั้น”
ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาเพียงจ้องมองไปที่ฝ่ามือของตัวเอง ปล่อยให้จิตใจของเขาล่องลอยไปกับเรื่องในอดีต
ใช่แล้ว… เขาน่าจะรู้ดีว่าแดนมนุษย์ไม่มีทางเชื่อใจยมโลก
แน่นอน พวกเราอาจจะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่พวกเรามีความคิดเหมือนกันในทุก ๆ เรื่องอย่างนั้นหรือ?
แดนมนุษย์จะสามารถเชื่อมั่นในคำพูดของยมโลกหลังจากที่พวกเขาเงียบหายไปกว่าหนึ่งร้อยปีได้จริง ๆ น่ะหรือ?
ในตอนที่เขาบรรลุสู่ขั้นยมทูตขาวดำ โจวเซียนหลงเคยบอกว่าเขาเลือกที่จะเชื่อในพวกพ้องของตนเองมากกว่าบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้พวกเขาผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า มนุษย์นั้นเชื่อมั่นในความพยายามของตนเองและผลอันเป็นรูปธรรมที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้เท่านั้น
ใครจะไปคิดว่ากลุ่มคนที่เคยอ้าแขนต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นในวันนั้นจะกลายเป็นคนที่หันอาวุธเข้าใส่เขาในเวลานี้?
“ช่างน่าขันเสียจริง…” ฉินเย่ส่ายหน้าไปมาและกลับหลังหันเพื่อที่จะจากไป
ชีวิตนั้นเปรียบเสมือนสายน้ำ และคนเราก็คือปลาที่ว่ายไปตามสายน้ำนั้นโดยไม่รู้เลยว่าสายน้ำดังกล่าวจะพาพวกเขาไปที่ใด บางคนอาจจะพบว่าพวกเขามุ่งหน้าไปสู่แม่น้ำสายใหญ่ ในขณะที่คนอื่น ๆ ว่ายไปสู่ทะเลสาบขนาดใหญ่แทน
การมีจุดเริ่มต้นเดียวกันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีการเดินทางที่เหมือนกันหรือจุดหมายปลายทางเดียวกัน
เขาสามารถบอกได้เลยว่าชีวิตของเขาในแดนมนุษย์กำลังลอยห่างออกไปอย่างช้า ๆ
มันไม่มีสิ่งใดในแดนมนุษย์ให้เขาตั้งตารออีกแล้ว…
เขารู้มานานแล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมาถึงอย่างรวดเร็วและกะทันหันแบบนี้
โม่ฉางห่าวรีบเคลื่อนไหวทันทีที่ฉินเย่หันหลังกลับไป
ด้วยความสามารถที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดของฉินเย่เมื่อหลุดพ้นจากขั้นฝู่จวินซึ่งเป็นผลจากวิชาของปีศาจในชุดกิโมโนก่อนหน้านี้ บวกกับใบต้นท้อที่ทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งที่มักจะมองไม่เห็น ความมั่นใจในการจัดการกับฉินเย่ของเจ้าหน้าที่สอบสวนเหล่านี้ก็เพิ่มมากขึ้น
โม่ฉางห่าวพุ่งตัวออกไปราวกับสายฟ้าขณะที่ส่งฝ่ามืออันทรงพลังที่เปล่งประกายแสงสีทองไปที่หลังของฉินเย่ แต่ในขณะที่การโจมตีของเขากำลังจะถึงตัวของเด็กหนุ่ม ฉินเย่ก็หันหลังกลับมาและปะทะกับการโจมตีของโม่ฉางห่าวด้วยการโจมตีแบบเดียวกัน
ตู้ม!
เศษดินและฝุ่นที่อยู่โดยรอบฟุ้งกระจาย ร่างของโม่ฉางห่าวกระเด็นห่างออกไปหลายสิบเมตรพร้อมกับความตกตะลึง เขาหันไปมองเจ้าหน้าที่ทั้งหมดและตะโกนออกมาสุดเสียง “พวกคุณมัวแต่รออะไรกันอยู่?!”
ทันใดนั้น อัลบาทรอสจำนวนมากที่ถือโซ่และกระดิ่งอยู่ในมือก็รีบวิ่งเข้ามา สั่นกระดิ่งจนเกิดเป็นเสียงที่น่าปวดหัว ด้วยการสะบัดข้อมือเบา ๆ โซ่ที่พวกเขาทั้งหมดก็พุ่งไปที่พื้นดินที่อยู่รอบฉินเย่ ก่อตัวเป็นคุกโซ่ที่ตรึงร่างของฉินเย่ไปกับพื้น
“ลงมือ!” โจวเซียนหลงเอ่ยเสียงดัง กระแสไฟฟ้าไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดขณะที่เขาพุ่งตัวเข้ามาราวกับเทพเจ้าแห่งสายฟ้า
หากเป็นไปได้ ฉินเย่ก็ไม่อยากจะลงมือเลยสักนิด
มันมีอะไรหลายอย่างที่ผุดขึ้นมาภายในหัวของเขา เด็กหนุ่มก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการหาที่เงียบ ๆ เพื่อจัดระเบียบความคิดทั้งหมด
ทุกสิ่งทุกอย่างวุ่นวายเป็นอย่างมากนับตั้งแต่ที่เขาเข้ารับตำแหน่งจ้าวนรก และเขาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้า
แต่ถึงกระนั้น ความคิดเกี่ยวกับอนาคตของยมโลกก็ทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจขึ้น ในที่สุดเขาก็เริ่มมีความชัดเจนเกี่ยวกับเส้นทางที่ตัวเองควรเลือกเดิน
แต่เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะเดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของหน่วยสอบสวนพิเศษที่เมืองเยียนจิงในเวลานี้
ในขณะเดียวกับที่เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว โม่ฉางห่าวก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “ระวังตัวด้วย! เขาคือขั้นตุลาการนรกที่แท้จริง พวกคุณจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด!”
“อย่าอยู่ห่างจากกัน! ปฏิบัติตามคำสั่ง! รีบสร้างอาณาเขตขุนพลสวรรค์ปราบมาร... คุณทำบ้าอะไร?!”
ทันใดนั้นเองโม่ฉางห่าวก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบสายตาไปมองอย่างเย็นชา ก่อนจะพบว่า…หลินฮั่นยังคงยืนนิ่ง
และซู่เฟิงเองก็เหมือนกัน
“คุณ…บัดซบ!!!” โจวเซียนหลงกัดฟันกรอดและสบถออกมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้ดีว่าไม่ควรหยุดการต่อสู้เพื่อตำหนินักเรียนของตนเอง การต่อสู้ระหว่างขั้นตุลาการนรกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายในจิตใจของคนทั้งหมด เขาไม่สามารถประมาทฉินเย่ได้
“หมายเลข 72 หมายเลข 36 รีบมาประจำตำแหน่งแทนพวกเขา! เร็วเข้า!”
ฟึ่บ! สิ่งประดิษฐ์เวทย์จำนวนมากแทงไปที่ร่างของฉินเย่ แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เหลืออยู่กลับเป็นเพียงร่างมายาที่ก่อตัวขึ้นจากพลังหยินเท่านั้น และในวินาทีนั้นเอง เสียงถอนหายใจเบา ๆ ก็ดังขึ้น
เขาพยายามทำทุกอย่างแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังยืนกรานในเส้นทางของตัวเอง… หลินฮั่นมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยสายตาที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก เสียงถอนหายใจเมื่อครู่นี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมผสานกัน
มันเป็นเสียงถอนหายใจอย่างหมดหวัง เขายอมแพ้อย่างสมบูรณ์
มันเป็นเสียงถอนหายใจของการตัดสินใจ เขารู้ดีว่าตัวเองควรเลือกเส้นทางใด
นอกจากนี้ มันยังเป็นการถอนหายใจที่บอกพวกเขาว่าฉินเย่ได้ตัดสายสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีอยู่ในแดนมนุษย์แล้ว ครั้งต่อไปที่พวกเขาจะได้พบกันก็คือตอนการเจรจาระหว่างยมโลกและแดนมนุษย์ที่จะมาถึงในอนาคต
ไม่…เขาไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้…!
ริมฝีปากของหลินฮั่นสั่นเทาเล็กน้อยขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า ความทรงจำที่พวกเขามีร่วมกันที่สำนักฝึกตนแห่งแรกผุดขึ้นมาอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างดูไม่สอดคล้องกับภาพของอัลบาทรอสที่พยายามขังฉินเย่ไว้ในอาณาเขตขุนพลสวรรค์ปราบมารเลยสักนิด เขารู้ดีกว่าการเข้าร่วมสนามรบคือสิ่งที่เขาสมควรทำ แต่ถึงอย่างนั้น…มือทั้งสองข้างของตนกลับรู้สึกหนักอึ้ง เขาไม่สามารถสู้กับฉินเย่ได้
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่ของอัลบาทรอสก็ส่งเสียงครางอู้อี้ออกมา พวกเขาทั้งหมดกระเด็นออกไปจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ บาดแผลจำนวนมากปรากฏขึ้นบนร่าง โดยแต่ละรอยดูเหมือนจะแปดเปื้อนไปด้วยพลังหยิน
“เขากำลังจะหนีไปแล้ว!!” โม่ฉางห่าวตะโกน “คนที่ยังขยับตัวได้ให้ไปปิดเส้นทางหลบหนีทั้งหมด! นี่เป็นคำสั่ง!!”
“มองตราสัญลักษณ์ที่สลักอยู่ที่ปกเสื้อของคุณ! คิดถึงเหตุผลที่ทำให้พวกคุณมาเข้าร่วมหน่วยสอบสวนพิเศษ! อย่าทำให้ตัวเองต้องผิดหวัง!!”
คำสั่ง…
หลินฮั่นสั่นเทา ทันใดนั้น ทั้งเขาและซูเฟิงก็พุ่งตัวไปยังเส้นทางหลบหนีที่ใกล้ที่สุด
เขาแค่ต้องเลือกสักเส้นทางหนึ่ง…แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอ…
แต่ช่างน่าเศร้า กลุ่มพลังหยินที่หนาแน่นได้รวมตัวกันต่อหน้าของพวกเขาทันทีที่พวกเขาไปถึงเส้นทางหลบหนีที่ตนเองเลือก หลินฮั่นอ้าปากค้างขณะที่จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตนท่ามกลางพลังหยินที่พรั่งพรูออกมา ในวินาทีนั้น ริมฝีปากของเขาแห้งผาก ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มขมขื่น
โชคชะตามักเล่นตลกเสมอ…
ในทำนองเดียวกัน ฉินเย่เองก็แน่นิ่งไปเช่นกัน เขาแค่สุ่มเลือกทางหนีที่ใกล้ที่สุด แต่เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องมายืนอยู่ตรงหน้าของคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุด
“หยุดเขา!” เสียงของโจวเซียนหลงดังมาจากด้านหลัง ร่างของซู่เฟิงและหลินฮั่นสั่นเทาขณะที่พวกเขาเริ่มรวบรวมพลังปราณภายในร่าง ทั้งคู่ต่างถือยันต์ที่แผ่รัศมีพลังโบราณออกมา
อาณาเขตเวทนั้นก่อตัวขึ้นจากโหนดที่ถูกสร้างขึ้นจากรากฐานของหัวใจของอาณาเขตเวท โจวเซียนหลงคือหัวใจของอาณาเขตเวทนี้ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทั้งหมดคือโหนดที่มีความสำคัญในตัวเอง หากโหนดทุกตัวประจำอยู่ในจุดที่ถูกต้อง และยังคงไม่บุบสลาย เช่นนั้นอาณาเขตเวทดังกล่าวก็จะกลายเป็นพื้นที่ปิด และมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายอาณาเขตนี้ได้เว้นแต่ว่าหัวใจของอาณาเขตเวทจะถูกทำลาย
พรึ่บ…
แผ่นยันต์ตรงหน้าเปล่งแสงสีเงินออกมา และในเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น ฉินเย่ก็ยกมือขึ้นและคว้าหลินฮั่นไว้ด้วยแขนที่ก่อตัวขึ้นจากพลังหยิน
หลินฮั่นยกมือของตนขึ้นโดยสัญชาตญาณ ทันใดนั้น โล่หนาทึบของรูปหกเหลี่ยมก็ระเบิดออกมาจากยันต์และป้องกันการโจมตีของฉินเย่
ฉึก…
มันผ่านมาปีหนึ่งแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาพบกันครั้งสุดท้าย และสิ่งแรกที่ทำกลับเป็นการสู้กัน ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ห่างจากกันไม่ถึงหนึ่งเมตรเท่านั้น และมันก็สามารถมองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ฉินเย่มองไปที่หลินฮั่นด้วยสีหน้านิ่งเรียบเหมือนกับตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก
เขาไม่คิดว่าหลินฮั่นจะจู่โจมเขา แต่ถึงอีกฝ่ายจะทำ เขาก็ไม่ได้ประหลาดใจเหมือนกัน
เพราะอย่างไรแล้ว ฉินเย่รู้ดีว่าทุกคนล้วนมีมุมมองและหน้าที่ของตนเอง
แต่ถึงอย่างนั้น…มันก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าภายในใจของเขากำลังรู้สึกหนักอึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ
หนึ่งในผลจากการใช้ชีวิตอยู่มาเป็นเวลานานก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าเขารู้ถึงความสำคัญของการรักษาสายสัมพันธ์เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือว่ามิตรภาพ นี่คือมิตรภาพที่เขาพยายามสร้างขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แต่แล้ว…ทุกอย่างดูเหมือนจะจางหายไป
เป็นอย่างที่คิด… แดนมนุษย์นั้นไม่คู่ควรเลยสักนิด
มันไม่มีความหมายอะไรที่เขาจะอยู่ที่นี่ต่อไป มันไม่มีความหมายอะไรที่จะทุ่มเทกับมนุษย์ เพราะอย่างไรแล้ว มีเพียงผู้ที่กินเห็นเทียนสุ่ยเข้าไปเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจความรู้สึกของเขาได้
มีผู้คนจำนวนมากที่รู้ว่าความโศกเศร้านั้นนำมาซึ่งความเหนื่อยล้า แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าความโศกเศร้าที่ทับถมกันจำนวนมากกลับนำมาซึ่งความนิ่งเงียบและความสงบสุขภายในใจ
หลินฮั่นกัดฟันแน่น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกเกร็งอย่างรุนแรง มีบางสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไป ชายหนุ่มคือพวกโผงผางที่มักแสดงความรู้สึกของตนเองออกมา และตอนนี้ เขาก็กำลังจ้องมองไปที่ฉินเย่อย่างเจ็บปวดด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ในวินาทีนั้นจึงได้ตัดสินใจที่จะลดพลังปราณของตัวเองลง และประกายแสงสีเงินก็ค่อย ๆ จางลง
เหมือนกับสิ่งประดิษฐ์ที่สูญเสียแหล่งพลังงาน เกราะทรงหกเหลี่ยมหม่นแสงลงขณะที่ไหลกลับเข้าไปในแผ่นยันต์ตามเดิม
ดูเหมือนว่าเวลาจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ฉินเย่จ้องลึกเข้าไปในตาของอีกฝ่าย “นี่ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าคุณโจมตีผม”
“แต่ก็…ขอบใจ”
จากนั้น ฉินเย่ก็หายตัวไปในกลุ่มก้อนพลังหยินที่พัดผ่านร่างของหลินฮั่น แต่ทันใดนั้นเอง อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ทำไม”
“ทำไมคุณถึงปิดบังเรื่องพวกนี้กับเรา?!”
“พวกเรา…เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?”
“อาจารย์หลิน! นั่นคุณทำบ้าอะไร?!” โจวเซียนหลงและโม่ฉางห่าวตะโกนออกมาจากด้านหลัง
สายลมที่กำลังจางหายไปดูเหมือนจะหยุดลงกระทันหัน และฉินเย่ก็เอ่ยตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เพราะว่าทุกคนล้วนมีหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเอง”
“…ลาก่อน”
พรึ่บ…
ฉินเย่หายตัวไปจากพื้นผิวโลกโดยสมบูรณ์
ลาก่อน... ไม่ใช่ ‘เจอกันใหม่’… หลินฮั่นทรุดตัวพิงต้นไม้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงพร้อมกับแววตาที่เหม่อลอย เขารู้สึกว่ามีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
และในตอนนั้นเอง มือ ๆ หนึ่งก็คว้าเข้าที่คอของเขาและกระแทกร่างของเขากับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง โจวเซียนหลงจ้องมองมาที่เขาด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก “หลินฮั่น…คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองทำอะไรลงไป?!”
“หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราได้ทุ่มเทไป คุณ…กลับทำให้ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า! สำนึกต่อหน้าที่ของคุณมันหายไปไหนหมด?!”