ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 528: มรดกของยมโลก (1)
บทที่ 528: มรดกของยมโลก (1)
พวกเขานอนอยู่ที่ดาดฟ้าเรือ พักผ่อนไปเป็นเวลากว่า 30 นาที จนกระทั่งดอกบัวที่อยู่เหนือศีรษะค่อย ๆ ลดลงและเกาะขนาดเล็กปรากฏขึ้นให้เห็น
ไม่มีใครลุกขึ้นจากที่ พวกเขายังคงพักผ่อนอย่างเกียจคร้านไปจนกระทั่งเรือเทียบท่า ก่อนจะลืมตาขึ้นในที่สุด
“ที่นี่จะเป็นบ้านของเจ้าไปอีกสักพัก อย่าคิดที่จะก้าวออกไปจากที่นี่จนกว่าเจ้าจะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็น” สวีหยางอี้เอ่ยนิ่ง ๆ “ตี้ทิงจะเป็นผู้ดูแลกิจการของยมโลกให้ เ เขาสามารถทำมันได้ดีกว่าเจ้าในตอนนี้มาก”
ฉินเย่ลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจไปมา
เกาะนี้ไม่ได้ใหญ่มาก แต่มันกลับมีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ ล้อมรอบไปด้วยป่าไผ่ รวมไปถึงต้นท้อที่บานสะพรั่ง ทั้งหมดนี้ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูราวกับสรวงสวรรค์
แต่เมื่อฉินเย่หันหลังกลับไปมองสวีหยางอี้ เขาก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงแหงนหน้ามองฟ้าอย่างขี้เกียจ เฮ้อ…ทรมานตาชะมัด…
แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่ก็รู้สึกว่าความแค้นที่เขามีต่อจ้าวนรกองค์ที่สองนั้นลดลงเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของสวีหยางอี้ จ้าวนรกทั้งสองก็ไม่ได้ปิดบังนิสัยที่แท้จริงจากการพูดคุยระหว่างกันอีกต่อไป และไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่าตนเองใกล ล้ชิดกับฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น
ท่าทีเหลวไหลและนอกรีตซึ่งขัดกับกลิ่นอายของความสูงศักดิ์และสง่างามทำให้เขาดูน่าสนใจ นอกจากนี้ สวีหยางอี้ยังให้ความรู้สึกเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
“คนแบบท่านกลายมาเป็นจ้าวนรกแห่งยมโลกได้อย่างไรกัน?” ฉินเย่ล้มตัวลงนอนอีกครั้งและหันไปมองหน้าสวีหยางอี้ เขาต้องยอมรับเลยว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมากจนเขารู้สึกเจ็บตา.. ..
“เพราะไม่ว่าข้าจะมองเป็นอย่างไร ท่านก็ดูไม่เหมือนกับคนที่จะสืบทอดบัลลังก์ในฐานะจ้าวนรกแห่งยมโลกได้”
สวีหยางอี้ดันหน้าฉินเย่ออกไป “บางสิ่งบางอย่างได้ถูกกำหนดให้เกิดขึ้น ไม่ว่าเจ้าจะชอบมันหรือไม่…”
“ตี้ทิงบอกข้าว่าท่านถูกจ้าวนรกองค์แรกหลอกให้ท่านรับสืบทอด ท่านคงไม่มีทางเลือกจริง ๆ สินะ?”
เงียบ…
เงียบอย่างกระอักกระอ่วน…
สวีหยางอี้ลุกขึ้นนั่งตัวตรง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าแก้มของตัวเองซ่าเล็กน้อย…เหมือนกับพิคาชูที่กำลังจะปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังออกมา เขาอดคิดไม่ได้ว่าฉินเย่กำลังพยายามทดสอบ บขีดความอดทนและการควบคุมตนเองของเขาอยู่
“เจ้าควรจะเป็นห่วงตัวเองก่อน” เขาจับไหล่ของฉินเย่และหายตัวไปจากเรือ “มรดกของยมโลกไม่ใช่สิ่งที่จะผ่านไปได้ง่าย ๆ”
เสี้ยววินาทีต่อมา พวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นใต้ต้นท้อพันปีที่อยู่บนเกาะ ชุดน้ำชาชุดหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เวลานี้ ฉินเย่ได้สลายร่างยมทูตของตัวเองไปแล้ว และทั้งคู่ก็เดินไปนั่งท ที่โต๊ะโดยอยู่ในชุดเครื่องแบบลายพราง มันเป็นภาพที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะมองจากมุมใด
“นี่แค่เพื่อแสดงใช่หรือไม่? ข้าพอจะสามารถบอกได้ว่าท่านไม่ได้เชี่ยวชาญในพิธีชงชาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ท่าทีการแสดงออกของท่านเองก็ยังไม่เข้ากับสถานการณ์เลยด้วยซ้ำ!” ฉินเย่วิเ เคราะห์ทุกการเคลื่อนไหวที่สวีหยางอี้กำลังกระทำขณะที่อีกฝ่ายทำพิธีชงชา และทันทีที่ได้ยินความคิดเห็นของเด็กหนุ่ม มือของสวีหยางอี้ก็สั่นเทา เขาเกือบจะสาดชาร้อนในมือใส่หน้าของ งคนตรงหน้า
มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้… เขาจำไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน... ในความเป็นจริง เขามักจะเป็นฝ่ายหัวเราะฉินเย่ด้วยซ้ำ… แล้วทำไมจู่ ๆ อีกฝ่ายถึงมีท่าทีที่เปลี่ยนไปเช่น นนี้?
สวีหยางอี้พยายามข่มเจตนาฆ่าของตัวเองทันทีที่เสร็จสิ้นพิธีชงชา เขารินมันลงในถ้วยชาทั้งสองถ้วยและวางมันลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น “ถ้าเช่นนั้น เราก็ มาเริ่มกันเลย”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วสูดหายใจเข้าช้า ๆ ทันใดนั้น เสียงรอบข้างก็เงียบหายไป ฉินเย่นั่งตัวตรง จากนั้น ด้วยเสียงดีดนิ้วเบา ๆ ของสวีหยางอี้ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวพวกเขาก็มืดล ลง ในขณะที่รูปภาพจำนวนมากปรากฏขึ้นท่ามกลางม่านแสงสีทอง
“เจ้าอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่แดนมนุษย์สังเกตเห็นเจ้าตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจเข้าไปกำหนดอนาคตของเจ้าด้วยพลังของโชคชะตา… เจ้าทำอะไร?”
ฉินเย่หยกมือขึ้น และจ้องมองไปที่อีกฝ่าย หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็เอ่ยออกไปอย่างทนไม่ไหว “ติวเตอร์สวี ไม่ใช่ว่าท่านควรพูดเรื่องพวกนี้โดยใช้หลักจิตวิทยาหรอกหรือ? ท่านเริ่ม มโดยที่ไม่เกริ่นนำได้อย่างไร? ท่านเคยนึกถึงความรู้สึกของนักเรียนที่แสนน่ารักผู้นี้บ้างหรือไม่? ข้ายังคงจำได้ดีว่าในครั้งสุดท้ายที่ตัวเองไปโรงเรียน อาจารย์ของข้ามักจะเข้าสู เนื้อหาหลักโดยการสรุปเนื้อหาของคาบเรียนครั้งที่แล้วก่อน แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งเหล่านั้นกัน?”
อดทน…
เส้นเลือดบริเวณขมับของสวีหยางอี้เต้นตุบ ๆ ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าการอาสาที่จะส่งต่อมรดกของยมโลกและความรู้ทั้งหมดให้กับฉินเย่นั้นไม่ต่างอะไรกับการขุดหลุมฝังตัวเอง…
นี่อาร์ทิสสามารถทนกับเด็กหนุ่มตรงหน้าได้อย่างไรทุกวัน?
ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ยังคงพูดต่อไป “เรามาเริ่มกันใหม่อีกครั้งก็แล้วกัน หรือว่าท่านอาจจะบันทึกเนื้อหาทั้งหมดเอาไว้ให้ข้าทบทวนแบบออฟไลน์แทน? ข้ายอมจ่ายค่าสมัครให้ท่านเลยด้วย ยก็ได้ หลังจากนั้น ทั้งหมดที่ท่านต้องทำมีเพียงส่งเนื้อหาทั้งหมดมาให้ข้าผ่าน QQ”
ฉึก!
ในวินาทีนั้น ดาบยาวที่มีขนาดเท่าคน ๆ หนึ่งก็ถูกปักลงกับพื้น ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าประกายขึ้นรอบตัวเขา ทันใดนั้น ใบหน้าของฉินเย่ก็ซีดเผือดและฉายชัดถึงความกลัว
เดี๋ยวก่อนสิ… เด็กหนุ่มนึกว่าพวกเขาเริ่มต้นกันมาได้ด้วยดีเสียอีก… แล้วก็แค่ต้องการจะทดสอบขอบเขตของตนเองเท่านั้น เหตุใดเส้นความอดทนของอีกฝ่ายจึงตื้นนัก…
นอกจากนี้ มันไม่ขัดกันไปหน่อยหรืออย่างไร? ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นคนขี้เกียจ แต่ท่านกลับทำตัวจริงจังและเคร่งขรึมเนี่ยนะ?! ท่านนี่เหมือนกับปีศาจสองหน้าไม่มีผิด!
“ค่าสมัคร?” สวีหยางอี้จิบชาในถ้วยของตนและเลิกคิ้วขึ้นขณะที่จ้องไปยังฉินเย่
ฉินเย่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“QQ?”
“ดีมาก” สวีหยางอี้ตวัดดาบในมือ “เจ้าจะเชื่อหรือไม่หากข้าบอกว่าข้าจะลบสิ่งเหล่านี้ทิ้งให้หมด?”
จอมขี้ขลาดฉินเย่ตัวสั่นเทา
เขาน่าจะรู้ดีว่าตัวเองสามารถทำแบบนี้ได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอกว่าตัวเองเท่านั้น เขาจะต้องระมัดระวังความประพฤติของตนเองหากอยากจะออกไปจากค่ายฝึกนี้โดยที่ยังมีชีวิต...
เมื่อเห็นว่าฉินเย่ไม่พูดจาไร้สาระอีกต่อไป สวีหยางอี้ก็หุบยิ้ม “โดยทั่วไปแล้ว วัตถุโบราณและแผ่นจารึกภายในพิพิธภัณฑ์ที่มีการบันทึกเกี่ยวกับจ้าวนรกทั้งหมดจะปรากฏชื่อของเจ้าห หรือรูปลักษณ์ของเจ้าให้เห็น”
ฉินเย่มองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบว่าแผ่นจารึกโบราณและวัตถุโบราณทั้งหมดล้วนถูกสลักด้วยคำว่า จ้าวนรกแห่งยมโลก ฉินเย่
“ตอนนี้ยังเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่เดือน ทั้งศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า และแม้แต่สำนักงานใหญ่ของช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพทั้งเจ็ดก็จะค้นพบเป็นครั้งแรกว ว่าจ้าวนรกแห่งยมโลกนั้นมีชื่อ”
ฉินเย่ยกถ้วยชาขึ้นและไล่นิ้วไปตามขอบของมัน “นี่ก็เป็นเพราะ กฎการทำงานร่วมกันของหยินและหยางของชุยเจวี๋ยอย่างนั้นหรือ?”
“ส่วนหนึ่ง” สวีหยางอี้เอ่ย “แต่มันก็เป็นเพราะว่าจ้าวนรกองค์ก่อนของยมโลกล้วนทรงพลังและอยู่ขั้นพระยมเป็นอย่างน้อยด้วยเช่นกัน พวกเราสามารถใช้พลังของตัวเองในการปิดบังข้อมู ลทั้งหมดที่เกี่ยวกับตนเองเพื่อไม่ให้รายละเอียดเหล่านั้นถูกเปิดเผยต่อทั้งโลกได้ แต่เจ้า ในอีกด้านหนึ่ง เป็นเพียงพวกไม่ได้ แค่ก ๆ…จ้าวนรกที่อ่อนแอที่สุดตั้งแต่ยมโลกเลยมี มา ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะสามารถห้ามการปรากฏของข้อมูลเหล่านี้ได้ นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าเหตุใดสัญญาณมากมายจึงเริ่มปรากฏขึ้นในแดนมนุษย์”
ฉินเย่จ้องอีกฝ่าย ท่านพูดมันออกมาแล้ว ท่านตั้งใจจะเรียกข้าว่าพวกไม่ได้เรื่อง!! ช่วยแสดงความเคารพต่อจ้าวนรกองค์ที่สามแห่งยมโลกหน่อยได้หรือไม่?!
“นี่คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ด้วยการเปิดเผยตัวตนของเจ้าผ่านกฎการทำงานร่วมกันของหยินและหยางของชุยเจวี๋ย” สวีหยางอี้กระแอมออกมาเบา ๆ ขณะที่เขาเอ่ยต่อ “เจ้าคิดว่าทำไมรัฐบา าลของแดนมนุษย์ถึงเลือกที่จะต่อต้านเจ้า ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ว่ามันมีความเป็นไปได้ที่เจ้าจะเป็นจ้าวนรกแห่งยมโลก?”
ฉินเย่หลบสายตาอย่างไม่เต็มใจ ในขณะเดียวกัน เขาก็ทบทวนการประเมินเกี่ยวกับสวีหยางอี้ของตัวเองก่อนหน้านี้ ชายคนนี้…ไม่ใช่คนดีเลยสักนิด…
“ข้าเข้าใจการตัดสินใจของพวกเขา” ฉินเย่จิบชาขณะที่รวบรวมความคิด “ในฐานะรัฐบาล สิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ แน่นอน มันอาจมีความเป็นไปได้ที่ข้าจะเป็นจ้า าวนรกแห่งยมโลก แต่แนวคิดเช่นนี้ก็มากเกินกว่าที่รัฐบาลจะสามารถรับมือได้ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือยมทูตที่พวกเขาสามารถควบคุมได้ ไม่ใช่จ้าวแห่งยมโลกที่สามารถไปกลับแดนมนุษย์ได ด้ตามใจชอบ”
“พอมาลองคิดดู พวกเขาก็คงจะจับตาดูการเคลื่อนไหวของข้ามาสักพักแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไร รอบตัวข้าก็มีสิ่งผิดปกติมากเกินไป มันมากจนทางรัฐบาลไม่สามารถมองข้ามได้ ดังนั้นข้าจึงสามา ารถเข้าใจการกระทำของพวกเขา ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของจุดยืนที่ทำให้พวกเขาต้องให้ความสำคัญกับหน้าที่และความรับผิดชอบของเขาเป็นอันดับแรก หากข้าเป็นพวกเขา ข้าเองก็คงจะทำแบบเด ดียวกัน”
ทำไมรัฐบาลถึงต้องยอมปล่อยฉินเย่ให้หลุดลอยไปเพียงเพราะว่าชื่อของเขาปรากฎขึ้นต่อจากคำว่า ‘จ้าวนรกแห่งยมโลก’ ด้วย? นอกจากนี้ มันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญที่พวกเขามีชื่อเหมือ อนกันก็ได้
หลังจากที่พึ่งพาความสามารถของตัวเองมาตลอดร้อยปี มันเป็นธรรมดาที่ทางรัฐบาลจะไม่เชื่อใจใครนอกจากตัวเอง นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อรังของภูตผีนับหมื่นปรากฏขึ้นในมณฑลซานตง และวิญญาณขั้นฝู่จวินถูกตรวจพบว่าเดินทางมาจากสามมณฑลทางตะวันออก ทางรัฐบาลย่อมต้องขุดคุ้ยเรื่องนี้จนถึงที่สุด!
พวกเขาต้องการคำตอบ!
ตราบใดที่สถานการณ์ยังคงไม่ชัดเจน พวกเขาก็ไม่สามารถระบุต้นตอของปัญหาได้ นอกจากนี้ หากมันปรากฏออกมาว่าฉินเย่คือจ้าวนรกแห่งยมโลกจริง ๆ ทางรัฐบาลก็ยังสามารถกอบกู้สถานการณ์ได ด้ในภายหลัง เพราะอย่างไรแล้ว รัฐบาลและจ้าวนรกต่างก็เป็นผู้ปกครองดินแดนของพวกเขาทั้งสิ้น เมื่อตัดความสัมพันธ์ส่วนตัวออกไป สิ่งที่สำคัญมากกว่าก็คือผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน นั่น จะเป็นพื้นฐานในการแก้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดเหล่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ทางรัฐบาลจึงใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อหาคำตอบ พวกเขาคงไม่ทำร้ายฉินเย่ แต่มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยให้เด็กหนุ่มเดินทางไปไหนมาไหนโดยไม่ให้คำตอบแก่พวกเขาเลย นี่เ เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขากำลังแบกรับน้ำหนักของชีวิตนับพันล้านไว้บนบ่า และมันก็ไม่มีที่สำหรับความผิดพลาด
“ทุกอย่างมีหลายแง่มุมเสมอ…” สวีหยางอี้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “แต่มันก็มีอีกแง่มุมหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน”
สวีหยางอี้สบตาฉินเย่อย่างตรงไปตรงมา “นั่นก็คือความศรัทธา…”
แววตาของฉินเย่เปลี่ยนจริงจัง ขณะที่เขาฟังที่อีกฝ่ายพูดอย่างตั้งใจ
แต่ถึงกระนั้น สวีหยางอี้ก็ไม่ได้อธิบายทุกอย่างให้ฉินเย่ฟังในทันที กลับกันเขาเพียงถามว่า “ความศรัทธาคืออะไร? มันเป็นแค่ความงมงายอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “หากพูดตามหลักการแล้ว ทั้งสองอย่างล้วนเกิดขึ้นมาจากความเชื่อของมนุษย์ มันคือความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ”
“แล้วหากเราไปไกลกว่าเรื่องของหลักการเล่า?”
ฉินเย่ชะงักไป จากนั้นจึงแย้มยิ้ม “เช่นนั้นข้าก็คงตอบว่าความศรัทธาคือปราการสุดท้ายในใจของผู้คนที่ปกป้องและกำหนดบรรทัดฐานของพวกเขา มันคือหลักการในการใช้ชีวิตของพวกเขา ในขณ ณะที่ความงมงาย ที่สุดของความสุดโต่ง…จะเปลี่ยนให้ปราการสุดท้ายนี้เป็นคำตอบของทุกสิ่ง”
“หากพูดกันตามจริง ข้ามักคิดเสมอว่าการสูญเสียความศรัทธานั้นไม่มีทางเป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะเป็นความงมงาย แม้ว่าพวกมันสามารถแยกแยะได้ยากมากก็ตาม ความงมงายเป็นสิ่งที่ มีไว้สำหรับสถานการณ์ที่คน ๆ หนึ่งปล่อยให้ความเชื่อของเขาอยู่เหนือจิตใจของตัวเองมากเกินไป หากเราขยายวงให้กว้างกว่านี้ ข้าเกรงว่ามันคงมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องถูกรวมอยู ภายในคำนิยามของความงมงาย ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม นิยายแฟนตาซี หรือแม้กระทั่งศาสนาที่ยืนหยัดต่อสู้กับกาลเวลา อันที่จริง มันมีบางครั้งด้วยซ้ำที่ข้าคิดว่าสังคมคือรูปแบบแรกของผล ลลัพธ์ของความงมงาย”
“กลับมาเรื่องที่เราคุยกันอยู่ ข้าเองก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าความเชื่อเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดีเสมอไป อย่างน้อยที่สุด ความศรัทธาในสิ่งเหล ล่านั้นก็ย่อมสร้างพื้นฐานของหลักการและบรรทัดฐานภายในใจของพวกเขา มันอาจจะทำให้พวกเขามีความหวังเมื่อต้องอยู่ในช่วงเวลาอันมืดมิด ความศรัทธามักจะมาพร้อมกับค่านิยม หลักการ บรรทัดฐ ฐาน และเพราะความศรัทธาเช่นกันที่ทำให้เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาเพื่อทำดี”
สวีหยางอี้ไม่คิดว่าฉินเย่จะพูดยาวขนาดนี้ เขาเลิกคิ้วขึ้นและพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยออกมา “ตรงประเด็นดี ถ้าเช่นนั้น ระหว่างความศรัทธาและความงมงาย เจ้าคิดว่าสิ่งใดสำคัญกว่ากัน? ?”
ฉินเย่ส่ายหน้า
นี่เป็นคำถามเชิงปรัชญาเกินไปที่จะคิดในเวลานี้ ในเมื่อสวีหยางอี้เป็นคนถามมันขึ้นมา เช่นนั้นเขาก็คงรู้คำตอบอยู่แล้ว
สวีหยางอี้สบตาอีกฝ่าย “มันคือความศรัทธา”
ฉินเย่อ้าปากค้าง “มันคือสิ่งนั้น…”
“สิ่งนั้น?” สวีหยางอี้ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจคำตอบของฉินเย่
ฉินเย่กระแอมเบา ๆ และเริ่มเต้นอย่างบ้าคลั่งบนน้ำแข็งแผ่นบางที่เขาเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ “ความรัก~~ แม้ว่าในความตาย~~ จงมอบมันด้วยใจหรือไม่มอบเลย… สุดท้ายแล้ว~~ ความรัก~~ ~ ยังคง~~ ดำเนินต่อไป~~*[1]”
ครืน!!
ทันใดนั้น ดาบขนาดใหญ่ก็ปักลงไปลึกกว่าเดิม ส่งผลให้ทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมด้วยเสียงดังสนั่น
[1] เนื้อเพลง 死了都要爱