ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 529: มรดกของยมโลก (2)
บทที่ 529: มรดกของยมโลก (2)
สวีหยางอี้จ้องมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาพิฆาต ราวกับต้องการจะบอกว่า เอาสิ แน่จริงก็ร้องต่อ!
“ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะว่าบรรยากาศที่นี่มันจะเคร่งเครียดเกินไปแล้ว… ทางที่ดีที่สุดสำหรับการศึกษาก็คือการสร้างความเชื่อมโยงและสร้างความมีส่วนร่วมให้กับนักเรียน…” ฉินเย่ พึมพำออกมาเบา ๆ ผู้ชายตรงหน้าเป็นบ้าอะไร?! ทำไมถึงถูกยั่วโมโหง่ายขนาดนี้?
นี่คือบทสนทนาระหว่างจ้าวนรกทั้งสองก็จริง แต่มันจำเป็นจะต้องเคร่งเครียดขนาดนี้จริง ๆ น่ะหรือ? นี่เขากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรยากาศโดยรอบมีชีวิตชีวาขึ้น เพราะฉะนั้น ท่านช่วยหยุดขัดขวางความพยายามของข้าจะได้หรือไม่?!
สวีหยางอี้หลับตาลง สูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ชายหนุ่มยังคงกำรอบด้ามดาบของตัวเองแน่น
“ความศรัทธาเกิดจากความเชื่อ” จากนั้นจู่ ๆ เขาก็เหมือนจะเปลี่ยนหัวข้อไป “ตำนานเกิดขึ้นเพราะว่ามันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์และหลักตัวเลขไม่สามารถอธิบายได้ ตำนานและความศรั ทธาคือของคู่กัน และความศรัทธาก็คือรากฐานของโลกใต้พิภพทุกแห่ง! ข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็คือการหายไปของโลกใต้พิภพจำนวนมาก บางแห่งอาจจะถูกโจมตี หรือทำลายโดยควา ามตายของเทพของพวกเขา แต่ที่บ่อยกว่าก็คือ…พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับบททดสอบของกาลเวลา”
“เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป ชุมชนที่เป็นผู้ริเริ่มเกี่ยวกับเทพแห่งความตายเหล่านี้ก็ไม่เชื่อในตัวเขาและไม่เผยแพร่ถึงการมีอยู่ของเขาอีกต่อไป เมื่อผู้ติดตามมีจำนวนลดลง มันก็เป็ นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่เทพแห่งความตายและโลกใต้พิภพแห่งนั้นจะล่มสลายไป นี่จึงเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมโลกใต้พิภพที่มีอายุยาวนานถึงมีแนวโน้มที่จะทรงพลังมากกว่า มันเป็ นเพราะว่าพวกเขาสามารถก้าวข้ามบททดสอบของเวลา และพวกเขาก็มีกลุ่มผู้ศรัทธาและผู้ติดตามที่แน่วแน่อยู่”
“จ้าวนรกฉิน ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับสถานการณ์ของจีนในเวลานี้? เจ้าคิดว่าเวลาอยู่ข้างเจ้าหรืออย่างไร? ไม่เลยสักนิด…สถานการณ์ของยมโลกในเวลานี้กำลังวิกฤตขึ้นเรื่อย ๆ! นี่คือหนึ่งในเหตุผลหลักว่าทำไมข้าจึงต้องทำให้เจ้าตระหนักถึงหน้าที่ของจ้าวนรกแห่งยมโลกโดยเร็วที่สุด ข้อเท็จจริงที่เจ้าไม่สามารถปกปิดตัวตนของตนเองจากแดนมนุษย์ได้ทำให้เจ้าต้ องตกอยู่ในความเสี่ยง แต่มันก็นำพาโอกาสมาให้เจ้าเช่นกัน!”
“ฟื้นฟูความศรัทธาเกี่ยวกับจ้าวนรกแห่งยมโลก! จารึกชื่อของเจ้าลงในพงศาวดารตำนานจีน! นี่คือโอกาสเดียวที่จะทำให้เจ้าสามารถก้าวข้ามทั้งปั๋ว อี้เข่าและข้าไปได้อย่างง่ายดาย จงค คว้าโอกาสนี้ไว้!”
ลมหายใจของฉินเย่เริ่มติดขัดทันที…
เขานึกถึงสิ่งที่สวีหยางอี้เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ มันคือ ‘การเผยแพร่ตำนาน’!
บางสิ่งบางอย่างบอกฉินเย่ว่าสวีหยางอี้กำลังจะเข้าแก่นเนื้อหาที่แท้จริงของเรื่องนี้
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของอีกฝ่ายอาจจะดูสงบนิ่ง มันกลับเห็นได้ชัดเลยว่าสวีหยางอี้กำลังระงับความตื่นเต้นภายในใจของตัวเองอยู่ แม้แต่อากาศรอบตัวของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อยจากอาร รมณ์ที่พุ่งพล่านนั้น เขาเอ่ยต่อ “ลองคิดดู – ทุกดวงวิญญาณในโลกใต้พิภพ รวมถึงหน้าที่และบทบาทของพวกเขา ล้วนมีรากฐานเกี่ยวกับตำนานที่ถูกเผยแพร่ในแดนมนุษย์ทั้งสิ้น! นี่จึงเป็น เหตุผลว่าทำไมมันถึงกล่าวว่าแดนมนุษย์คือรากฐานที่ทำให้ยมโลกและสวรรค์ถูกสร้างขึ้น! เมื่อปราศจากตำนานเหล่านี้ มันก็จะไม่มีสวรรค์และยมโลก เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์เลิกนับถือในเท ทพเจ้าของพวกเขา พลังของสวรรค์และยมโลกก็ไม่อาจคงอยู่ได้”
ฉินเย่นิ่งไป จากนั้นก็เริ่มคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง
หากทุกอย่างเป็นอย่างที่สวีหยางอี้พูด เช่นนี้ตอนนี้แผ่นดินจีนก็คงจะกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งใหญ่หลวง
จีนยังคงสั่นคลอนจากผลกระทบของการปฏิรูปวัฒนธรรม พวกเขาสร้างตัวเองขึ้นมาจากเถ้าถ่าน ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่มีค่าต่อการพัฒนาและหันไปเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์โดยสมบูรณ์ แต่น่าเส สียดาย…ที่พวกเขาไปไกลเกินไป
ความศรัทธาและความงมงายนั้นเป็นแนวคิดที่แทบจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ จะมีมนุษย์สักกี่คนในจีนที่ยังสามารถแยกแยะระหว่างทั้งสองและใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อได้? อย่างมากที่สุ ด พวกเขาส่วนใหญ่ก็แค่ยึดติดอยู่กับความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติเท่านั้น และจะสวดมนต์ก็ต่อเมื่อมีเวลาว่างหรือมีสถานการณ์ที่ฉุกเฉินเกิดขึ้น
ไม่มีใครที่คอยเผยแพร่ตำนานเหล่านี้อีกต่อไป
หากไม่ใช่เพราะว่าเรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกอยู่ในหนังสือและบทความ หลักปฏิบัติ และใช้เป็นส่วนประกอบในวิชาจริยธรรมสำหรับเด็ก ๆ แล้วล่ะก็ เช่นนั้น…มันอาจจะมีเพียงไม่กี่คนเท่า านั้นที่ยังสามารถแยกแยะสานต่อความเชื่อภายในจีนได้
“เจ้าเข้าใจมันแล้วหรือยัง?” สวีหยางอี้ไล่นิ้วไปตามขอบถ้วยชาเบา ๆ “นานมาแล้วที่แผ่นดินจีนได้ล้มเลิกระบอบการปกครองแบบศักดินา ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะตามทันโลก จีนได้แย ยกสังคมออกจากมรดกทางวัฒนธรรมของพวกเขาอย่างชัดเจน และนั่นก็รวมถึงเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับตำนานเหล่านี้ด้วย ข้าได้เห็นภาพนิมิตบางอย่างเกี่ยวกับอนาคตของวินาทีที่ยมโลกล่มสลายลง หากข้าหยุดยั้งกระบวนการล่มสลายก่อนหน้านี้และปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินต่อไป ข้าก็ไม่สงสัยเลยหากยมโลกจะถูกคัดออกจากการเป็นสี่มหาอำนาจของโลกใต้พิภพภายในเวลาไม่ถึง 500 ปี”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา
“ท่านกำลังพูดให้มันดูใหญ่เกินจริงใช่หรือไม่?” ฉินเย่ถามกลับเสียงเบา “แน่นอน จีนอาจจะหันไปพึ่งศาสตร์การรักษาพยาบาลและทานยาในตอนที่พวกเขาป่วยหรือสูงอายุขึ้น แต่พวกเขาก็ ยังเดินทางไปที่วัดและสวดภาวนาอยู่ดี”
สวีหยางอี้ส่ายหน้า “นั่นยังไม่พอ”
“ข้าต้องขอยอมรับเลยว่าโลกใต้พิภพของฝั่งตะวันตกทำได้ดีกว่าเรามากในเรื่องนี้ ในขณะที่พวกเรากำลังอิดโรยและขาดการเชื่อมต่อทางวัฒนธรรม หลักความเชื่อและศาสนาของพวกเขากลับแข็งแ แกร่งขึ้น อันที่จริง ข้ายังสัมผัสได้ด้วยว่า…แทนาทอสเริ่มส่งสัญญาณของการทะลุคอขวดอีกแล้ว…”
เขาสบตาฉินเย่อย่างจริงจัง “มันเป็นไปไม่ได้ที่ยมโลกแห่งเก่าจะสร้างความศรัทธาขึ้นมาใหม่ เพราะมันได้ก่อตัวขึ้นมานานแล้ว นี่เป็นสิ่งเดียวที่มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้! !”
“นี่จะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับความต่อเนื่องของยมโลก หากเจ้าสามารถทำมันสำเร็จ…สิ่งนี้อาจจะทำให้เจ้าบรรลุไปสู่ขั้นพระยมเลยก็เป็นได้!”
“นอกจากนี้ ความสำเร็จของเจ้ายังหมายความว่าความศรัทธทาได้กลับคืนมายังแดนมนุษย์ และยมโลกก็จะแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน และข้าก็อยากจะเตือนเจ้าด้วยว่านครเผิงชิวนั้นไม่ใช่สถานที่ ซึ่งมีแก่นแท้ของยมโลกตั้งอยู่ แต่ยังคงอยู่เมืองเป่าอัน! เจ้าไม่สังเกตหรือว่าเมืองเป่าอันไม่ได้ขยายตัวมานานมากแล้ว? และสาเหตุเบื้องต้นของเรื่องนี้ก็คือการขาดแคลนความศรัทธาทำ ำให้เกิดสารปนเปื้อนในพลังหยินของยมโลก!”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “มันแตกต่างกันอย่างไร? ข้าคือผู้ปกครองของยมโลก มันสำคัญด้วยหรือว่าข้าจะเลือกปฏิบัติต่อนครเผิงชิวหรือเมืองเป่าอันในฐานะแก่นแท้ของยมโลก?”
สวีหยางอี้ส่ายหน้า “นี่คือบทเรียนแรกของมรดกของยมโลกที่ข้าจะสอนเจ้า”
“เมืองแห่งแรกของยมโลกนั้นถูกเรียกว่าตัวอ่อนยมโลก”
“หมายความว่าอย่างไร?”
สวีหยางอี้เลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่า…ในยุคสมัยของปั๋ว อี้เข่า ยมโลกมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่สองชิ้นเท่านั้น และนั่นก็คือปากกาแห่งการพิพากษา และสมุด แห่งความเป็นตาย”
“จนเมื่อมาถึงยุคสมัยของข้าเท่านั้นที่ข้าได้สร้างตราจ้าวนรก วัตถุศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่สามารถปราบปรามทั้งยมโลกขึ้นมา”
ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ และทันใดนั้นเขาก็เข้าใจทุกอย่าง “นี่ท่านกำลังจะบอกว่า…วัตถุหยินเหล่านั้น…ทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นโดยใช้เมืองทั้งเมือง?!”
สวีหยางอี้พยักหน้า
“มันยังมีเงื่อนไขอื่น ๆ อีกถึงจะสามารถสร้างวัตถุหยินเช่นนั้นได้ แต่เชื่อข้าเถิด มันยังมีบางอย่างที่ข้าสามารถมองเห็นและได้เห็นมาแล้วในขณะที่เจ้ายังมองไม่เห็นมัน ในเวลานี้ที เมืองเป่าอันมีมหาสมบัติพื้นฐานมากกว่าหนึ่งชิ้น แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ในอนาคต เมื่อเจ้าได้เป็นจ้าวนรกที่แท้จริงแห่งยมโลก ข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั ง”
“…ไม่ใช่ว่าท่านพูดหรือว่าท่านจะไม่สามารถกลับมาได้แล้ว” ฉินเย่เหลือบตามองไปยังดาบในมือของสวีหยางอี้
เงียบ…
เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดอย่างมาก
เสี้ยววินาทีต่อมา ฉินเย่ก็กระแอมออกมาเบา ๆ และเผยรอยยิ้มเอาใจ “ขออภัย…มันอดไม่ได้น่ะ…มันอดไม่ได้จริงๆ…”
สวีหยางอี้ปรับสายตาเย็นยะเยือกของตนเองและเอ่ยต่อ “บทเรียนที่สองและบทเรียนสำคัญกว่านั้นก็คือเจ้าจะต้องทำทุกอย่างเพื่อตามให้ทันโลกใต้พิภพแห่งอื่น การแสดงอำนาจคือภาษาที่สื อสารกันโดยทั่วไประหว่างโลกใต้พิภพ พวกเราจะต้องเตรียมทัณฑ์สวรรค์นิรันดร์ให้พร้อมโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น… ต่อให้ผ่านไปอีก 150 ปี เจ้าก็คงไม่สามารถเทียบกับโลกใต้พิภพแห่งอื่ นได้”
ฉินเย่พยักหน้า
เช่นเดียวกันกับในแดนมนมุษย์ วางระเบิดนิวเคลียร์ไว้บนโต๊ะและมาคุยกัน
“และในเรื่องนั้น อาวุธนิวเคลียร์ก็ต้องถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานกับหลักของยันต์หยิน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีความสัมพันธ์อย่างมากกับความศรัทธา” สวีหยางอี้สรุป “ด้วยเหตุนี้ ความศรั ทธาจึงเป็นวัตถุดิบสำคัญในการคงอยู่ต่อไปของตำนานจีน”
“หากจะตามโลกใต้พิภพแห่งอื่นให้ทัน เช่นนั้นมันก็คงมีเพียงการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความศรัทธาและเผยแพร่ตำนานเท่านั้น!”
“นี่ยังเป็นหนึ่งที่ที่สำคัญที่สุดของยมโลกอีกด้วย หากพูดกันตามตรง...เจ้าสามารถพูดได้เลยว่ามันคือหน้าที่ที่มีไว้เพื่อจ้าวนรกแห่งยมโลกโดยเฉพาะ!”
ฉินเย่พิจารณาสิ่งที่อีกฝ่ายสอนอย่างจริงจัง เขาจะไม่มีทางทำพลาดเหมือนอย่างเรื่องกฎการทำงานร่วมกันของหยินและหยางของชุยเจวี๋ยอีกแล้ว
แค่ครั้งเดียวก็เกินพอ…
“หน้าที่ของจ้าวนรกโดยเฉพาะ….” สวีหยางอี้เอนหลังพิงพนักและปล่อยให้ฉินเย่ค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตนสอน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่เป็ นประกาย “ไม่ใช่ว่ามันหมายความว่ายมทูตตนอื่น อย่างขั้นฝู่จวินและขั้นตุลาการนรกเองก็มีหน้าที่ของตัวเองหรอกหรือ?”
“เจ้าจะพูดอย่างนั้นก็ได้” สวีหยางอี้พยักหน้า “ขั้นตุลาการนรกไม่ได้มีหน้าที่ของตัวเอง แต่ยมทูตที่อยู่ขั้นฝู่จวินระดับสูงขึ้นไปล้วนมีหน้าที่เป็นของตนเอง เจ้าสามารถเทียบพวกเขาไ ได้กับตัวแปรต่าง ๆ ที่ควบคุมกฎของดินแดน อย่างเช่นหน้าที่ของน้ำทะเลก็คือหล่อเลี้ยงชีวิต หรือการที่ต้นไม้ขนาดใหญ่คือรากฐานของระบบนิเวศทั้งหมด”
ฉินเย่ไม่ได้ถามมันอย่างเจาะจง เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว คนตรงหน้าก็คงจะบอกเขามากกว่านี้หากมันจำเป็นจริง ๆ และหากไม่ได้บอก เช่นนั้นมันก็หมายความว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนถูกบันทึ กอยู่ในบันทึกของยมโลกแห่งเก่า
หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายนาที ฉินเย่ก็ถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา “แล้วข้าจะสร้างความศรัทธาและเผยแพร่ความเชื่อเหล่านั้นได้อย่างไร? โดยการสร้างปาฏิหาริย์อย่างนั้นหรือ?”
สวีหยางอี้พยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะปล่อยมือจากด้ามดาบของตนในที่สุด “ความศรัทธาคือความต่อเนื่องของปาฏิหาริย์ ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำก็คือสร้างปาฏิหาริย์ และผู้คนก็จะเริ่มมีศร รัทธา ทั้งหมดเพียงก็เพื่อให้มนุษย์รู้สึกตกตะลึงไปกับสิ่งที่ไม่รู้และไม่สามารถอธิบายได้ และความอัศจรรย์เหล่านั้นก็คือบ่อเกิดของความศรัทธา”
ด้วยการสะบัดมือเบา ๆ เรื่องเล่าและตำนานจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่ารอบตัวของพวกเขา จ้าวนรกองค์ที่สองชี้และเอ่ยต่อ “แก่นแท้ของความศรัทธาก็คือความเชื่อ…และการ รเผชิญหน้ากับเทพเจ้า!”
“ข้าขอเริ่มด้วยคำถามนี้ก็แล้วกัน เจ้าคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้ผู้คนเชื่อคืออะไร?”
ฉินเย่เหลือบมองหัวข้อตำนานที่โด่งดังจำนวนมากที่ปรากฏขึ้น จากนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย ราวกับเข้าใจบางอย่าง “การแสดงอำนาจ?”
“ใช่แล้ว!” สวีหยางอี้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อเฉพาะในสิ่งที่เห็น หรือหากพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาจะไม่มีทางเชื่อในคำบอกเล่าเว้นแต่ว่า พวกเขาจะได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง! ไม่เหมือนกับในสมัยก่อน ตอนที่เรื่องเล่าจากคนรุ่นเก่าจะถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น พวกเรากำลังอยู่ในยุคสมัยที่กุญแจสำคัญของความศรัทธาก็คือกา ารได้เห็น!”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจ
มิน่าเล่า…
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเริ่มได้ยินเสียงสวดภาวนาของผู้คนในตอนที่ขึ้นเป็นขั้นตุลาการนรก!
ตัวตนของเขาได้เริ่มแพร่กระจายออกไปผ่านวิธีการมากมายในแดนมนุษย์ แม้แต่สวรรค์ก็กำลังเตือนให้เขาคำนึงถึงหน้าที่หลักที่เป็นของจ้าวนรกแห่งยมโลกโดยเฉพาะ!
“การปรากฏชื่อของเจ้าบนแผ่นจารึกโบราณนั้นนับว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ คว้าโอกาสนี้ไว้ ใช้มัน และเจ้าจะกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งแดนมนุษย์ในฐานะของตำนานที่ยังมีลมหายใจ!”
“แต่…นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด ในความเป็นจริง มันเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ในกระบวนการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความศรัทธาเท่านั้น” สวีหยางอี้เงยหน้าขึ้นมองฟ้า “เพราะอย่างไรแล้ว เจ้าก็มีเพ พียงตัวคนเดียว”
“มันมีขีดจำกัดในเรื่องจำนวนคำอธิษฐานที่เจ้าสามารถตอบรับ เจ้าจำเป็นจะต้องเลือกคำอธิษฐานที่สำคัญที่สุด หรืออาจจะเป็นคำอธิษฐานที่กระทำโดยผู้ที่มีอิทธิพลสูง หรืออาจจะเป็นผู้ที่ มีแนวโน้มในการประกาศแก่ผู้คนจำนวนมาก หรืออาจจะผู้ที่สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือประเด็นที่สองที่ข้าต้องการจะสื่อ การสร้างปาฏิหาริย์ที่แท้จ จริง”
เขาหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “เจ้าคิดว่าสิ่งใดที่เรื่องเล่าและตำนานมีเหมือนกัน?”
ฉินเย่ส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะขจัดความจำเป็นในการคิดหาคำตอบด้วยตัวเอง
สวีหยางอี้ยิ้ม “สองฝ่าย”
“ในตำนานทั้งหมด อย่างน้อย 99% จะประกอบด้วยสองฝ่าย”
“ฝ่ายหนึ่งจะรับบทเป็นตัวเอกของเรื่อง ในขณะที่อีกฝ่ายจะรับบทเป็นศัตรู ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องของโฮ่ว อี้ ฝ่ายหนึ่งมนุษยชาติที่พยายามดิ้นรนในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือดวงตะวันที่ เป็นศัตรู*[1] แน่นอน หากเราต้องการจะสร้างตำนานขึ้นมา เราก็ต้องทำให้ตัวเองไปอยู่ในฝ่ายของตัวเอกของเรื่อง”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าสวีหยางอี้ต้องการจะสื่ออะไร
แต่ถึงกระนั้น อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้ม “และในเมื่อเรามีตัวเอกแล้ว เราก็ต้องการฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่หรือ?”
“อย่างเช่น…วิญญาณร้ายที่ทรงพลังได้โผล่ออกมาจากขุมนรกและทำลายล้างเมืองทั้งเมือง และจ้าวนรกแห่งยมโลกก็ปรากฏตัวขึ้นเมื่อความหวังแทบไม่มีให้เห็น จัดการกับวิญญาณร้ายตนนั้นแ และเนรเทศมันกลับไปยังขุมนรกที่มันควรอยู่ เจ้ามีความคิดอย่างไร…เกี่ยวกับบทแบบนี้?”
ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย จากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดเข้าหากันกระทันหัน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าสวีหยางอี้ต้องการจะสื่ออะไร!
อีกฝ่ายกำลังเสนอให้เขาสร้างเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อสร้างชื่อให้กับจ้าวนรกแห่งยมโลก!
นี่คือวิธีการสร้างตำนานที่สวีหยางอี้กำลังพูดถึง!
[1] บุคคลในประมวลเรื่องปรัมปราจีน โดยเล่าว่าเดิมทีนั้นโลกมนุษย์มีดวงตะวันอยู่ทั้งสิ้น 10 ดวง และในแต่ละวัน ดวงตะวันทั้งสิบก็จะขึ้นฉายพร้อมกันทำให้โลกทั้งใบแทบมอดไหม้ กษ ษัตริย์แห่งมวลมนุษย์จึงรับสั่งให้โฮ่ว อี้หาวิธีควบคุมดวงตะวัน โฮ่ว อี้จึงได้ไปเจรจากับดวงตะวัน แต่ก็ไม่สำเร็จ เขาจึงขู่ว่าจะยิงดวงตะวันทั้งหมดให้ร่วง แต่ก็ยังไม่เป็นผล ดัง งนั้นเขาจึงยิงดวงตะวันให้ร่วงทีละดวง ดวงตะวันที่ตกลงมานั้นกลายเป็นอีกาสามขา (三足烏) จนเมื่อเหลือดวงตะวันดวงสุดท้าย กษัตริย์ของมนุษย์และมารดาของดวงตะวันดวงสุดท้ายจึงร้องขอ อให้เขาละไว้เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ นับจากนั้นโลกมนุษย์จึงเหลือดวงตะวันเพียงดวงเดียวมาจนถึงทุกวันนี้