ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 530: มรดกของยมโลก (3)
บทที่ 530: มรดกของยมโลก (3)
ฉินเย่จ้องสวีหยางอี้ คนเจ้าเล่ห์แบบนี้น่ะหรือที่เป็นจ้าวนรก? นี่เขานึกว่าอาร์ทิสกับเขาชั่วร้ายแล้วนะ แต่พวกเขากลับยังเทียบกับจ้าวนรกองค์ก่อนของยมโลกไม่ได้เลยแม้แต ต่น้อย…
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องยอมรับเลย คำแนะนำของอีกฝ่ายอาจจะดูชั่วร้าย แต่ผลของมันนั้นไม่สามารถปฏิเสธได้!
เขายังไม่แข็งแกร่งถึงขนาดที่จะสามารถปกปิดตัวตนของตัวเองจากแดนมนุษย์ได้ ไม่นานทุกคนก็จะได้รู้ว่าฉินเย่นั้นคือจ้าวนรกแห่งยมโลก แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็ทำได้แค่อาศัย ชื่อเสียงใหม่นี้และทำให้ผู้คนพูดถึงเขา ปล่อยให้คนทั้งหมดรู้ชื่อของเขา และรู้ว่าตนเองควรสวดอธิษฐานถึงเขาอย่างไร
ในขณะเดียวกัน เขาก็จะปรากฏตัวขึ้นในนิมิตของคนเหล่านั้น ตอบรับคำอธิษฐานและปรากฏตัวในแดนมนุษย์เพื่อแก้ปัญหาเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่คอยบั่นทอนของชีวิตมนุษย์ทุกคนมาโดยตลอด…
ภายในใจของเขาเวลานี้ไม่มีความลังเลอีกต่อไป
ด้วยสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ จำนวนธูปที่จุดมาถึงเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนหากเขาทำตามคำแนะนำของสวีหยางอี้!
และมันก็ยังมีข้อดีอย่างอื่นที่อาจพ่วงมาด้วยเช่นกัน อย่างเช่นการกระตุ้นการเติบโตของวิญญาณที่ทรงพลัง!
เพราะท้ายที่สุดแล้ว วิญญาณเหล่านี้ก็ล้วนถูกส่งออกไปโดยยมโลกเพื่อจุดประสงค์เฉพาะอยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่มีทางที่พวกเขาจะหันหลังให้กับยมโลกเด็ดขาด!
แต่…ไม่ใช่ว่านั่นหมายถึงผู้คนจะต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวหรอกหรือ? ในฐานะของจ้าวนรก เขาจะสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างไร? มันขัดกับหลักศีลธรรมและจริยธรรมของเขา…
สวีหยางอี้จิบชาอย่างใจเย็น จากนั้นจึงวางถ้วยชาลงพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น ราวกับว่าเขากำลังยั่วให้ฉินเย่โมโห “มีอะไร? กลัวหรือไง?”
ฉินเย่กระแอมออกมาเบา ๆ “ไม่ใช่อย่างนั้น…แต่ท่านช่วยโน้มน้าวข้าอีกสักนิดได้หรือไม่? ข้ารู้สึกว่าตัวเองต้องการอะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้หากข้าจะต้องยอมละทิ้งหลักการของ ตัวเองและรับข้อเสนอของท่าน…”
มุมปากของสวีหยางอี้กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“น่าเสียดาย แต่นี่คือวิธีที่เร็วที่สุดในการเพิ่มความแข็งแกร่งของยมโลกและเสริมจุดยืนของมันในจีน” เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ยาที่รุนแรงมันจะขมกว่าเสมอ เมื่อความเข้มข้นของ พลังหยินภายในยมโลกอยู่ต่ำกว่าจุดที่กำหนด เจ้าอาจจะพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะสร้างขั้นตุลาการนรกขึ้นภายในระยะเวลาร้อยปี ไม่จำเป็นต้องพูดถึงขั้นฝู่จวิน เจ้าคิดหรือว่าระเบิดนิ วเคลียร์อย่างทัณฑ์สวรรค์นิรันดร์จะสามารถใช้งานได้ในเวลานั้น? ฝันกลางวันอยู่หรืออย่างไร?”
ชายหนุ่มจ้องฉินเย่อย่างจริงจัง “ทุกวิธีการสามารถใช้ได้ ตราบใดที่มีการควบคุมที่ดี มันจะไม่มีผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ มันไม่ใช่เจ้าเพียงคนเดียว แต่โลกใต้พิภพอื่น ๆ เองก็ใช้วิธีการ เหล่านี้เช่นกัน เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดโลกใต้พิภพแห่งอื่นจึงสามารถรักษาและแผ่ขยายความศรัทธาต่อพวกเขาได้มากขนาดนี้? ทำไมศาสนาต่าง ๆ ถึงต้องมาพร้อมกับแนวคิดที่ไม่สามารถอธิบายได้ อย่างเช่นจอกศักดิ์สิทธิ์?”
“ทุกฝ่ายต่างหาทางที่จะแสดงการมีอยู่ของตนเองและได้รับความศรัทธาจากมวลมนุษย์! เทพแห่งความตายของพวกเขาต่างกำลังแจกจ่ายหน้าที่และทำงานของตัวเอง! แล้วเจ้ายังลังเลอะไรอีก?”
ฉินเย่พยักหน้า “รายละเอียดที่เจาะจงเล่า?”
สวีหยางอี้แทบจะพ่นน้ำชาออกมาเมื่อได้ยินคำตอบของฉินเย่ “นี่เจ้าได้ฟังสิ่งที่ข้าพูดบ้างหรือไม่?!”
“หะ? นั่นคือเจาะจงแล้วหรือ?” ฉินเย่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหลือเชื่อ “มันควรที่จะสรุปได้ด้วยคำพูดไม่ถึงร้อยคำสิ… ข้าหมายถึง… มันสามารถเรียกว่าเจาะจงได้หรือหากมันคลุมเครือข ขนาดนั้น?”
ทันใดนั้นเอง ฉินเย่ก็สังเกตเห็นว่าสายตาของสวีหยางอี้เหลือบกลับไปที่ดาบยาวซึ่งปักอยู่บนพื้น ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังคำนวณว่าตนควรจะหยิบมันขึ้นมาและแทงใส่ฉินเย่อย่างไรดี ถึงจะรวดเร็วที่สุด วินาทีนั้น เด็กหนุ่มพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
“นี่ภายในใจของเจ้าไม่มีความรับผิดชอบอยู่สักนิดเลยหรืออย่างไร?” สวีหยางอี้เอ่ย
“ข้าจะทำในสิ่งที่ข้าสมควรจะต้องทำ!” ฉินเย่ยืดตัวตรง “ข้าจะสามารถลังเลได้อย่างไรเมื่อความปลอดภัยของยมโลกยังคงถูกแขวนอยู่บนตาชั่ง? ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำทุกอย่างเพื่ อความรุ่งโรจน์ของยมโลก!”
ให้ตายเถิด…ข้าอยากจะฆ่าเขาเสียจริง…
จ้าวนรกองค์ที่สองก้มหน้าลงและจิบชาเงียบ ๆ ขณะที่พยายามอย่างหนักเพื่อระงับเปลวไฟแห่งความโกรธที่ลุกโชนอยู่ภายในใจ หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้า าเรียบเฉย “ปาฏิหาริย์คือจุดสูงสุดของตำนาน การมีอยู่ของวัตถุ และพยานผู้พบเห็น ในแง่นี้ เจ้าจะต้องหาวัตถุและตำนานที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่นตำนานของจอกศักดิ์สิทธิ์ หรือเรื่องเกี ยวกับหีบแห่งพันธสัญญา…”
ฉินเย่จ้องหน้าสวีหยางอี้ “เหตุใดท่านจึงมีสีหน้าเช่นนั้น? มันดูราวกับว่าท่านไม่ค่อยอยากจะสนทนากับข้าสักเท่าใดนัก”
“…น้อยครั้งนะที่เจ้าจะรู้ตัวแบบนี้…” สวีหยางอี้หันไปมองดวงตะวันที่อยู่ห่างออกไป หรือว่าที่ผ่านมาเขาคิดมากไปเอง? เขากังวลแม้กระทั่งเกี่ยวกับเส้นความอดทนของตัวเอง ดูเหมือนว่า าความกังวลเหล่านั้นจะเปล่าประโยชน์เสียแล้ว…
ความเงียบของสวีหยางอี้ทำให้เด็กหนุ่มมีโอกาสที่จะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เขาเพิ่งได้รู้มา
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหมือนกับเกมหมากรุกกระดานใหญ่
แผ่นดินจีนคือกระดาน และชีวิตกว่าล้านล้านชีวิตคือเบี้ยที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
สิ่งแรกที่เขาต้องการก็คือเนื้อเรื่องที่สมบูรณ์แบบ จากนั้นเขาก็ต้องขอความช่วยเหลือจาก ‘ศัตรู’ เลือกเมืองที่จะใช้เป็นเวทีสำหรับการแสดง และระดมกองกำลังของยมโลกเพื่อให้ทุกอย่าง เกิดขึ้น สุดท้าย เขาก็จะปรากฏตัวขึ้นจากยมโลกในฐานะของวีรบุรุษ ช่วยปกป้องทุกชีวิตจากความน่ากลัวของวิญญาณร้ายที่ทรงพลัง ก่อนจะสลักชื่อของตัวเองเข้าไปในใจของผู้คน ที่ซึ่งก การกระทำของเขาจะถูกพูดถึงไปอีกหลายปีนับจากนั้น
นี่ไม่ใช่แค่การเพิ่มระดับสถานะของเขาให้เป็นพระเจ้า…แต่เรายังจะต้องสร้างวิญญาณร้ายขึ้นมาและใช้มันเพื่อสนับสนุนการดำรงอยู่ของเขาในฐานะจ้าวแห่งโลกใต้พิภพอีกด้วย…
พูดนั้นง่ายกว่าทำ!
หลังจากเงียบอยู่นานกว่าสิบนาที ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยกับสวีหยางอี้อีกครั้ง “ท่านเคยทำอะไรแบบนี้หรือไม่?”
สวีหยางอี้ไม่แม้แต่จะหันไปมองเด็กหนุ่ม เขากลัวจริง ๆ ว่าตัวเองจะเลือกคนผิดมาทำงาน แต่หลังจากที่ฉินเย่ถามอยู่หลายครั้ง เขาก็ตอบกลับไป “เคย”
“แมวปีศาจที่เมืองเยียนจิง และข่าวลือเกี่ยวกับรถเมล์ที่ว่างเปล่าที่แล่นในกลางดึก ทั้งหมดล้วนถูกแพร่กระจายออกไปโดยข้าเอง แต่ข้าก็ไม่ได้อยู่รอดูมันจนจบเนื่องจากเบื่อมันไปเ เสียก่อน”
ช่างมัน… ไม่ว่าอย่างไร ฉินเย่ก็คือคนที่เขาเลือก อีกฝ่ายจะทำตัวไร้ยางอายแล้วอย่างไร? นั่นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายนักก็ได้ แทนาทอสและอานูบิสเคยมีท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัว มาก่อนหรือไม่? การรักษาภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่บนเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ในเวลานั้น เขาได้สูญเสียการควบคุมเหนือเหมืองของหยกนรกไปเพราะว่าเข ขากังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของตัวเองมากเกินไป อืม พอมาลองคิดดู มันก็มีบางส่วนในตัวเขาที่แทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นว่าฉินเย่จะจัดการกับคนเหล่านี้อย่างไร…
บางทีเด็กหนุ่มอาจจะทำให้ตาแก่พวกนั้นได้ลิ้มรสในสิ่งที่ตนเคยกระทำไว้ก็เป็นได้…
ความคิดเหล่านี้ทำให้ความตึงเครียดภายในหัวก่อนหน้านี้ผ่อนคลายลง จากนั้นเขาจึงหันไปแย้มยิ้มบาง ๆ ให้ฉินเย่ “มาลองคิดดูแล้ว เจ้าจะต้องสร้างสถานการณ์ที่สร้างความตื่นกลัวให้กับพวก กมนุษย์เป็นอย่างมาก มากถึงขนาดที่ว่าข่าวของมันจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่า จากนั้นก็ปรากฏตัวเพื่อจัดการวิญญาณร้ายตนนั้นซะ มันมีอะไรหลายอย่างที่ต้องพิจารณา ข้าคิดว่าเ เจ้าคงจะต้องระดมความคิดจากคนจำนวนมาก แต่เจ้าก็อาจจะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ เนื่องจากเจ้าไม่มีใครที่มีประสบการณ์ในด้านนี้เลย”
“ส่วนเรื่องรายละเอียดเฉพาะ เจ้าจะต้องหาต้นกำเนิดหรือแหล่งของตำนานนั้น มันควรจะเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่แล้วในแดนมนุษย์ มันสามารถเป็นได้ตั้งแต่คดีฆาตรกรรมที่ยังไม่สามารถหาค คำตอบได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อันที่จริง คดีเหล่านี้มักทำให้เกิดวิญญาณร้ายจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ในแดนมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยมโลกสามารถเข้าถึงแดนมนุษย์ได้ในตอนนี้ ”
“จากนั้น ด้วยความง่ายและรวดเร็วในการเผยแพร่ของข้อมูลของทุกวันนี้ เจ้าสามารถเผยแพร่มันผ่านอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียได้ แต่ทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุม รวมถึงผู้ที่เก กี่ยวข้องและผู้ที่ถูกละเว้น เหนือสิ่งอื่นใด บทที่ถูกเขียนขึ้นจะต้องสมบูรณ์แบบหากเจ้าต้องการที่จะประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ เจ้ายังต้องพิจารณาถึงตัวแปรอื่น ๆ อย่างหน่วยสอบสวนพิเศ ศษอีกด้วย พวกเขาสามารถหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของวิญญาณร้ายได้มากเพียงใด? จะเกิดอะไรขึ้นหากสุดท้ายแล้วเจ้าดึงตัวเจ้าหน้าที่สอบสวนที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่ตั้งใจเอาไว้? เจ้าจะสามาร รถดึงดูดความสนใจจากสาธารณะโดยที่ไม่ถูกกำจัดได้อย่างไร?”
สวีหยางอี้ยิ้ม “หากวิญญาณร้ายถูกกำจัดก่อนที่ยมโลกจะลงมือ เช่นนั้นทุกอย่างก็ล้มเหลว เชื่อข้าเถิด ตัวอย่างแบบนั้นมีให้เห็นกันจนเกลื่อน เว้นแต่ว่าทุกอย่างจะได้รับการกำกับอย่ างสมบูรณ์ เช่นนั้นมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ได้ผลตามที่ตั้งใจ เจ้าคิดว่าเหตุใดมันจึงมีเรื่องของยมโลกเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ถูกพูดถึง?”
ฉินเย่กระแอมออกมาเบา ๆ “โคจิซูซูกิ?”
“ใครกัน?” สวีหยางอี้ถามกลับ ก่อนจะรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเอง บางสิ่งบางอย่างบอกเขาว่ามันมีสิ่งที่กำลังกีดขวางบทสนทนาของพวกเขา
“อืม…คนเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Ring? ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับบทที่เขาเขียน? หากไม่ชอบ ข้าจะได้แนะนำคนอื่น เหลียง ฮุง-วาห์เป็นอย่างไร? หืม? ท่านไม่รู้จักเขาหรือ? เขาเป็นคนเขีย ยนบทภาพยนตร์สยองขวัญอย่างเรื่องผีร้ายเลยนะ! ถ้าหาคนเขียนบทจากต่างประเทศไม่ได้ เราลองเปลี่ยนเป็นในประเทศก็ได้! หลิว เสี่ยวเว่ย คนเขียนบทภาพยนตร์ของเรื่องคืนผีเดือด? สวี่เยว่ เจิน คนที่เขียนบทภาพยนตร์เรื่องคนเห็นผี?”
“ไม่เอาหน่า อย่าเงียบแบบนี้! เราควรจะช่วยกันคิดเพื่อที่จะได้หาทางออกที่ดีที่สุด เราสามารถทำได้แม้กระทั่งเดินทางไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลกใต้พิภพเพื่อทำการสำรวจ ผู้ใดจะไปรู้ มันอาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้เราสำหรับการสร้างภาพยนตร์ของเราก็ได้! หืม? นั่นท่านชักดาบออกมาทำไม? เดี๋ยว…หยุด!!!!”
ฟึ่บ!
ใบมีดคมปรากฏขึ้นข้างลำคอของฉินเย่ฉับพลัน
สวีหยางอี้สูดหายใจเข้าช้า ๆ มือของเขาสั่นเทา บางสิ่งบางอย่างบอกเขาว่าหากฉินเย่พูดต่อ เขาอาจจะต้องเริ่มมองหาจ้าวนรกองค์ที่สี่ในอีกไม่ช้านี้…
ดวงตาของของจอมขี้ขลาดฉินเย่หดเกร็ง และเขาก็รีบยกมือทั้งของข้างขึ้นอย่างยอมแพ้ทันที
“บางทีข้าอาจจะยังพูดไม่ชัดเจนพอ” สวีหยางอี้พยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ “หน้าที่ของจ้าวนรกแห่งยมโลกไม่ควรถูกเปิดเผยต่อผู้อื่น เจ้ามีหน้าที่หลักอยู่ทั้งสิ้นสองอย่าง ห หน้าที่แรกก็คือดูแลกฎ และหน้าที่ที่สองก็คือสร้างพระเจ้า ใครก็ตามที่เข้ามามีส่วนร่วมกับการทำหน้าที่นี้ของเจ้า…อาจแย่งชิงหน้าที่นี้ไปได้โดยไม่ได้ตั้งใจ”
“เจ้าเข้าใจถึงความหมายของมันหรือไม่? มันหมายความว่าพวกเขาจะได้รับความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นพระเจ้าไปด้วยตราบใดที่พยักหน้ายินยอม! ใช่ พวกเขาอาจจะไม่เข้าใจถึงความหมายของมันในทันท ที เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่เจ้าไว้ใจ เชื่อข้าเถิด เจ้าคงไม่อยากรู้แน่ ๆ ว่าผลที่จะตามมานั้นร้ายแรงเพียงใด”
“เจ้าเข้าใจหรือไม่?!!”
“เข้าใจ…” จากนั้นใบมีดก็หายไป และฉินเย่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในที่สุด
นี่มันเรื่องบ้าอะไร…?
ในตอนแรก ท่านบอกให้ข้าทำอะไรบางอย่าง จากนั้นท่านก็บอกข้าว่าอย่าทำมัน นี่ท่านช่วยตัดสินใจหรือพูดให้มันละเอียดกว่านี้ไม่ได้หรือ?
“เอาเถิด ข้าได้พูดทุกอย่างที่จะต้องพูดเกี่ยวกับภาพรวมไปหมดแล้ว ทีนี้ เรามาเริ่มเรียนกันเลย” สวีหยางอี้เอ่ยต่อ “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะสอนทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้เ เกี่ยวกับการเป็นจ้าวนรกแห่งยมโลกให้กับเจ้า รวมไปถึงพิกัดของสถานที่ที่ซ่อนอยู่ภายในแดนมนุษย์ รวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ ที่มีเพียงจ้าวนรกเท่านั้นที่รู้ได้”
“และข้าจะมีการทดสอบสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้ไปเป็นระยะ ๆ อีกด้วย หากเจ้าไม่ผ่าน...”
ฉินเย่ถามต่ออย่างเริ่มเป็นกังวล “จะเกิดอะไรขึ้น?”
ฉึก! ทันใดนั้น ดาบยาวในมือของอีกฝ่ายก็แทงลงไปในดินจนเหลือเพียงแค่ด้ามจับเท่านั้นที่มองเห็น
ข้าเข้าใจแล้วว่าท่านต้องการจะสื่ออะไร…
ด้วยเหตุนี้ ฉินเย่จึงยังอยู่ภายในเกาะต่อไป
หลายวันผ่านไป วิธีการสอนของสวีหยางอี้นั้นโหดเหี้ยมและเคร่งครัดเป็นอย่างมาก การกระทำที่ไม่สมควรเพียงเล็กน้อยสามารถถูกลงโทษได้ ภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์ มันแทบจะไม่มีส่วนใดบ บนร่างกายของฉินเย่เลยที่ไม่มีรอยฟกช้ำการถูกลงโทษ
สามสัปดาห์ต่อมา…
ฉินเย่เปิดประตูออกมาและพยุงร่างของตัวเองเพื่อเดินไปที่ใต้ต้นท้อ สวีหยางอี้กำลังเอนกายนอนอยู่ใต้ต้นไม้พร้อมด้วยชามที่ใส่แตงโมและผลไม้มากมายวางอยู่ตรงหน้า เขาบิดลูกองุ นออกจากพวงและโยนมันเข้าปากขณะที่ปรายตามองไปทางฉินเย่ราวกับกำลังคิดว่าตนควรจะโจมตีส่วนใดต่อไป
แต่ฉินเย่ก็ยังถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เพราะเขาเห็นร่างอีกร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างต้นท้อ
อาร์ทิส
“ยมโลกมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ? เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นหรืออย่างไร?!” ในวินาทีนั้น เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปหาอาร์ทิสและคว้ามือของอีกฝ่ายขึ้นมา “รีบรายงานข้ามาเดี๋ยวนี้! อย่าช้าแม้แ แต่นิดเดียว! เร็วเข้า! รีบกลับไปที่ยมโลกเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกัน!”
อาร์ทิสมองอีกฝ่าย “ข้าควรชื่นชมในสัญชาตญาณที่แม่นยำของท่านดีหรือไม่? มันมีเอกสารที่พวกเราอยากจะให้ท่านดูมันจริง ๆ เรื่องก็คือ หลิวอวี้ได้ส่งของขวัญเพื่อแสดงความยินดีมา าให้กับยมโลก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้ส่งคำเชิญถึงท่านให้เข้าร่วมพิธีเปิดโลกใต้พิภพใหม่ของฮันยางในช่วงปลายเดือนตุลาคมอีกด้วย”
หึหึ… ทันใดนั้น เสียงหัวเราะที่เย็นยะเยือกก็ดังขึ้นให้ได้ยินจากผู้ที่นอนอยู่ใต้ต้นท้อ “ช่างกล้าดีจริง ๆ…”
ฉินเย่ถามอย่างระแวง “เหตุใดท่าน...ถึงไม่ไปเข้าร่วมมันในนามของข้ากัน?”
“มันสำหรับเจ้า” สวีหยางอี้เอ่ยตอบเสียงเรียบ “หากมันเป็นประโยชน์ ก็จงใช้มัน หากไม่…เจ้าก็แค่ฆ่าพวกนั้นซะ”