ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 523: การพบกันระหว่างอดีตและปัจจุบัน
บทที่ 523: การพบกันระหว่างอดีตและปัจจุบัน
พรึ่บ…
ภายในลิมโบ โชคชะตาเปล่งประกายเจิดจ้าออกมาอีกครั้ง ส่งผลให้ตัวอักษรทั้งหมดที่ถูกเขียนเอาไว้กลายร่างเป็นน้ำหมึกที่ไหลกลับลงสู่ปลายพู่กันตามเดิม
จบแล้ว…ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงแล้ว
คลิ๊ก...
เสียงหนึ่งดังขึ้นเบา ๆ จ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและแย้มยิ้มออกมา “การหักห้ามใจเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดเสมอ เจ้าทำได้ดีมาก”
“ไม่มีผู้ใดที่เดินอยู่บนเส้นทางของการเป็นเจ้าแห่งดินแดนได้อย่างราบรื่น ชีวิตนั้นมีขึ้นมีลง เช่นเดียวกับการที่คนเราจะต้องเดินทางผ่านฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเพื่อเห็นฤดูใบไม้ผลิอ อีกครั้ง มีเพียงในความฝันเท่านั้นที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และข้าก็รับรองได้เลยว่าเจ้าจะไม่มีทางรับมือกับหน้าที่ที่แท้จริงของจ้าวนรกได้หากเจ้ายังยึดติดกับ ความฝันที่งี่เง่าก่อนหน้านี้อยู่”
“ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะนั่งอยู่บนบัลลังก์มากกว่าเดิมแล้ว…” เขาลดมือลงและกวักมือเบา ๆ จากนั้น โชคชะตาก็ลอยมาที่มือของเขา ขณะที่เขาลูบมันด้วยความรู้สึกบางอย่าง “ใกล้ จะถึงเวลาที่เจ้าจะได้เปลี่ยนไปอยู่กับเจ้าของคนใหม่แล้ว…”
เมื่อเอ่ยจบ ร่างของเขาก็หายไปกับกลุ่มควันที่อยู่โดยรอบและสลายไปอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ มันก็ถึงเวลาที่ข้าจะส่งต่อสิ่งที่ข้ามีให้กับผู้สืบทอดคนต่อไปของข้าแล้วเช่นกัน…”
กลับมาภายในนครเผิงชิว ประชากรเมืองเผิงชิวที่ยังคงสนุกสนานอยู่ภายในสวนสนุกต่างเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าในวินาทีที่จ้าวนรกองค์ที่สองหายตัวไปจากลิมโบ
“แสง?” วิญญาณตนหนึ่งอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงขณะที่เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เสี้ยววินาทีต่อมา เขาก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง “พวกเรา! ดูนั่น! ดูนั่นสิ!”
และมันก็ไม่ใช่เขาแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่วิญญาณทุกตนต่างมองเห็นลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและส่องสว่างไปทั่วนครเผิงชิวทั้งสิ้น
“พระเจ้า…นี่มันอะไรกัน?!”
“ไม่น่าเชื่อ… มะ มีแสงสว่างในยมโลกจริง ๆ น่ะหรือ?”
“นั่นมัน…ดวงอาทิตย์?”
“ไม่! แสงนั่นดูเหมือนจะหดตัวลง!”
สิ่งที่ตอนแรกดูเหมือนกับแหล่งกำเนิดแสงทรงกลมที่ส่องสว่างขึ้นกลางท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นทะเลแห่งแสงที่ปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนภายในไม่กี่วินาที แต่ไม่นานแสงดังกล่าวก็รวมตัวกันและ เข้าห่อหุ้มอาคารทั้งหลังที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของนคร
ฟึ่บ!
คลื่นกระแทกสีทองกระเพื่อมตัวออกไปโดยรอบ ก่อนจะตามมาติด ๆ ด้วยเสียงท่วงทำนองอันแผ่วเบาที่ดังขึ้นจากที่ใดก็ไม่อาจทราบได้ ระฆัง ขลุ่ย หรือแม้แต่กู่เจิงก็ถูกเล่นเป็นจังหวะที นุ่มนวลซึ่งดังให้ได้ยินกันไปทั่วทั้งเมือง
เต้ง…
เสียงกระดิ่งอันไพเราะก็ดังขึ้น มันแผ่วเบาทว่ากลับดังขึ้นในทั้งสามโลกและตรงไปยังประตูมิติของประตูนรก
ณ แดนมนุษย์ สายลมอันแผ่วเบาพัดผ่านขณะที่กลุ่มก้อนพลังหยินเริ่มก่อตัวเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็ก้าวเท้าออกมาและมองตรงไปที่ประตูนรก
ในเวลานี้ ภายในพื้นที่โครงการพัฒนาเหมาหยวนไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่อีกนอกจากประตูบานใหญ่ตรงหน้า
กลุ่มวิญญาณจำนวนมากได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย บานประตูที่เปิดกว้างก่อนหน้านี้ได้ถูกปิดสนิท และร่าง ๆ หนึ่งก็ยืนอยู่ตรงหน้าของบานประตูที่ปิดสนิทนั้น
ทุกสิ่งที่อยู่โดยรอบของร่างนั้นดูพร่าเลือน ทว่าฉินเย่ก็สามารถมองเห็นลักษณะของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
เขาคือชายที่มีความสูง 1.85 เมตร เขาสวมเสื้อคลุมตัวยาวของราชสำนัก แต่เสื้อคลุมของเขากลับไม่ได้ถูกปักด้วยลวดลายของตี้ทิงหรือเซี่ยจื้อ กลับกัน…มันถูกสลักด้วยราชันอัคคีแห ห่งทิศทักษิณหรือจู้หรง
และจู้หรงตัวนั้นก็กำลังถือตะเกียงไฟไว้ในมือ
เสื้อคลุมสีดำถูกรัดรอบเอวด้วยเข็มขัดสีเหลือง และเขาก็สวมมงกุฏสีดำที่เข้าชุดกันไว้เหนือศีรษะ ใบหน้าของชายคนนั้นหล่อเหลาอย่างไม่น่าเชื่อ คิ้วของเขาคมราวกับใบมีด สันกราม ชัดเจน รอบตัวของเขาแผ่กลิ่นอายของความเด็ดขาดและเฉียบคมออกมา
ทั้งอาร์ทิสและตี้ทิงต่างกำลังคุกเข่าอยู่ด้านหลังของเขา
ฉินเย่เดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้นช้า ๆ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็เอ่ยออกมา “จ้าวนรกองค์ที่สอง?”
“อะไรที่ทำให้เจ้ามั่นใจนัก?”
“ตี้ทิงเป็นอสูรที่หยิ่งยโส มีคนอยู่ไม่มากนักที่ทำให้ตี้ทิงยอมโค้งคำนับด้วยความเคารพได้ แล้ว…เหตุใดท่านจึงมาที่นี่?”
“คำขอโทษจะดีที่สุดหากได้เอ่ยออกมาด้วยตัวเอง”
ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ จากนั้นจึงมองไปยังซากปรักหักพังโดยรอบ “ท่านเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ?”
มันเป็นคำถามที่คลุมเครือ มันสามารถตีความได้ว่า ‘ท่านคือคนที่ช่วยข้าปิดประตูนรกอย่างนั้นหรือ’ และมันก็สามารถตีความได้ว่า ‘ท่านคือผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดอย่างนั้นหร รือ’ เช่นกัน
แต่ถึงกระนั้น มันก็มีเพียงคำตอบเดียวสำหรับคำถามนี้
“ใช่” จ้าวนรกองค์ที่สองหยิบพู่กันสีทองออกมาจากเสื้อคลุมของตน มันเป็นพู่กันที่ถูกสลักด้วยลวดลายอันแสนวิจิตร และรังสีที่แผ่ออกมาทำให้มันดูเหมือนว่าจะมีจิตวิญญาณสีทองที่เป ปล่งประกายอยู่ภายใน
“สิ่งนี้เรียกว่าโชคชะตา”
“มันคือพู่กันประจำตัวของข้า และมันก็ถูกรู้จักในฐานะของวัตถุหยินที่ดีที่สุดรองจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของยมโลก มันมีอำนาจในการกำหนดความบังเอิญต่าง ๆ ผูกพวกมันเข้าด้ วยกัน และยัง…ขัดเกลาจิตใจของผู้คน”
ทันใดนั้น หางตาของเขาก็กระตุก ร่างกายของชายตรงหน้าก็เตรียมจะตอบสนองรวดเร็ว ทันใดนั้น สมองของเขาก็เข้าควบคุมร่างกายและระงับการเคลื่อนไหวทั้งหมดเอาไว้
ผลั๊วะ!
หลังจากนั้น หมัดหนัก ๆ ก็ปะทะเข้าที่หน้าของเขาอย่างจัง อาร์ทิสและตี้ทิงอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่างก่อนที่ทั้งคู่จะได้ยินเสียงของจ้าวนรกองค์ที่ส สองเอ่ยออกมาว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า”
“นี่คือเรื่องระหว่างจ้าวนรกของยมโลก”
อีกความหมายหนึ่งก็คือ พวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปแทรก
อาร์ทิสและตี้ทิงกัดฟันแน่นและคุกเข่าอยู่กับพื้นตามเดิม จ้องมองไปยังภาพตรงหน้าด้วยความหวาดกลัวและกังวล จอมขี้ขลาดฉินเย่พุ่งตัวไปข้างหน้าราวกับเสือที่ดุร้าย ต่อยและจู่โจมไป ปที่ร่างของจ้าวนรกองค์ที่สองด้วยแรงทั้งหมดที่มี ถึงแม้ว่าการโจมตีทั้งหมดจะไม่ได้อัดไปด้วยพลังหยิน แต่ทั้งสองก็สามารถบอกได้เลยว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ยั้งมือเลยสักนิด หลังจากผ่ านไปสามนาทีเต็ม ฉินเย่ก็กัดฟันแน่นและเตะไปที่อกของจ้าวนรกองค์ที่สอง พร้อมกับเสียงครางที่อู้อี้ จ้าวนรกองค์ที่สองถอยหลังกลับไปสองสามก้าว
“พอใจหรือยัง?” หลังจากเช็ดเลือดที่มุมปาก จ้าวนรกองค์ที่สองก็เอ่ยออกมาเสียงเบา
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ พร้อมกับการขยับนิ้ว ปากกาแห่งการพิพากษาจำลองก็ปรากฏขึ้นภายในมือ ก่อนจะกลายเป็นหอกที่ชี้ไปยังชายตรงหน้า
“บอกเหตุผลมา!!!” ฉินเย่คำรามออกมาเสียงดัง “ไม่เช่นนั้น….ข้าจะใช้หอกเล่มนี้แทงทะลุร่างของท่านไปเลย ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม!”
“แล้วจากนั้นท่านก็หาคนอื่นมาทำหน้าที่แทนข้าก็แล้วกัน! ข้าจะขอลาออก ที่นี่ ตอนนี้เลย!!”
จ้าวนรกองค์ที่สองถอนหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็หายไปท่ามกลางหมอกพลังหยิน เมื่อเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาก็แต่งกายอยู่ในชุดเครื่องแบบลายพราง ตำราทางการทหาร รและรูปลักษณ์ที่เลอะเทอะเล็กน้อย
“ไม่ว่าข้าจะไปที่ใด ไม่มีใครกล้าหันอาวุธใส่ข้าเลยแม้แต่น้อย” เขาใช้นิ้วของตัวเองแตะที่ปลายหอกและดันมันออก ฉินเย่พยายามรวบรวมแรงทั้งหมดของตัวเอง แต่เขากลับรู้สึกราวกับว่ าตัวเองกำลังสู้กับภูเขาลูกใหญ่ ความแตกต่างทางพลังของพวกเขามีมากเกินไป
“แต่ข้าก็ไม่โทษเจ้า” เขาดันหอกออกไปและลดมือลง จากนั้นจึงหันไปมองท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไป จ้าวนรกองค์ที่สองก็เอ่ยต่อ “ข้าขอโทษ”
หางตาของตี้ทิงกระตุก นี่คือชายที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสามโลก แต่ถึงกระนั้นเขากลับยอมลดตัวมาเพื่อเอ่ยขอโทษจ้าวนรกมือใหม่อย่างนั้นหรือ?
แม้แต่กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกใต้พิภพรวมตัวกันก็ยังไม่สามารถสู้กับชายผู้นี้ได้ แต่ถึงกระนั้น…เขากลับขอโทษฉินเย่? และด้วยท่าทีที่จริงใจแบบนี้ด้วย?
“ข้าไม่อยากได้ยินคำขอโทษใด ๆ ทั้งนั้น!” ฉินเย่เอ่ยเสียงเย็น “ข้าต้องการรู้เหตุผล!”
“ทำไม?!”
“ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้?!”
“เพราะว่าข้ากำลังจะจากไป” จ้าวนรกองค์ที่สองตอบ “ข้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ในเวลาที่จำกัด ตอนนี้…อย่างมากที่สุด ข้าก็เหลือเวลาอีกแค่สองเดือนเท่านั้น”
“แล้วนั่นมันเกี่ยวอะไรกับข้า?!”
จ้าวนรกองค์ที่สองเหลือบมองเด็กหนุ่ม “ข้าจะจากไปตลอดกาล”
ฉินเย่แน่นิ่งไปและมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาตกตะลึง
“ความแข็งแกร่งของข้านั้นเกินกว่าขีดจำกัดที่โลกนี้จะรับไหว หรือหากจะพูดให้เห็นภาพก็คือมันคือเจตจำนงของจักรวาลที่ข้าจะต้องจากไป บางที เจ้าอาจจะคิดว่าตราบใดที่ข้ายังอยู่ เช่นนั้นมันก็คงจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับยมโลกหลังจากผ่านไป 150 ปี เมื่ออาณาเขตเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้าสลายไป แต่น่าเสียดาย…เพราะข้าคงไม่อยู่แล้ว”
“มีกฏและข้อบังคับมากมายที่ควบคุมการมีอยู่ของทั้งสามโลก แต่ผู้ที่เข้าใจกฎเหล่านี้อย่างแท้จริงกลับมีน้อยยิ่งกว่ามาก ในส่วนของโลกใต้พิภพของจีนนั้น ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับกฎพ พวกนี้ได้ดีเท่ากับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และตัวข้า”
“สิทธิ์ของจ้าวนรกคืออะไร? หน้าที่ที่แท้จริงของเขาคืออะไร? เจ้าเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของยมโลกที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างกระทันหันเช่นนี้ แม้แต่ข้าก็ยังต้องใช้เวลาถึง 2 200 ปีในการศึกษางานจากจ้าวนรกองค์ก่อนแล้วจึงเข้ารับตำแหน่ง นี่ไม่ใช่ที่ถูกเขียนอยู่ในบันทึก เพราะว่าหากความรู้เหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ไม่ควร มันก็สามารถกลายเป็นอั นตรายได้ ดังนั้นพวกมันจึงถูกส่งต่อกันแบบปากต่อปากจากผู้สืบทอดรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ข้ามาปรากฏตัวที่ยมโลกในเวลานี้”
ฉินเย่ยังคงเงียบ เขาเข้าใจว่าการเป็นจ้าวนรกนั้นเปรียบได้กับการเป็นผู้ที่ปกครองโลกใต้พิภพ มันมีความลับอีกมากมายที่ไม่สามารถให้บุคคลภายนอกรู้ได้ และเขาเองก็คงไม่เสี่ยง ส่งมอบสมบัติที่ล้ำค่าเช่นนี้ผ่านการบันทึกเช่นกัน
เห็นได้ชัดเลยว่าจ้าวนรกองค์ที่สองมาที่นี่ก็เพื่อเอ่ยบอกลาครั้งสุดท้าย
ในขณะเดียวกัน อีกฝ่ายก็ต้องการส่งต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่จ้าวนรกจำเป็นต้องรู้ให้กับผู้สืบทอดคนต่อไปเช่นกัน เพราะมันคงมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ตามที่ใ ใจปรารถนา
“แล้วทั้งหมดนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้า?” ฉินเย่ถามกลับอย่างเย็นชา
“ข้าเข้าใจดีว่าตอนนี้เจ้ากำลังรู้สึกเช่นไร” จ้าวนรกองค์ที่สองสบตากับฉินเย่ “แต่ในชีวิตของคนเรา เราจำเป็นจะต้องส่งแรงหว่านเมล็ดก่อน เราจึงจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ หาก เป็นไปได้ ข้าก็อยากจะใช้วิธีอื่น แต่เวลาไม่ได้อยู่ข้างเรา”
“พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ไม่สามารถกลับมาที่ยมโลกได้ เมื่อข้าจากไป เจ้าจะต้องแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบทั้งหมดที่สามารถส่งผลกับชีวิตของวิญญาณนับพันล้านดวงในยมโลก! ความสม มดุลระหว่างหยินและหยางจะส่งผลแม้กระทั่งกับชีวิตของเหล่ามนุษย์ภายในแผ่นดินจีน! หากเจ้าไม่สามารถผ่านบททดสอบนี้ของข้าไปได้ ข้าก็เตรียมที่จะลบความทรงจำของเจ้าและปล่อยเจ้ากลับ บไปยังแดนมนุษย์”
ดวงตาของฉินเย่วูบไหวขณะที่เขาเลือกให้ความสนใจกับคำ ๆ หนึ่ง “บททดสอบ?”
จ้าวนรกองค์ที่สองพยักหน้า “เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าแค่เศษตรานรกเพียงชิ้นเดียวจะทำให้เจ้าสามารถกลายเป็นจ้าวนรกได้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เจ้าคิดหรือว่าความพิเศษของเจ้าจะทำให้เจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะกลายเป็นจ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลก? จริงอยู่ที่มันอาจจะทำให้หลายอย่างราบรื่นขึ้น และมันอาจจะทำให้เจ้ากลายเป็นจ้าวนร รกที่มีเอกลักษณ์ที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีมา แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ…”
“พลังอำนาจของจ้าวนรกไม่สามารถถูกส่งมอบให้ผู้อื่นได้ง่าย ๆ ลองคิดดูว่ามันต้องใช้เวลากี่ปีที่คน ๆ หนึ่งจะสามารถกลายเป็นรัฐมนตรีของชาติได้? พวกเขาจะต้องเริ่มต้นจากการเป็นข้ าราชการที่ต่ำต้อยที่สุด ค่อย ๆ ไต่อันดับไปเป็นผู้อำนวยการเขต เทศมนตรี และผู้ว่าราชการมณฑล และต่อ ๆ ไป เจ้าคิดว่าพวกเขาต้องผ่านอุปสรรคมากมายเพียงใดระหว่างการเดินทางเหล่านี้? พ พวกเขาไม่มีทางมีคุณสมบัติสำหรับการก้าวเข้าไปอยู่ในจุดสูงสุดจนกว่าพวกเขาจะสามารถได้รับความเคารพและการยอมรับจากผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครอง”
“ไม่ว่ายมโลกจะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เพียงใด แต่มันก็ยังคงเป็นโลกใต้พิภพที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าพันปี เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีสายตากี่คู่กันที่กำลังมองดูเจ้าจากบนสวรรค์? เ เหล่าอดีตรัฐมนตรีของยมโลกที่อยู่บนสวรรค์คอยฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดและวิเคราะห์ทุกการกระทำของเจ้า ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะมอบบททดสอบที่พวกเขาทั้งหมดเตรียมไว้ให้เจ้า ม มีเพียงก้าวผ่านบททดสอบนี้ไปได้เท่านั้นที่จะทำให้เจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะสืบทอดบัลลังก์ในฐานะของจ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลก”
“และจนถึงตอนนี้ เจ้าทำได้ดีมาก” เสียงของจ้าวนรกองค์ที่สองอ่อนลงเล็กน้อย “เกือบทุกอย่างที่เจ้าได้ทำในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้นสมบูรณ์แบบ แต่ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวก็คือการ ประพฤติตัวของเจ้าหลังจากที่ยึดครองนครเผิงชิว หากเวลาอยู่ข้างเรา ข้าก็คงเลือกที่จะชี้แนะเจ้ามากกว่าที่จะบังคับฝืนใจเจ้าเช่นนี้”
“ข้าต้องขอโทษเจ้าอีกครั้ง” เขาสบตาฉินเย่อย่างจริงใจ “แต่ถึงกระนั้น ข้าก็ไม่ได้เสียใจเช่นกัน ทุกคนล้วนต้องผ่านช่วงแห่งการเจริญเติบโตทั้งสิ้น การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวสามาร รถทำให้ประเทศชาติเกิดความโกลาหล พวกเราจะปล่อยให้มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด และจีนก็เช่นกัน ดังนั้น ข้าจึงหวังว่าเจ้าจะเข้าใจมัน”
ฉินเย่ยังคงเงียบ แน่นอน เขาเข้าใจเหตุผลของสิ่งเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้น การเข้าใจกับการยอมรับนั้นมันคนละเรื่องกัน
เขารู้ดีว่าสิ่งที่จ้าวนรกองค์ที่สองทำนั้นก็เพื่อตัวของเขาเอง แต่เขาก็ยังไม่สามารถยอมรับมันได้อยู่ดี…
บางทีมุมมองของเขาอาจจะเปลี่ยนไปหลังจากผ่านไปอีกสองสามปี บางทีเขาอาจจะคิดที่จะทำสิ่งเดียวกันกับผู้สืบทอดของเขาในอนาคต แต่ตอนนี้ เขาไม่สามารถยอมรับมันได้จริง ๆ
แต่มันก็เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกเช่นนี้ เพราะมีเพียงแค่พวกนักบุญเท่านั้นที่จะสามารถปรับตัวยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว
ฉินเย่ไม่อยากจะพูดเรื่องพวกนี้อีกต่อไปแล้ว และเขาก็รู้สึกไม่อยากจะพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ความเงียบที่ตึงเครียดปกคลุมพื้นที่ แต่จ้าวนรกองค์ที่สองก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“นี่คือโชคชะตา” จ้าวนรกองค์ที่สองยื่นมันมาตรงหน้าของฉินเย่ “หน้าที่ของมันคือ…ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกเขียนลงไปกลายเป็นจริง ผลของมันขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ใช้ ตอนนี้…มันเป็นของเจ้า”
“นอกจากนี้…เจ้าไม่คิดที่จะเดินทางไปยังสถานที่ที่จ้าวนรกแห่งยมโลกควรไปบ้างหรือ?”
ฉินเย่ตอบกลับเสียงเรียบ “อย่างเช่น?”
“อย่างเช่น…ท้องพระโรง?”