ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 524: ขึ้นครองบัลลังก์?
บทที่ 524: ขึ้นครองบัลลังก์?
ฉินเย่หัวเราะ “มันมีสถานที่แบบนั้นด้วยหรือ? เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อน?”
จ้าวนรกองค์ที่สองแย้มยิ้ม “แน่นอน มันเป็นความจริงที่มันไม่เคยมีสถานที่แบบนั้นมาก่อน แต่…ผู้ใดจะรู้? บางทีสิ่งต่าง ๆ อาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วเล็กน้อยก็เป็นได้”
ขณะที่พูด ชายร่างใหญ่ก็ดีดนิ้ว และพวกเขาก็หายตัวไปจากตรงนั้น หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็มาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งภายในชั้นที่หกของอาคารภายในนครเผิงชิว
ชั้นที่เคยว่างเปล่าที่มีเพียงพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ บัลลังก์ทองที่แสนสง่างามตั้งอยู่ที่กลางห้องด้วยความกว้างหนึ่งเมตรครึ่งและความสูงสองเมตร มังกรที่ถูกแกะสลักอยู่ที่พื้นหลังของบัลลังก์ตรงหน้าไม่ใช่มังกรทั่วไปในแดนมนุษย์ แต่มันคือจู้หรง หรือราชันอัคคีแห่งทิศทักษิณ
ที่วางแขนด้านซ้ายมีลักษณะคล้ายกับตี้ทิง ในขณะที่ที่วางแขนด้านขวามีลักษณะคล้ายกับเซี่ยจื้อ โต๊ะสีทองที่มีความยาวสองเมตรถูกตั้งไว้ตรงหน้าของบัลลังก์ดังกล่าว ทุกอย่างดูยิ่งใหญ่และงดงามเป็นอย่างมาก
คานภายในห้องถูกตกแต่งด้วยม่านบาง เสาขนาดใหญ่ที่ถูกสลักด้วยภาพของขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 มีความสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ตะเกียงทองสัมฤทธิ์ที่มีรูปร่างคล้ายกับรากษสส่องความสว่างไสวให้กับท้องพระโรง ในขณะที่โต๊ะและเก้าอี้จำนวนมากถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบตรงหน้าของบัลลังก์ราวกับราชสำนักในสมัยโบราณ เมื่อมองดูภาพรวมของทั้งหมดนี้ ทุกอย่างดูเหมือนจะแผ่กลิ่นอายของความเคร่งขรึมออกมา
ฉินเย่แน่นิ่งไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้เผยร่องรอยของความประหลาดใจออกมาเลยสักนิด ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาสนใจอะไรพวกนี้เลยแม้แต่น้อย กลับกัน…เด็กหนุ่มเพียงหันหน้ากลับไปมองที่เกาะปี่อั้น
ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร…
ทุกคนยังคงเพลิดเพลินไปกับงานเปิดสวนสนุก เช่นเดียวกับก่อนที่เขาจะจากไป
ทุกอย่างถูกกำหนดให้ดำเนินต่อไปกระทั่งเวลาเที่ยงคืนของค่ำคืนนี้ คืนที่บุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขาจะเผากระดาษและของไหว้มาให้
เขามองไปยังเหล่าประชากรวิญญาณที่กำลังเพลิดเพลินไปกับงานเทศกาลเป็นระยะเวลาหนึ่ง และมันไม่มีใครเอ่ยเร่งให้เขาละสายตาเลยสักคน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หลับตาลงและถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง? ที่แห่งนี้คือรากฐานของเจ้า และมันก็จะเป็นเช่นนี้ไปอีกยาวนาน” จ้าวนรกองค์ที่สองเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างของฉินเย่และเอ่ยเสียงเบา “หากเจ้าปฏิบัติต่อมันไม่ดีพอ มันก็จะปฏิบัติไม่ดีกับเจ้าเช่นกัน และสิ่งหนึ่งที่ข้าสามารถมั่นใจได้ก็คือ หากเจ้าไม่รีบเปลี่ยนทัศนคติที่ตนเองมีต่อยมโลก สิ่งที่รอเราอยู่ในอีก 150 ปีหลังจากนี้ก็จะต้องเป็นการล่มสลายของโลกใต้พิภพของจีน และเหล่าวิญญาณทั้งหมดอย่างแน่นอน”
“เจ้าจะตาย พร้อมกับเหล่าวิญญาณที่คอยรับใช้เจ้าอย่างซื่อสัตย์มาโดยตลอด”
ฉินเย่พยักหน้าและลืมตาขึ้น
คนธรรมดาทั่วไปอาจสามารถกระทำหลายอย่างได้ตามใจชอบโดยไม่สนใจหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเอง อย่างเช่นพวกนักเรียนหรือพนักงานประจำอาจจะไม่สนใจความเสี่ยงและเลือกที่จะลาออกเพื่อทำสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่สนใจส่วนอื่น ๆ ของสังคม แต่จ้าวนรกของยมโลก การละทิ้งความรับผิดชอบเพียงครู่เดียวสามารถทำให้เกิดกองเอกสารจำนวนมากที่ถูกวางซ้อนกันเป็นภูเขา
และนี่ก็ยังไม่ได้พูดถึงการตื่นมาทำงานแต่เช้าและอยู่ทำต่อจนดึกดื่น
เขาไม่สามารถที่จะเป็นคอขวดที่หยุดการหลั่งไหลของข้อมูลได้อีกต่อไป ผู้ที่สวมมงกุฏจะต้องแบกรับน้ำหนักของมัน มันคือหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ผู้ที่รับหน้าที่นี้จะต้องสามารถปฏิเสธตัวเองให้ได้
ตอนนี้ยังไม่สายเกินไปที่เขาจะคิดได้
ทันใดนั้น ฉินเย่ก็เอ่ยออกมาเบา ๆ ขณะที่เขายังคงมองไปยังงานฉลองที่เกาะปี่อั้น “การเป็นจ้าวนรกของยมโลกหมายความว่าอย่างไร?”
จ้าวนรกองค์ที่สองหุบยิ้มและครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับด้วยคำตอบที่ล้ำลึก “ทำให้แน่ใจว่าผู้กระทำผิดนั้นได้รับการลงโทษ และผู้กระทำดีได้รับการตอบแทน”
ฉินเย่พยักหน้า จากนั้นก็หมุนตัวกลับไป
อาร์ทิสและตี้ทิงยืนอยู่ทั้งสองฝั่งของบัลลังก์ ในวินาทีนั้น ทั้งคู่ก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความเคารพ
ฉินเย่มองทั้งสอง ปล่อยให้สายตาของเขาไล่ไปตามพรมสีแดงบนพื้นจนกระทั่งมันหยุดลงที่บัลลังก์ทองที่ตั้งอยู่ที่ปลายสุดของห้อง จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เดินไป
ภาพมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในทุก ๆ ก้าวที่เขาเดิน
เขาได้เริ่มต้นการเดินทางจากเมืองชิงซี นั่นคือตอนที่เขาได้พบกับยายเมิ่งและเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเป็นครั้งแรก ในตอนนั้น เขากลัวจนแทบเสียสติ ไม่คิดเลย…ว่าในที่สุดเขาก็จะได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ในฐานะของจ้าวนรก
ยมโลกเคยมีขนาดเพียงแค่เท่าหมู่บ้านเท่านั้น แต่ด้วยความกล้าและบ้าบิ่นของเขา เขาได้เรียกตัวราชทูตทั้ง 12 เพื่อกลับมาประชุมราชสำนัก และปูทางสำหรับมณฑลต่าง ๆ ที่เขาสามารถเข้ายึดครองนครชวีฟู่และกลายเป็นเจ้าเหนือหัวผู้ปกครองวิญญาณกว่า 20 ล้านตน
เขาเคยมีอาร์ทิสอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้ เขามีรัฐบาลที่มีความสามารถซึ่งกำลังทำงานราวกับเครื่องจักรอยู่ภายใต้อำนาจ พระกษิติครรภโพธิสัตว์เคยมาพบเก่าเขาด้วยตัวเอง ในขณะที่เจ้านรกองค์ที่สองก็เดินทางกลับมาจากดินแดนอันแสนไกลเพื่อส่งมอบมรดกของตนเอง แม้แต่ราชาผีแห่งพิภพอสูรที่เขาเคยหวาดกลัวก็กำลังยืนรอเขาอยู่ที่ด้านนอก ก้มหน้าอย่างยอมจำนน
ฉินเย่ยืนอยู่ตรงหน้าบัลลังก์สี้องและค่อย ๆ ไล่นิ้วไปตามที่วางแขนของมัน สัมผัสถึงลวดลายวิจิตที่ถูกสลักลงไปด้วยมือของตัวเอง มันเป็นสองปีที่ยาวนาน เขา…ไม่คู่ควรกับบัลลังก์นี้
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังนั่งลงไปอย่างไม่ลังเล
พรึ่บ…
บางสิ่งบางอย่างแตกต่างออกไป มันแทบจะเหมือนกับว่า…ทั้งสวรรค์และปฐพีต่างกำลังโค้งคำนับ และท่วงทำนองอันไพเราะก็ถูกบรรเลงขึ้นราวกับต้องการแสดงความยินดีกับการสืบทอดบัลลังก์ของจ้าวนรกองค์ที่สามแห่งยมโลก
“จ้าวนรกองค์ที่สาม” จ้าวนรกองค์ที่สองยืนอยู่เบื้องหน้าของบัลลังก์ทอง ประสานฝ่ามือและกำปั้นเพื่อคารวะบุคคลตรงหน้าด้วยความเคารพ “นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจะยอมรับหน้าที่ของจ้าวนรกอย่างเป็นทางการ ถือครองอำนาจแห่งความเป็นตายอยู่ในมือ แบกรับหน้าที่ในการรักษาสมดุลระหว่างหยินและหยาง เจ้าจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ลงนามในกฎของทั้งสามโลก เจ้าคือยมโลก ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ด้วยความกล้าหาญและเด็ดขาด และทำให้อาณาจักรแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองไปชั่วนิรันดร์ เจ้าจะยอมรับมันหรือไม่?”
อาร์ทิสและตี้ทิงมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่เป็นประกาย ในวินาทีนั้น เปลวไฟที่จุดอยู่ภายในท้องพระโรงพลันลุกโชติช่วงขึ้น
“ข้ายอมรับ”
ทันทีที่เขาเอ่ยออกไปเช่นนั้น จ้าวนรกองค์ที่สองก็ยื่นมือออกมาตรงหน้า และส่งผลให้พลังหยินจำนวนมากก่อตัวเป็นกล่องไม้โบราณสีดำที่ลอยเข้าสู่มือของฉินเย่
กล่องดังกล่าวถูกมัดแน่นไว้ด้วยเชือกสีแดง ฉินเย่พยายามจะเปิดมันออก แต่เชือกตรงหน้ากลับถูกมัดอย่างแน่นหนาราวกับใช้พลังบางอย่าง มันไม่สามารถเปิดออกได้เลยสักนิด
แต่ถึงกระนั้น ตัวอักษรที่ถูกสลักอยู่บนกล่องไม้กลับชัดเจน
เหรียญจ้าวนรก!
หากจ้าวนรกสั่งให้คน ๆ นั้นตาย ผู้ใดจะกล้าขัด?!
จ้าวนรกองค์ที่สองเอ่ยต่อ “นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจะมีชีวิตอยู่และตายไปพร้อมกับยมโลก เกียรติของยมโลกขึ้นอยู่กับเจ้า หากเจ้ากระทำการที่ผิดต่อยมโลก ข้าจะเป็นผู้ทำให้แน่ใจเองว่าการกระทำดังกล่าวนั้นจะได้รับการลงโทษ แต่หากเจ้าและผู้ใต้บังคับบัญชามุ่งหน้าสู่ความถูกต้อง ยมโลกจะไม่มีทางถูกทำลายไปชั่วนิรันดร์ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“ข้าเข้าใจ” ฉินเย่โค้งคำนับต่ำ มันเป็นวินาทีนี้เองที่เขาตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นไร้เดียงสาเพียงใด ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าเขาไม่คู่ควรมากเพียงใดกับการที่เรียกตัวเองว่าจ้าวนรก
เขาควรจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ยมโลกจะยอมรับเขาในฐานะของจ้าวนรกเพียงเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเขามีเศษตราจ้าวนรกอยู่ภายในครอบครอง แต่มันต้องมาพร้อมกับบททดสอบอันยาวนานและยากลำบากซึ่งได้รับการเฝ้าดูโดยเหล่าเทพและเทวดาที่มองไม่เห็น
รวมไปถึงผลตอบรับที่ได้รับจากเหล่าวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนในยมโลก และมนุษย์กว่าพันล้านคนที่อาศัยอยู่ในแดนมนุษย์
มีเพียงหลังจากที่เขาได้ผ่านบททดสอบเหล่านี้แล้วเท่านั้นที่ทุกอย่างจะจบลง และเขาถึงจะสามารถขึ้นครองราชย์ได้อย่างเป็นทางการ
และตอนนี้เขาก็กำลังสืบทอดบัลลังก์อย่างถูกต้องและกลายเป็นที่รู้จักในฐานะของจ้าวนรก เขาจะได้รับการแต่งตั้งต่อหน้าจ้าวนรกองค์ที่สอง อสูรศักดิ์สิทธิ์ และอดีตเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่เพียงตนเดียวของยมโลก
ด้วยคำตอบที่หนักแน่น ม้วนกระดาษสองม้วนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเด็กหนุ่มแล้วส่องประกายเจิดจ้า หนึ่งในนั้นลอยมาที่โต๊ะตรงหน้าของเขาและค่อย ๆ กางออก
“บันทึกสามโลก...ยมโลก?” ฉินเย่จ้องมองคำที่ถูกเขียนอยู่บนนั้นด้วยตัวอักษรที่แสนวิจิตร ทุกลายเส้นล้วนทรงพลังและดูเหมือนจะส่งกลิ่นอายของชีวิตออกมา
หลังจากนั้นรายชื่อที่น่าตกตะลึงจำนวนมากก็ปรากฏขึ้น!
โดยชื่อแรกคือ…พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์!
และชื่อของเขาก็ตามมาด้วยรายชื่ออีก 16 รายชื่อ เจียง จื่อเหวิน หลี่ ฉางเต๋อ หลี่ ซู่เหวิน เปา ซีเหริน เซวี่ย เสิ้งเต๋อ จ้าว จื่อหลง หราน หยงเจิง…
ทั้งหมดนี่คือรายชื่อของพระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบ รวมไปถึงราชันย์วิญญาณทั้งหก!
และมันยังมีช่องว่างที่อยู่เหนือรายชื่อเหล่านี้ทั้งหมด ภายใต้ชื่ออีกสองชื่อที่ถูกเขียนลงไปก่อนหน้านี้
ช่องนี้… ถูกเว้นไว้สำหรับชื่อของเขาอย่างนั้นหรือ?
เขาเคยได้ยินชื่อของบุคคลเหล่านี้จากในตำนานเท่านั้น… ผู้ใดจะไปคิดว่าวันหนึ่งเขาจะมีโอกาสได้เขียนชื่อของตัวเองไว้เหนือชื่อของคนเหล่านี้กัน…
“บันทึกสามโลก เขียนชื่อของเจ้าลงไปยังพื้นที่ว่างที่อยู่ด้านบน” โชคชะตาลอยมาอยู่ที่จุดบนสุดของม้วนกระดาษขณะที่จ้าวนรกองค์ที่สองบอก “นับจากนี้…เจ้าจะกลายเป็นหนึ่งในผู้อมตะที่เพลิดเพลินไปกับสิ่งของที่ได้รับถวายจากแดนมนุษย์ผ่านศาลเจ้า และจากโลกใต้พิภพผ่านวิหารของพวกเขา ต่อจากนี้ไป เจ้าจะถูกรู้จักในฐานะของเจ้าผู้ปกครองโลกใต้พิภพ!”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอื้อมมือไปจับโชคชะตาอย่างระมัดระวัง
จิตวิญญาณสีทองที่ก่อตัวอยู่ภายในแกนกลางของโชคชะตาหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง กรีดร้องออกมาราวกับนี่คือวินาทีที่มันรอคอยมาเป็นเวลานาน จากนั้น ขณะที่ฉินเย่กำลังจะเขียนชื่อของตัวเองลงไปในบันทึกสามโลก เขาก็นิ่งไป จากนั้นจึงมองชื่อสองชื่อที่อยู่ด้านบน
เขาอยากจะรู้ชื่อของรุ่นก่อน!
ทันใดนั้น รายชื่อสีแดงสองรายชื่อก็ปรากฏขึ้น จ้าวนรกองค์แรกของยมโลก... ปั๋ว อี้เข่า!*[1]
เขานี่เอง!
เด็กหนุ่มมองชื่อดังกล่าวด้วยความตกตะลึง ทันใดนั้น ความคิดมากมายก็ผุดขึ้นมาในหัว และเขาก็ถอนหายใจออกมา
ปั๋ว อี้เข่า… บุตรชายของพระเจ้าโจวเหวิน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเทพเจ้าที่แท้จริง ชื่อของเขาคือ…มหาราชจักรพรรดิแห่งดาวเหนือในกรงต้องห้ามสีม่วงที่ศูนย์กลางของสวรรค์ จักรพรรดิจือเวย!
ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นได้ว่าจ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกนั้นเป็นตัวตนที่ไร้นาม ตามตำนานได้เคยกล่าวว่าจักรพรรดิจือเวยยังคงเป็นจ้าวนรกของยมโลก ในขณะที่อีกแหล่งหนึ่งระบุว่าจ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกได้กลับมาเกิดใหม่แล้วถึงสามครั้ง ในชาติแรก เขาเกิดเป็นหลิว ปัง หรือที่รู้จักกันในนามฮั่นเกาจู่ ในชาติที่สอง เขาเกิดเป็นหลิว ซิ่ว หรือที่รู้จักในนามจักรพรรดิฮั่นกวังอู่ และในชาติที่สาม เขาได้เกิดเป็นหลี่ซือหมิน หรือที่รู้จักในนามจักรพรรดิไท่จงแห่งถัง!
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเล่าทั้งสิ้น และความจริง…ก็กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าของฉินเย่ในเวลานี้!
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ จากนั้นจึงเหลือบไปที่ชื่อของจ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลก
แต่ถึงกระนั้น เขากลับพบว่าชื่อของจ้าวนรกองค์ที่สองนั้น…พร่าเลือน!
เขาไม่สามารถอ่านชื่อของจ้าวนรกองค์ที่สองได้ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด มันเหมือนกับว่าทั้งสองโลกไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเผยชื่อของอีกฝ่าย
หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นมาในที่สุด “ท่านเป็นใครกันแน่?”
จ้าวนรกองค์ที่สองหัวเราะออกมาเบา ๆ “ชื่อของข้านั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือม้วนกระดาษนี้สามารถปรากฏขึ้นได้เพียงอึดใจเท่านั้น และมันก็มีเพียงผู้ที่รับสืบทอดบัลลังก์เท่านั้นที่สามารถมองเห็นมันได้ ดังนั้น…เจ้าไม่คิดหรือว่าตัวเองควรเร่งมือ?”
ฉินเย่ถอนหายใจ จากนั้นจึงเริ่มเขียนชื่อของตนเอง
ฟึ่บ...
ทันทีที่เขาเขียนชื่อของตัวเองลงไปบนม้วนกระดาษ บันทึกสามโลกก็เปล่งประกายสีทองออกมา ทันใดนั้นชื่อของปั๋ว อี้เข่า จ้าวนรกองค์ที่สอง และฉินเย่ก็ขยับเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนไปทับซ้อนกัน ภายในใจของฉินเย่พลันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนมากมาย
นี่ชื่อของเขา…ถูกจัดให้อยู่ระดับเดียวกันกับบุคคลในตำนานเหล่านี้จริง ๆ น่ะหรือ?
ฟึ่บ...
สายเชือกสีแดงลอยกลับมาผูกม้วนกระดาษเอาไว้อีกครั้ง และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ราวกับกลุ่มควัน ม้วนกระดาษทั้งม้วนได้หายไปในความว่างเปล่า
ตี้ทิงที่ย่อขนาดตัวลงจนมีขนาดเพียงหนึ่งเมตรรีบหมอบลงด้วยขาทั้งสี่และก้มหัวแนบกับพื้นพร้อมตะโกนออกมาเสียงดัง
“ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อย ตี้ทิง ได้เป็นพยานการสืบทอดจ้าวนรกองค์ใหม่แห่งยมโลก ขอให้ความรุ่งโรจน์ของนรกคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์”
อาร์ทิสเองก็ยกชายกระโปรงของนางขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อย อดีตตุลาการนรกของมณฑลหมินเฟิง ได้เป็นพยานการสืบทอดจ้าวนรกองค์ใหม่แห่งยมโลก ข้าขอรับใช้ยมโลกไปชั่วนิรันดร์”
และท้ายที่สุด จ้าวนรกองค์ที่สองประสานฝ่ามือและกำปั้นของเขาอย่างเคารพและโค้งคำนับอย่างจริงใจ “อดีตจ้าวนรกแห่งยมโลกขอก้าวลงจากตำแหน่งและมอบกรรมสิทธิ์และความรับผิดชอบทั้งหมดที่มีต่อยมโลกให้กับจ้าวนรกองค์ใหม่แห่งยมโลก ข้าเองก็ได้เป็นพยานการสืบทอดจ้าวนรกองค์ใหม่แห่งยมโลกแล้วเช่นกัน”
มันคือการขึ้นครองบัลลังก์อย่างเป็นทางการของจ้าวนรกองค์ใหม่!
และได้รับการเป็นพยานโดยจ้าวนรกองค์ที่สอง อสูรศักดิ์สิทธิ์ และเจ้าหน้าที่ที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายของยมโลกแห่งเก่า!
มันอาจจะไม่ได้มีพยานอยู่จำนวนมากนัก แต่ตำแหน่งและตัวตนของพยานเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทดแทนจำนวนตัวเลขที่ขาดไป!
ทันใดนั้น แสงสีทองจากสวรรค์ก็ส่องลงมายังหลังคาของท้องพระโรง ห่อหุ้มร่างของฉินเย่และทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในรัศมีสิบเมตรของเขา เขาจ้องไปยังม้วนกระดาษอีกม้วนหนึ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ
นี่คือความรู้สึกของการได้เป็นจ้าวนรกสินะ?
ถ้าม้วนกระดาษก่อนหน้านี้คือบันทึกสามโลก แล้ว…ม้วนกระดาษตรงหน้านี้คืออะไร?
[1] บุตรชายคนโตของพระเจ้าโจวเหวิน มีชีวิตอยู่ในช่วง 1112 – 1050 ปีก่อนคริสตกาล