ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 53 ค่ำคืนแห่งผีนับพัน (1)
บทที่ 53 ค่ำคืนแห่งผีนับพัน (1)
หวังเฉิงห่าว รู้สึกไม่ค่อยดี เขากลืนน้ำลายอย่างประหม่า“เราไม่ควร … หนีไปแทนเหรอ?”
ฉินเย่ส่ายหัว“ไม่มีที่ไหนให้หนีและไม่มีที่ให้ซ่อน”
“ถ้าฉันเป็นเชาโยวเต๋า สิ่งแรกที่ฉันจะทำกับเวลาที่เหลือเมื่อคืนก่อนคือ ปิดทางเข้าและทางออกทั้งหมดของเมืองเป่าอัน ถ้าเรากล้าที่จะก้าวออกจากเมืองตอนนี้ เขาจะได้รับแจ้งทันที และนั่นจะทำให้ปรากฏตัวต่อหน้าเราและฆ่าสามารถเราได้ในทันที ตอนนี้การมีอยู่ของแผนกสืบสวนพิเศษ สถานที่ที่อันตรายที่สุดจึงกลายเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด แม้ว่าเชาโยวเต๋าจะสร้างความแข็งแกร่งในเมืองเป่าอันเงียบ ๆ ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา แต่เราก็อย่าลืมว่ามนุษยชาติ … อยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้ว!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่ของแผนกสืบสวนพิเศษ เชาโยวเต๋าคงจะสร้างความหายนะไปทั่วเมืองเป่าอันนานแล้ว!”
หวังเฉิงห่าวพยักหน้าและพูดต่ออย่างหวาดหวั่น “แล้วพี่ฉิน เราจะทำอย่างไงต่อไปดี”
“รอ” ฉินเย่เลียริมฝีปากของเขาและนั่งลง “ฉันรอคอยการเปิดฉากของสงครามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ระหว่างกองกำลังใต้พิภพกับพวกมนุษย์ … ถ้าการเผชิญหน้าของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ นั่นจะเป็นโอกาสของเรา”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว คืนฤดูหนาวมักเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงเวลา 18.00 น. ดวงอาทิตย์ตกและปล่อยให้แสงไฟจากผู้คนรวมถึงกลุ่มดาวบนท้องฟ้าส่องสว่างไปทั่วเมือง
เมื่อเวลา 18.00 น. เสียงที่ประกาศก็ดังก้องไปทั่วทุกมุมของเมือง
“เรียนประชาชนทุกท่าน โปรดทราบว่าเคอร์ฟิวทั่วเมือง โดยมีผลบังคับใช้ทันที ประชาชนที่ทุกคนต้องกลับบ้านภายในเวลา 19.00 น. หรือมองหาที่พักในบริเวณใกล้เคียงทันที”
“โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านไม่ได้อยู่ในห้องคนเดียว นอกจากนี้โปรดอย่าเก็บโบราณวัตถุ กระจก หรือสิ่งของ อื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน … ”
ฉินเย่ยืนอยู่ที่หน้าต่าง เฝ้าดูการจราจรบนท้องถนนที่ลดน้อยลงในทุก ๆ นาที ในที่สุดถนนทั้งสายก็ตกอยู่ในความเงียบ
ไม่ได้ถึงขนาดเงียบลงในทันที แต่กิจกรรมทุกอย่างถูกยุติลงอย่างกะทันหัน ซึ่งเป็นไปตามประกาศสาธารณะเมื่อครู่
ราวกับว่าสายลมหยุดนิ่ง
นกในทุ่งนาและสัตว์ป่าก็กลับมาที่รังของมันเช่นกัน
สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่บนท้องถนนของเมืองเป่าอัน คือยานพาหนะที่เร่งความเร็วเป็นครั้งคราว ธรรมชาติเงียบสนิท แค่กิจกรรมของมนุษย์เพียง 1% ที่ยังคงอยู่ บรรยากาศที่นิ่งและเงียบสงบ กลายเป็นความเยือกเย็นและน่ากลัว
ฉินเย่กะพริบตาเล็กน้อย และเขาอดไม่ได้ที่จะเกร็งนิ้วที่จับเข้ากับกรอบหน้าต่าง สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านมา ทำให้ผมเขาปลิวเล็กน้อย แต่เพียงไม่ถึงสิบวินาที สายลมก็พัดแรงขึ้น! ภายในไม่กี่นาทีสายลมอ่อน ๆ ได้เปลี่ยนเป็นพายุที่พัดแรงจนผ้าม่านในห้องปลิวจนเกือบถึงเพดาน! มันเกือบจะเหมือนกับว่า รอยแยกนรกได้เปิดขึ้นและกำลังคายความร้อนออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
มันเริ่มขึ้นแล้ว…
“หวังเฉิงห่าว” เขามองเข้าไปในเมฆดำที่กำลังก่อตัวบนขอบฟ้า และสั่งว่า “คืนนี้ห้ามออกไปไหน ถ้าใครมาเคาะประตูห้ามเปิดเด็ดขาด”
ทันทีที่เขาพูดจบพื้นก็ขยับ ไม่นาน พลังหยินสีขาวอมเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มออกมาจากทุกมุมในเมืองเป่าอัน
ย่านใจกลางเมืองทั้งหมดของเมืองเป่าอัน ครอบคลุมพื้นที่ 130 ตารางกิโลเมตร แม้จะมีขนาดที่ใหญ่โตแต่พลังหยินก็ยังคงหลั่งไหลออกมาจากทุกรอยแยกในเมือง ตั้งแต่ตึกระฟ้าถนนไปจนถึงชั้นใต้ดิน! ราวกับว่าคลื่นยักษ์กำลังก่อตัวขึ้นจากเบื้องล่าง!
ปรากฏการณ์นี้ขยายใหญ่ขึ้นและเป็นอันตรายมากขึ้น เกือบสิบนาทีต่อมา ทั้งเมืองเป่าอัน … ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาวแกมเขียวราวกับทะเลพลังหยิน!
ท่ามกลางหมอกเหล่านี้ มีร่างลวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยังคงปรากฏก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต บางคนเป็นพนักงานใส่สูท บางคนเป็นข้าราชการถือกระเป๋าเอกสาร และบางคนเป็นนักเรียนที่สะพายเป้ … ทั้งหมดมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาทุกคนมีเหมือนกันคือพวกเขาถือโคมไฟไว้ในมือทุกคน
มันเป็นโคมไฟสีแดงที่มีตัวอักษรสีดำตัดกันอย่างสิ้นเชิง
มันคือคำว่า“ เชา”
พวกมันหนาแน่น และไม่มีที่สิ้นสุด คล้ายกับดวงดาวสีแดงเลือดที่เกลื่อนท้องฟ้าในคืนที่มืดมน! คลื่นยักษ์วิญญาณ หยินพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งในทุกทิศทาง!
วิญญาณเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของเชาโยวเต๋า!
วิญญาณที่เสียชีวิตในเมืองเป่าอันทั้งหมดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาเพิ่งถูกเรียกตัวและเรียกร้องให้รวมตัวกันทั่วทั้งเมือง!
“อาร์ทิส ข้าจำได้ว่าท่านสามารถปกปิดพลังหยินของข้าด้วยชิ้นส่วนของตราจ้าวนรกใช่มั้ย?” ฉินเย่ถามเบา ๆ
“ใช่ … แค่ก ๆ … พูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ การปลอมตัวไม่ใช่การปกปิด เช่นเดียวกับที่ข้าเคยเปลี่ยนคุณภาพของพลัง หยินของเจ้าและทำให้เจ้าดูเหมือนยมทูตขาวดำ … ”อาร์ทิสพูดช้า ๆ และเบาจนแทบจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ “ยมทูตทุกตนมีรายละเอียดพลังงานหยินที่แตกต่างกัน … แค่ก ๆ … ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถของชิ้นส่วน การอำพรางพลังงานของเจ้าจะถูกจับและบันทึกไว้ในโลกมนุษย์ แต่ขอเถอะ อย่าเรียกข้าอีกเลย … ข้าไม่มีพลังหยินเพียงพอที่จะพูดกับเจ้าอีกต่อไป … ”
โห … แสงสีดำส่องออกมาจากหน้าอกของฉินเย่ ชั้นพลังหยินหนาปกคลุมร่างกายของเขาโดยเข้ามาแทนที่พลังงาน หยินของเขาเอง
“ข้าอยู่มาหลายสิบปี … แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าโดนดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้…”
“นี่เป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ ยิ่งมันมาจากดวงวิญญาณที่โง่เขลาด้วยแล้ว ข้ายิ่งไม่ให้อภัย!!”
………………………………………….
พลังหยินยังคงกระจายไปทั่วทุกมุมของเมืองเป่าอัน วิญญาณหยินยังคงล่องลอยและแผ่ซ่านไปทั่วทุกย่านในพื้นที่
หลินหมิงเป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสองที่อาศัยอยู่บนชั้นที่สิบสามของบล็อกที่สามของถนนเฟิงลุ่น ใกล้มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย ถนนที่เขาอาศัยอยู่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชานเมืองแล้ว แต่เมื่อตกกลางคืน เขากลับกลายเป็นคนเดียวที่เดินอยู่ข้างถนนภายใต้ร่มเงาดำ ๆ ที่ทอดมาจากต้นไม้ และบ้านเรือนทั้งสองข้างทาง ด้วยแสงไฟสีเหลืองสลัวของถนน ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งตามมาและคืบคลานจากด้านหลังเขา
“เฮ้อ.. ” ในที่สุดเขาก็กลับบ้านทันภายในเวลา 18.30 น. เมื่อเดินเข้ามาภายในตึก เขาก็ตรงไปกดปุ่มเพื่อเรียกลิฟต์ทันที
ตึก … ประตูลิฟต์ปิด ด้วยเหตุผลแปลก ๆ เขารู้สึกราวกับว่าคืนนี้เป็นค่ำคืนที่เย็นยะเยือกเป็นพิเศษ
มันค่อนข้างแตกต่างจากความหนาวเย็นของฤดูหนาว แต่มันเป็น …. บางสิ่งบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ราวกับว่าหัวใจของเขาถูกแช่แข็งด้วยบางสิ่งที่กำลังคืบคลานผ่านร่างกายของเขา
ลิฟต์ขึ้นอย่างช้า ๆ เขากำลังจะเปิดโทรศัพท์เพื่อตรวจสอบข่าวล่าสุด แต่จู่ ๆ ลิฟต์ก็หยุดลง
ชั้นสอง
หลินหมิงเลิกคิ้วอย่างสงสัย แต่ก็ไม่พบสิ่งใด จึงก้มดูโทรศัพท์ต่อไป
เขาไม่ได้ใส่ใจกับความจริงที่ว่า ลิฟต์หยุดที่ชั้นสองเป็นเวลาสิบวินาทีแล้ว
และในช่วงเวลานี้ ประตูลิฟต์ไม่พยายามปิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สิบวินาทีต่อมา ประตูปิดและลิฟต์ก็ขึ้นไปอีกครั้งหลินหมิงเพิ่งจะอ่านบทความข่าวได้ไม่กี่บรรทัด ลิฟต์ … ก็หยุดลงอีกครั้ง
ชั้นสาม
“อะไรกันเนี่ย!” เขามองไปที่ประตูลิฟต์ที่เปิดอยู่ด้วยความตกใจ ใครมีปัญหาอะไรรึเปล่า? ทำไมถึงกดปุ่มชั้นสองและสามทิ้งไว้ บ้าไปแล้วเหรอ?
“ปัญญาอ่อน” เขาขมวดคิ้วและขยี้ปุ่ม ‘ปิด’ บนแผงลิฟต์ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ตอบสนอง
“บ้าเอ้ย! ค่าบำรุงรักษาที่จ่ายไปหายไปไหนหมด?! ทำไมไม่มีใครส่งคนลงไปซ่อมลิฟต์บ้านี่!” เขาทุบปุ่มอย่างแรงหลายครั้ง สิบวินาทีต่อมา ประตูลิฟต์ก็ปิดลงอีกครั้ง
“กึก ๆๆ … ” ทันทีที่ประตูปิด เขาก็ตัวสั่นแบบควบคุมไม่ได้ “นี้มันหนาวเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้บนถนนฉันยังไม่หนาวเท่านี้เลย”
ตึก … ประตูลิฟต์ปิด และเคลื่อนขึ้นไปอีกครั้ง
สามวินาทีต่อมา ลิฟต์หยุดอีกครั้ง
ชั้นสี่
เขากะพริบตาและยื่นหัวออกไปที่ทางเดินด้านนอกอย่างระมัดระวังเพื่อมองดูรอบ ๆ
เงียบ
นอกจากแสงไฟสีขาวสว่างจ้าที่ส่องสว่างบนทางเดินแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก
เขามองไปที่ปุ่มด้านนอกลิฟต์อีกครั้ง ไม่มีร่องรอยของคนกดเลย
อึก … เขากลืนน้ำลายอย่างประหม่าและรีบวิ่งกลับเข้าไปในลิฟต์
หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วขึ้นและเร็วขึ้น
ตึก … ประตูลิฟต์ปิดเป็นครั้งที่สาม
ลิฟต์เริ่มขึ้นเป็นครั้งที่สาม
และสามวินาทีต่อมามันก็หยุด!
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง … มีบางอย่างผิดปกติ! มีปัญหาอะไรบางอย่างแน่!
ปุ่มบนแผงไม่ได้กดเลย แต่ทำไมถึงยังหยุดทุกชั้น!
เกือบจะ … มันเกือบจะเหมือนกับว่า … มีบางสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังกดปุ่มอยู่
ลิฟต์ที่เงียบสงบและทางเดินที่เงียบสงบด้านนอกไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ความเงียบกลายเป็นพลังบีบคั้นที่น่าสยดสยอง ริมฝีปากของหลินหมิงเริ่มแห้งผากอย่างช้า ๆ
เขารีบกดไปที่ปุ่มลิฟต์อย่างโกรธเกรี้ยวและบดขยี้ปุ่มชั้นที่สิบสามอีกครั้ง แต่ลิฟต์กลับไม่ยอมขยับ!
สิบวินาที
เขาจ้องไปที่ประตูด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและมั่นใจว่าไม่มีใครสักคนที่อยู่ในลิฟต์ แต่เขายังรู้สึกไม่สบายใจ มันเหมือนว่ามีบางอย่างที่มองไม่เห็นเข้ามาในลิฟต์ทุกชั้นที่มันเปิด!
มันเป็นความรู้สึกที่ชวนขนหัวลุก จนกระดูกสันหลังเสียววาบ
บางที … ฉันอาจไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ลิฟต์ในตอนนี้ … เกิดความคิดที่น่ากลัวในใจของหลินหมิง เขาเหลือบมองไปที่กระจกในลิฟต์ แต่ภาพสะท้อนของตัวเองกลับทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีคนแปลกหน้าหลายคนจ้องตรงมาที่เขา
เขาถอยหลังเข้ามุมและตัวสั่น เขามองไปรอบ ๆ อย่างประหม่า แต่เขาก็ไม่เห็นคนอื่นในลิฟต์กับเขาเลยสักคนเดียว
ตึก … ลิฟต์เริ่มขยับ … ชั้นห้าชั้นหกและชั้นเจ็ด ลิฟต์ก็ยังคงหยุดเองและเปิดออกเอง!
กึก ๆๆๆ … ฟันของหลินหมิงสั่นสะท้าน เขาโอบแขนรอบตัวเองไว้
เขาไม่กล้าออกไปข้างนอก
ข้างนอกเงียบสนิท เขาไม่อยากเดินไปตามทางเดินเลย! เขารู้สึกกลัว เขาต้องการแสงสว่าง และทางเดินก็มีเพียงแสงไฟสีเหลืองสลัว ๆ เขากลัว… กลัวว่าเขาจะเห็นอะไรที่บันไดทันทีที่เขาหันหลังให้มุมตรงทางเดิน หรือ … เห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ
มีเพียงแสงไฟในลิฟต์ที่ทำให้เขารู้สึกมั่นใจและปลอดภัย
แต่แล้วแสงไฟเหนือหัวเขาก็กะพริบสองครั้งและดัง
เปรี๊ยะ!
และไฟก็ได้มอดดับลง
เขาแทบจะกรีดร้อง ในที่สุด ความกลัวที่ก่อตัวขึ้นในใจของเขาก็พร้อมที่จะระเบิด! แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ปิดปากด้วยความสยดสยอง
เมื่อเขามองเห็นเงาร่างมากมายยืนอัดแน่นกันอยู่ภายในลิฟต์ เขาจะพบว่าตัวเองไม่สามารถเปล่งเสียงร้องได้เลยแม้แต่น้อย
ด้วยมือที่สั่นเทา เขาปิดริมฝีปากและคลำหาโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้ลิฟต์ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดคล้ายกับห้องเก็บศพที่มืดมน เสียงสะอื้นและเสียงครวญครางของเด็กดังก้องไปทั่วลิฟต์ นิ้วมือของเขาสั่นมากจนแทบไม่สามารถปลดล็อกโทรศัพท์ได้ สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเลขบอกเวลา
18.38 น.
เขาเปิดใช้งานฟังก์ชันไฟฉายบนโทรศัพท์ของเขาทันที เขาต้องการแสงสว่าง! ถ้าเขายังคงอยู่ในความมืดเช่นนี้ เขาต้องเป็นบ้าในอีกไม่ช้าแน่!
ขณะที่เขากำลังจะเปิดใช้งานไฟฉายบนโทรศัพท์ของเขา เขาก็แข็งตัวอย่างกะทันหัน
กึก ๆๆๆ …. ฟันของเขาส่งเสียงอย่างควบคุมไม่ได้ ริมฝีปากของเขาสั่นระริกราวกับว่ากำลังเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของเขา เขาก็อ้าปากกว้างราวกับว่าเขามีคำพูดมากมายที่จะพูด แต่พูดไม่ออก
ภายใต้แสงสลัวของโทรศัพท์
ที่ซึ่งแสงและความมืดตัดกัน
มีใบหน้าขาวซีดนับสิบจ้องตรงไปที่โทรศัพท์มือถือของเขา
และมีเพียงใบหน้าของพวกเขาเท่านั้นที่เขาสามารถมองเห็นได้ในตอนนี้
ร่างของพวกเขาถูกความมืดบดบังจนหมด ลิฟต์แน่นไปด้วยสิ่งบางอย่าง
“ อ๊ากกกกก !!!”
เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชของเขาดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่เขาไม่ใช่คนเดียวที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ผู้คนและครอบครัวจำนวนหนึ่งก็ประสบกับภาพที่มองไม่เห็นและอธิบายไม่ถูกเช่นกัน!
โรงพยาบาลประชาชนแห่งที่ 2 ในช่วงเคอร์ฟิว เวลากลางคืนทางเข้าหลักปิดอย่างแน่นหนา ไม่อนุญาตให้มีการเข้าเยี่ยม งานของพยาบาลในช่วงเวลานี้เป็นเพียงการดูแลผู้ป่วยที่เหลืออยู่ในโรงพยาบาล
“นี่ นักศึกษาฝึกงานหมายเลข 024 คนใหม่ของเธอเป็นยังไงบ้าง” พยาบาลสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานและพูดคุยกัน พยาบาลผมสั้นกำลังเล่นเกมบนคอมพิวเตอร์ แล้วเหล่ยิ้มให้พยาบาลคนอื่น ๆ “เขาสูงและหล่อใช่หรือเปล่า”
พยาบาลอีกคนที่มีผมยาวประบ่ากำลังเล่นเกม บนไอแพดของเธอ เธอตอบโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอว่า“สูงและผอมแห้ง ช่วยอะไรไม่ค่อยได้หรอก สิ่งสำคัญคือเขาขยัน ถ้าให้เลือกเธอจะเลือกอะไรระหว่างหน้าตาดีกับขยัน … อะไรกันเนี่ย? การ์ดอีกแล้ว?! เพิ่งเล่นไปสองตาก่อนหน้าไม่ใช่เหรอ! บ้าเอ๊ย!”
เธอกำลังจะออกจากเกมด้วยความโกรธ ทันใดนั้นมือของเธอก็แข็งทันที
ไม่ใช่เธอคนเดียว พยาบาลอีกคนก็หยุดนิ่งและตกใจ
พยาบาลทั้งสองสบตากันด้วยความสยดสยอง วินาทีต่อมาพยาบาลที่เล่นเกมพึมพำด้วยความลังเล “ได้ยินเสียงอะไรไหม”
“ ก่อนหน้านี้ … มีอะไร ‘บางอย่าง’ ผ่านหน้าเราไปหรือเปล่า”