ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 532: เตรียมตัวออกเดินทาง
บทที่ 532: เตรียมตัวออกเดินทาง
สามสัปดาห์ต่อมา สวีหยางอี้ลูบคางด้วยความประหลาดใจขณะที่ฉินเย่ยืนประสานมืออยู่ตรงหน้าของตน “เป็นไปไม่ได้…” เขาเหลือบมองไปข้างที่นอนของตัวเองด้วยความสับสน เขาไม่สามารถสรรหา าคำพูดมาอธิบายสถานการณ์ตรงหน้าได้จริง ๆ
“มันผ่านไปหกสัปดาห์แล้วตั้งแต่ที่ข้าเริ่มส่งต่อความรู้เกี่ยวกับมรดกของยมโลกให้เขาเจ้า และข้าก็สามารถบอกได้ว่าระดับสติปัญญาของเจ้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงสามสัปดาห์ ที่ผ่านมา แต่นั่นมันเป็นไปไม่ได้! มันขัดแย้งกับทุกหลักของการเจริญเติบโตและพัฒนาของมนุษย์…” สวีหยางอี้ขมวดคิ้วขณะที่จ้องไปที่ฉินเย่ “หรือว่าถูกกระตุ้นด้วยความเครียดกัน? เ เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ข้ายังไม่กดดันเจ้ามากพอหรอกหรือ?”
“…ท่านกำลังพูดเกินจริงอยู่…” หางตาของเด็กหนุ่มกระตุกขณะเขาเห็นรอยยิ้มประจบประแจงของอีกฝ่าย
สวีหยางอี้ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาทันที เขาขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อวานนี้ ข้าได้สอนเจ้าเกี่ยวกับหน้าที่ของการบริหารกฎหมายไปแล้ว ไหนลองทวนทั้งหมดให้ข้าฟังดู รวมไปถึงหน้าที่ ของฝู่จวินด้วย…”
“ไม่มีปัญหา” ฉินเย่พยายามเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง “ขั้นฝู่จวินสามารถเปรียบได้กับเทพในสวรรค์ บางตนมีหน้าที่ควบคุมดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ในขณะที่บางตนมีหน้าที่ควบคุม ฤดูกาล เช่นเดียวกัน หน้าที่หนักของขั้นฝู่จวินในยมโลกก็คือการลงทัณฑ์วิญญาณบาป”
“มนุษย์กระทำบาป และบาปนั้นก็จะต้องได้รับการลงโทษตามความเหมาะสม ขั้นฝู่จวินมีหน้าที่รับผิดชอบการลงทัณฑ์นี้ โดยฝู่จวินแต่ละตนจะมีหน้าที่รับผิดชอบบทลงโทษแต่ละประเภท และบทลงโทษ ษบางประเภทก็อาจได้รับผลมาจากชีวิตในชาติก่อนพวกเขาด้วย”
“ยกตัวอย่างเช่น หากพวกเขาตายโดยการจมน้ำ ถูกไฟไหม้ แขวนคอตาย หรืออื่น ๆ ฝู่จวินแต่ละตนจะรับหน้าที่ในการลงโทษที่แตกต่างกัน พวกเขาอาจถูกเรียกด้วยชื่อเฉพาะอย่าง ราชาจมน้ำ รา าชาเปลวเพลิงแห่งกรรม ราชาแห่งความเจ็บปวด หรืออีกมากมาย ในขณะที่จ้าวนรกจะเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับความหนักเบาของการลงโทษมากกว่า”
“ด้วยเหตุนี้ จ้าวนรกจึงมีพลังในการกำหนดมาตรการในการลงโทษ อย่างเช่นคน ๆ หนึ่งควรถูกทรมานจากการเผาไหม้เพียงเล็กน้อย หรือถูกเผาจนตาย รวมไปถึงระดับความเจ็บปวดที่สมควรได้รับ ห หากสรุปสั้น ๆ ก็คือ ในขณะที่ขั้นฝู่จวินคือหัวหน้าของการลงโทษ จ้าวนรกก็คือผู้กำหนดมาตรการในการลงโทษ ยิ่งกว่านั้น เจ้านรกยังมีสิทธิ์ที่จะคัดค้านการตัดสินของขั้นฝู่จวินในทุ กกรณี สุดท้าย จ้าวนรกสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญและรายละเอียดเฉพาะของวิญญาณทุกตนได้ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด วันตาย และสิ่งที่พวกเขาเคยทำมาในชีวิต...”
เขาเหลือบมองสีหน้าของสวีหยางอี้ จากนั้นจึงเอ่ยต่อด้วยความระมัดระวัง “เมื่อลองพิจารณาดูโดยละเอียด หน้าที่ของสวรรค์ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นเวล ลาขึ้นของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลต่าง ๆ หน้าที่ของแดนมนุษย์นั้นเกี่ยวโยงกับข้อเท็จจริงที่ว่ามันคือรากฐานของทั้งสวรรค์และยมโลก ส่งเสริมทั้งสองแห่งด้วย พลังแห่งความศรัทธา และหากที่ข้าคิดนั้นถูกต้อง หน้าที่ของยมโลกก็สามารถเปรียบได้กับนาฬิกา เคลื่อนไหวอย่างแม่นยำ ทำให้โลกดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติ ข้าไม่แน่ใจนักว่าตัวเองเข ข้าใจถูกหรือไม่?”
สวีหยางอี้จ้องหน้าฉินเย่ จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างยอมรับ “เจ้าพอจะเข้าใจมันแล้วนี่ หากพูดโดยทั่วไป เจ้าพูดถูก แต่สำหรับรายละเอียดเฉพาะ…เจ้าจะได้รู้เรื่องนั้นเมื่อถึงเวลาที่ เหมาะสม”
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสามารถวิเคราะห์ไปได้ไกลกว่าที่ถูกสอน เจ้าเก่งมากจริง ๆ”
“ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะว่าข้ามีอาจารย์ที่ดีทั้งสิ้น” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างประจบประแจง เช่นเดียวกับที่ฉินฮุ่ยเคยยิ้มให้กับเขา
แต่ถึงกระนั้น สวีหยางอี้กลับรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง เขารีบยกมือกุมขมับทันที “จะว่าไป เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึงฉลาดขึ้นอย่างกระทันหันแบบนี้กัน?”
…ไม่ใช่ว่าเพราะข้าอยากได้รับการยอมรับจากท่านหรืออย่างไร?
ฉินเย่บ่นออกมาในใจ แต่ก็ยังคงแย้มยิ้มกว้าง “ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มันก็แค่อาจารย์ของข้าพยายามอย่างหนัก และข้าก็ไม่ต้องการทำให้อาจารย์ต้องผิดหวังเท่านั้น”
เจ้าแน่ใจหรือ?
สวีหยางอี้เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถาม “เจ้ามีอะไรจะถามอย่างนั้นหรือ?”
“ในสายตาของท่าน ข้าดูเหมือนคนที่ทำอะไรเพื่อหวังผลอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่ยืดตัวตรงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับถูกใส่ร้าย “ข้าจะจัดการกับปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเอง ข้าจะไม่ยอมกระ ะดิกหางไปมาอย่างน่าสงสารและร้องขอความช่วยเหลือได้อย่างไรกัน?!”
ไม่…เจ้าทำอะไรแบบนั้นแน่ ๆ…
สวีหยางอี้เข้าใจถึงลักษณะนิสัยของฉินเย่ดี เขาจึงเพียงแค่พยักหน้าอย่างไม่เชื่อนัก
“แต่…”
นั่นไง!
มันมักจะมี ‘แต่’ ตลอด!
แววตาของสวีหยางอี้วูบไหวเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นฉินเย่หยิบตั๋วเครื่องบินสองใบออกมา “อีกสองเดือนก็จะถึงฤดูหนาว และเมื่อถึงเวลานั้น ข้าก็คงเรียนจนจบหลักสูตรไปเป็นที่เรียบร้ อยแล้ว เมื่อพูดกันตามหลักเหตุผล มันก็เป็นช่วงพักหยุดฤดูหนาวพอดี…”
สวีหยางอี้เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
เอาสิ ข้าจะเล่นกับเจ้าด้วย
“เพื่อตอบแทนความพยายามอย่างหนักของท่าน ข้าได้ตัดสินใจที่จะใช้งบสาธารณะและจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับการเดินทางไปที่หอคอยแดฮันให้ท่าน!”
น้ำเสียงของฉินเย่สูงขึ้นอย่างตื่นเต้น “ท่านอาจจะไม่รู้ว่าหอคอยเอ็นโซลนั้นตั้งอยู่ที่ใด แต่แน่นอนว่าท่านต้องเคยได้ยินเกี่ยวกับซีรีส์ของแดฮันมาบ้างอย่างแน่นอน ยัยตัวร้าย กับนายต่างดาว หรืออาจจะเงือกสาวตัวร้ายกับนายต้มตุ๋น! ใช่แล้ว หอคอยเอ็นโซลยังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองทั้งเมืองได้ด้วย! มันเป็นสถานที่ที่สุดยอดมาก!”
“เพียงแค่ยืนอยู่บนนั้น มองลงไปยังเมืองที่แสนงดงามด้านล่าง ในขณะแสงไฟจากเมืองและดวงดาวบนท้องฟ้ามาบรรจบกันที่ปลายขอบฟ้า นอกจากนี้ ท่านยังจะได้สัมผัสกับสายลมเย็นในยามค่ำคื นอีกด้วย! อย่าลังเลเลย! พี่ชาย ไปด้วยกันกับข้าเถิด!”
สวีหยางอี้พยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “แล้วหอคอยเอ็นโซลที่เจ้าว่านั้นตั้งอยู่ที่ใด?”
“แคนาดา”
สวีหยางอี้หัวเราะออกมา “ไม่เลว หึหึ…ไม่คิดเลยว่าจ้าวนรกองค์ที่สามแห่งยมโลกผู้สูงส่งจะเจ้าเล่ห์ขึ้นขนาดนี้ในระยะเวลาสั้น ๆ! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของ โลกนี้เลยหรืออย่างไร?”
“…หมายความว่าอย่างไรที่ว่าเจ้าเล่ห์? ข้าไม่เข้าใจ…อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงความปรารถนาดีที่ข้าเสนอให้ท่านเท่านั้น ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?”
สวีหยางอี้พยักหน้า “เปล่า แต่เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าปฏิกิริยาของเจ้าเปลี่ยนไป?”
ฉินเย่ยังคงทำหน้างุนงง
สวีหยางอี้เอ่ยต่อ “หากเป็นเมื่อสองปีก่อน การตอบสนองแรกของเจ้าเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาคงจะเป็นการหาที่ซ่อนและหลีกเลี่ยง แต่ตอนนี้ แม้ว่าเจ้าจะยังขี้ขลาด…ข้าหมายถึง ถึงแม้ว่ าเจ้าจะเก่งในเรื่องของการดูแลรักษาตัว แต่เจ้าก็ยังเลือกที่จะคว้าโอกาสและเป็นฝ่ายชิงลงมือ”
ฉินเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ
ใช่แล้ว…เขาเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
หากนี่เป็นเมื่อก่อน เขาคงจะปฏิเสธการเดินทางทั้งหมด ก่อนที่จะยอมออกเดินทางภายใต้สายตาที่โกรธเกรี้ยวของอาร์ทิสในท้ายที่สุด แต่ตอนนี้ ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าเขายังคงกังวลเกี่ยวกั บสิ่งที่กำลังจะมาถึงเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน
ถึงแม้ว่าการเชิญจ้าวนรกองค์ที่สองไปด้วยจะค่อนข้างเป็นการกระทำที่กล้าหาญและโจ่งแจ้ง แต่อย่างนั้นมันก็ไม่มีความคิดที่จะละทิ้งความรับผิดชอบหรือหลบหนีอีกต่อไป
เขาไม่สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้เนื่องจากมันค่อย ๆ เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่หากนำมาเปรียบเทียบกัน มันเปลี่ยนไปอย่างไม่ต้องสงสัย
“มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าจะต้องเผชิญหน้าด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าจึงไม่ตกลงกับข้อเสนอของเจ้า” สวีหยางอี้ปฏิเสธ “หากข้าไปด้วย เจ้าก็คงจะพึ่งพาข้า และไม่มีทางรู้จักการพึ่งพาตัวเอ อง หลังจากสองเดือน เจ้าจะไม่มีผู้ใดให้พึ่งอีกต่อไป เจ้าจะต้องต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง”
“ข้าขอย้ำอีกครั้ง ซาร์อาร์ตูโรจะต้องมีส่วนช่วยในการก่อตั้งโลกใต้พิภพแห่งฮันยางอย่างแน่นอน และมันก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยตนเอง ดังนั้น นี่ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าในการดูและเรียนรู้ถึงการเผยแพร่ตำนานและสร้างปาฏิหาริย์ของเทพแห่งความตายที่แท้จริง ที่แดฮันเองก็มีองค์กรที่เทียบได้กับหน่วยสอบสวนพิเศษ ษอยู่ แต่ถึงกระนั้น ซาร์อาร์ตูโรก็ยังสามารถบรรลุจุดประสงค์ของเขาได้ การได้เห็นมันด้วยตาของตัวเองเป็นโอกาสที่ทั้งชีวิตจะมีสักครั้ง หากพลาด เจ้าจะไม่มีทางรู้เลยว่าเหตุกา ารณ์เหนือธรรมชาติเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นเอง และเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นโดยฝีมือของเทพแห่งความตาย”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “แต่… ไม่ใช่ว่าเราจะเดินทางไปที่นั่นหลังจากเหตุการณ์นั้นจบแล้วหรอกหรือ?”
“ไม่จำเป็น” สวีหยางอี้ตอบ “มันเพิ่งผ่านไปเพียงปีเดียวเท่านั้นนับตั้งแต่การประชุมราชสำนักครั้งล่าสุด แดฮันอาจจะมีขนาดเล็ก และปาฏิหาริย์ก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโต ต แน่นอน มันอาจจะมีวิธีการพิเศษมากมายที่ใช้เร่งกระบวนการเหล่านั้น แต่มันก็จะทิ้งป้ายบอกทางจำนวนนับไม่ถ้วนให้เจ้าได้จับสังเกต ยิ่งกว่านั้น การเผยแพร่ตำนานนั้นเป็นกระบวนการระยะ ะยาว มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในทันที”
เขามองสีหน้าบูดบึ้งของฉินเย่ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ก็ได้”
ทันใดนั้น ยันต์แผ่นหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นกลางอากาศและลอยเข้าไปในอกของฉินเย่ ซึ่งมันเปล่งประกายแสงระยิบระยับออกมาก่อนจะจางหายไป
“ด้วยสิ่งนี้ เจ้าจะสามารถติดต่อข้าได้สามครั้ง จำเอาไว้ มันอนุญาตให้เจ้าถามคำถามข้าเท่านั้น ไม่ใช่อย่างอื่น ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในอาณาเขตของทั้งสามโลก ข้าจะตอบเจ้าอย่างแน่นอน”
ฉินเย่ทาบมือที่หน้าอกของตัวเองและพยักหน้าเบา ๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยออกมาเบา ๆ “ข้าคงต้องขอตัวลาตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน”
“ตามสบาย”
“ขอบคุณ” ฉินเย่ประสานฝ่ามือและกำปั้นอย่างเคารพ แล้วจึงหายตัวไปจากตรงนั้น เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็กลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขานั่งลงจิบน้ำชาและกัดฟันแน่นอย่างเสียดาย
ก่อนหน้านี้ฉินเย่คิดที่จะขอยืมวัตถุหยินสักชิ้นสองชิ้นจากอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้นเขากลับไม่สามารถพูดคำเหล่านั้นออกไปได้
สวีหยางอี้ไม่เคยเสนอที่จะปกป้องเขา…
สิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังจะทำนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหน้าที่ของเขาในฐานะจ้าวนรกแห่งยมโลก ดังนั้นจึงรู้ดีว่าไม่ควรขอร้องและอ้อนวอนอีกฝ่าย
“นี่เราเลือกที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาจริง ๆ น่ะหรือ?!” เขาตบแก้มตัวเองและหยิกมันแรง ๆ “นั่นไม่ถูกต้อง! นี่มันไม่เหมือนเราเลยสักนิด! เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำจนกระทั่งเผลอพูดมันออ อกไป! หรือว่าเราจะถูกบางอย่างสิง?!”
เทศกาลวันสารทจีนได้กลายเป็นจุดจบแห่งยุคสมัยภายในใจของเขา และมันก็คือการเริ่มต้นใหม่เช่นกัน
แต่ในเมื่อเขาได้รับปากแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลให้เขาละทิ้งความรับผิดชอบอีกต่อไป ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเริ่มคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาจะต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับการเดินทางไปยังแดฮันที่ กำลังจะมาถึง
นี่จะเป็นการปรากฏตัวขึ้นในเวทีโลกอย่างเป็นทางการครั้งแรกของยมโลกแห่งใหม่ มันมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เวทีโลก…คือเวทีที่ยมโลกจะต้องเฉิดฉาย มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนท ที่ยมโลกจะทวงคืนชื่อเสียงทั้งหมด การครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนี้จะทำให้ไม่เกิดผลเสียกับผู้ใด และเขาก็อาจจะตอบแทนหนี้บุญคุณของเซี่ยจิ่นเส้อได้อีกด้วย
“อาร์ทิสพูดถูก...เราจะปล่อยให้คนอื่นรู้เกี่ยวกับความเกี่ยวข้องระหว่างพวกเราไม่ได้ ไม่เช่นนั้น…เราคงไม่ได้ตอบแทนหนี้บุญคุณ แต่จะเป็นการทำให้นางตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิม”
และนี่ก็นำไปสู่ข้อสันนิษฐานแรก
หากเขาเดินทางไปยังฮันยางพร้อมกับขบวนแห่ที่นำโดยกลองและฆ้อง เช่นนั้น ทุกการกระทำของเขาคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
และแน่นอนว่าถ้าเป็นดังว่า ก็หมายถึงว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวคนเดียวหรือมีผู้ติดตามไม่กี่คนเท่านั้น
“นอกจากนี้…ยมโลกแห่งใหม่ก็ไม่มีกำลังคนสำหรับการจัดตั้งขบวนแห่ด้วย…” เขาโขกศีรษะของตัวลงกับโต๊ะสองสามครั้ง หากเขามีขบวนแห่ คิดหรือว่าคนอย่างฉินเย่จะยอมเดินทางไปที่นั่น นเพียงลำพัง?
ในเมื่อหลิวอวี้กล้าส่งคำเชิญมาที่ยมโลก เขาก็จะต้องตอบกลับไปด้วยกองเกียรติยศที่แสนจะหรูหราตระการตาจนทำให้อีกฝ่ายตาพร่าไปเลย!
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาได้เรียนรู้ว่าเจ้านรกแห่งยมโลกนั้นมักจะเดินทางอย่างยิ่งใหญ่ หัวหน้าของกองเกียรติยศทั้งหมดล้วนเป็นขั้นตุลาการนรก ทหารวิญญาณ 300 นายแรกในขบวนจะถือ อธงผืนใหญ่ที่มีสัญลักษณ์ของตี้ทิง ตามมาติด ๆ ด้วยทหารวิญญาณอีก 1,000 กว่านายที่แบกหุ่นเชิดมังกรหลากสี และทหารวิญญาณอีก 500 นายที่ถือธงซึ่งมีสัญลักษณ์ของเซี่ยจื้อปักอยู่ตาม มมาด้านหลัง ในขณะเดียวกัน นักดนตรี กลอง คนกระดาษต่างเดินประกบเหล่าทหารทั้งหมดเอาไว้ทั้งสองด้าน
แน่นอนว่าตี้ทิงสามารถสร้างขบวนแห่ขนาดใหญ่ที่คล้ายกับขบวนแห่เดิมได้ แต่ถึงกระนั้น ความงดงามของยมโลกแห่งเก่านั้นไม่ได้อยู่ที่จำนวนของเหล่าวิญญาณที่อยู่ในขบวน แต่เป็นวัสดุ และสัญลักษณ์ของมันมากกว่า และนั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปลอมแปลงมัน!
ขบวนแห่ที่ถูกสร้างขึ้นจากศาสตร์แห่งยันต์จะไปสู้กับขบวนแห่ที่แท้จริงได้อย่างไร?
หากพูดกันตามความจริง มันคงจะไม่เหมาะสมอย่างใหญ่หลวงหากจะสร้างขบวนแห่ปลอมขึ้นมาตอนนี้ หลิวอวี้อาจจะถูกหลอก แต่มันคงเป็นไปได้ยากมากหากเขาต้องหลอกชายที่ลงมืออยู่ภายในเงา ามืดอย่างซาร์อาร์ตูโร
เขาคือจ้าวผู้ปกครองโลกใต้พิภพของหนึ่งในสามศาสนาที่แพร่หลายที่สุดในโลก
เขาคือเทพแห่งความตายขั้นพระยมตัวจริงที่กำลังปกครองโลกใต้พิภพของตัวเอง
และโลกใต้พิภพของเขาก็คือโลกใต้พิภพที่เต็มไปด้วยเหล่าแม่ทัพและรัฐมนตรีที่แตกต่างจากโลกใต้พิภพของญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง
“มันไม่มีทางที่เราจะสามารถหลอกเขาได้…” ฉินเย่เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่แดงก่ำ เขาหรี่ตาลง “ซาร์อาร์ตูโรมีประสบการณ์มากกว่าเรา และเขาจะต้องรู้ถึงหน้าตาของขบวนแห่ง งของยมโลกเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาย่อมต้องรู้ทันทีหากเราหลอกเขา และหากเขากล้าติดต่อเราผ่านหลิวอวี้ เช่นนั้นมันก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะมาที่นี่ด้วยตนเอง!”
ฉินเย่กัดฟันแน่น แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและดุดัน “เราจะกลายเป็นตัวตลกของโลกนี้ได้หากเราเผลอทำอะไรโง่ ๆ ออกไป ดังนั้น ทำไมเราถึงไม่พยายามทำตัวให้ไม่เป็นที่สนใจและ เดินทางไปพร้อมกับผู้ติดตามที่ไม่กี่คนพอกันเล่า? แบบนั้น เราก็จะสามารถปล่อยให้พวกเขาคิดเอาเองว่าเจตนาของยมโลกคืออะไรกันแน่ และเราก็อาศัยความแตกต่างทางข้อมูลเหล่านี้เพื่ อสร้างประโยชน์”
เพราะไม่ว่าอย่างไร จีนก็ไม่ใช่ดินแดนที่จะสร้างภาพลักษณ์ให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาคือดินแดนแห่งทองคำ ไม่มีใครยอมเชื่อว่ายมโลกกำลังขาดแคลนเพียงเพราะว่าจ้าวนรกของพวกเขาตัดสินใจท ที่จะแต่งกายธรรมดาอยู่แล้ว
มันได้รับการตัดสินแล้ว…
การเดินทางโดยไม่เป็นที่จับสังเกตคือทางสุดท้ายของเขา แต่มันก็เป็นทางออกทางเดียวสำหรับเขาในตอนนี้เช่นกัน สิ่งต่อไปก็คือการเตรียมการสำหรับทุกย่างก้าวของการเดินทางในครั้งนี
เพราะว่าท้ายที่สุดแล้ว การเดินทางอย่างไม่เป็นที่จับสังเกตยังหมายความว่าทุกอย่างจะต้องถูกจับตาดูน้อยที่สุด เจตนาในการลอบสังหาร...เป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้
ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็หยิบเหรียญจ้าวนรกขึ้นมาและใส่พลังของตัวเองเข้าไป ทันใดนั้นเหล่าผู้ที่ตอบรับคำเรียกของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้อง
“ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อย อัสซานจ์ เจ้าผู้ปกครองดินแดนพิเศษแห่งเมืองม่านโจวหลี่ พรมแดนระหว่างแผ่นดินจีนและรุส คารวะท่านจ้าวนรกผู้สูงศักดิ์”
“ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อย หลิวฉางเหอ เจ้าผู้ปกครองดินแดนพิเศษแห่งเมืองชุนฮุย พรมแดนระหว่างแผ่นดินจีนและรุส คารวะท่านจ้าวนรกผู้สูงศักดิ์”
“ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อย เผ่ยจ้าว เจ้าผู้ปกครองดินแดนพิเศษแห่งเขตอันสวิ้น เมืองฉางเทียน พรมแดนระหว่างแผ่นดินจีนและรุส คารวะท่านจ้าวนรกผู้สูงศักดิ์”