ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 538: ถึงที่ฮันยาง
บทที่ 538: ถึงที่ฮันยาง
“ผมไม่แน่ใจ…” ฉินเย่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ‘อย่างอ่อนแรง’ ใบหน้าของเขาซีดเผือดเช่นเดียวกับหวังเฉิงห่าวและโนบูทาดะ
เปลือกตาของคิมซังอูสั่นระริก เขาสบตากับฉินเย่ พยายามวิเคราะห์ทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเพื่อดูว่าเด็กหนุ่มกำลังพูดความจริงหรือไม่ แต่น่าเสียดาย…
เห็นได้ชัดเลยว่าเขากำลังรับมืออยู่กับนักแสดงชั้นยอด
ฉินเย่กุมอกของตัวเอง และพยายามลุกขึ้นยืน แต่ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น ขาของเขาก็อ่อนแรงลงก่อนจะทรุดนั่งลงกับที่นั่งอีกครั้ง เด็กหนุ่มเริ่มหอบหายใจขณะที่ใบหน้าของตนเองแดงก่ำผิดปกติ
นักแสดงชั้นสามจะมาสู้กับนักแสดงระดับเข้าชิงรางวัลได้อย่างไร?
“Are you ok?” เขาพยุงฉินเย่ให้ลุกขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่า “I’m fine, thank you.”
มันคือคำตอบตามแบบเรียนภาษาอังกฤษ
ไม่กี่วินาทีต่อมา เมื่อ ‘สังเกตเห็น’ ความตายและความหายนะที่เกิดขึ้นภายในห้องโดยสารรอบตัว ฉินเย่ก็อ้าปากค้างด้วยความหวั่นสะพรึง ดวงตาของเด็กหนุ่มเหลือกขึ้นและหมดสติไปในที่สุด
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแม้แต่คิมซังอูก็ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ทัน
เขามึนงงเป็นอย่างมาก!
นี่อีกฝ่ายหมดสติไปหลังจากคุยกันแค่สองประโยคได้อย่างไร?! รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เขากำลังกังวลแค่ไหน? แล้วเขาจะสามารถจัดการเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?
เมื่อเห็นดังนั้น คิมซังอูก็กวาดสายตาไปทางหวังเฉิงห่าว หวังเฉิงห่าวเองก็พยายามที่จะเหลือกตาขึ้นเช่นกัน แต่น่าเศร้า…ทักษะการแสดงของเขานั้นยังคงอ่อนหัดเกินไป
“นี่ ตื่น!” ทันทีที่เห็นว่าหวังเฉิงห่าวกำลังจะหมดสติไปเช่นกัน เขาก็รีบคว้าไหล่ของอีกฝ่ายและตะโกนเสียงดังขณะที่ตบหน้าเขาแรง ๆ
หวังเฉิงห่าวแทบจะกระอักเลือดออกมา
คนตรงหน้าตบลงมาอย่างแรง! บัดซบ… เมื่อครู่นี้เขาน่าจะ ‘สลบ’ ไป ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ‘ได้สติ’ อีกครั้ง… เขากัดฟันแน่นและพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อแสร้งทำเป็นอ่อนแรง “ผม…ผมคิดว่ายังทนได้…”
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ผมไม่รู้…” หวังเฉิงห่าวก้มหน้าลงและเริ่มนวดคลึงขมับของตัวเองราวกับว่าตนกำลังปวดหัวเป็นอย่างมาก “ทุกคนวิ่งวุ่นไปหมด จากนั้นตอนที่พวกเราจะชะโงกหน้าไปดู ใครบางคนก็ทำให้เราหมดสติไป แล้วพอเราตื่นขึ้นมาอีกที… เราก็เห็นคุณ…”
เวรเอ้ย… คิมซังอูกัดฟันแน่นและหันไปมองโนบูทาดะ “แล้วคุณล่ะ?”
โนบูทาดะส่ายหน้าด้วยสีหน้าขมขื่น คิมซังอูสบถออกมาเสียงเบาและรีบพุ่งกลับไปที่ด้านหลังของห้องโดยสารทันที
เขาหวังเพียงแค่ว่ามันยังมีผู้รอดชีวิตที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเหลืออยู่อีก...
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินเย่ยืดตัวตรงพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก โนบูทาดะที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับว่า “ไม่ต้องห่วง มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้ นอกจากนี้ พวกเราก็ไม่ใช่ผู้รอดชีวิตกลุ่มเดียวที่นี่”
นับว่าโชคดีที่มันยังมีคนบางคนที่รอดชีวิตจากการฆ่านี้
พวกเขามีกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีใครเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ซ่อนตัวอยู่ภายใต้กองศพ พยายามแกล้งตายอย่างสุดความสามารถ ทัศนวิสัยทั้งหมดถูกบดบังด้วยซากศพที่อยู่ด้านบน และถึงแม้ว่ามันจะไม่มีศพอยู่ คิดหรือว่าพวกเขาจะมีอารมณ์มามองดูสิ่งที่เกิดขึ้น?
“ข้าคิดว่าเราคงต้องไปให้ปากคำเมื่อเราเดินทางไปถึงที่ฮันยาง” ฉินเย่กระชับเสื้อของตัวเองและเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง เด็กหนุ่มเริ่มมองเห็นแปลงเกษตรปรากฏขึ้นด้านล่าง รถจำนวนมากที่ดูเหมือนว่ากำลังมุ่งหน้าไปยังฮันยางดูไม่ต่างอะไรกับกองทัพมดเลยแม้แต่น้อย
“จะว่าไป การตอบสนองต่อสถานการณ์ของรัฐบาลแดฮันนั้นค่อนข้าง…น่าสนใจมากทีเดียว” หลังจากละสายตา ฉินเย่ก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้และหลับตาลงอีกครั้ง “ซอมบี้…นำพาเชื้อที่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว นี่หลิวอวี้บ้าไปแล้วหรือ? เขายอมให้อภัยกับความบ้าคลั่งพวกนี้ได้อย่างไร?”
นี่เป็นเหมือนกับผู้กำกับคนใหม่ที่กำกับด้วยบทภาพยนตร์ของนักเขียนบทคนเก่า นี่เขาไม่กลัวว่าหนังจะพังเลยหรือ?
………………
ณ สนามบินอินชอน ตั้งอยู่ที่เกาะยองจงโดทางฝั่งตะวันตกของอินชอน เมืองตากอากาศชายทะเลที่มีชื่อเสียงภายในแดฮันใต้ มันอยู่ห่างจากฮันยางเพียง 52 กิโลเมตร และ 15 กิโลเมตรจากชายฝั่งอินชอน และก็เป็นสนามบินที่มีผู้คนพลุกพล่านที่สุดเป็นอันดับหกของทวีปตะวันออก
ผู้โดยสารจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเดินออกจากประตูทางออกด้วยพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระ ทันใดนั้นเอง กลุ่มตำรวจติดอาวุธก็รีบพุ่งตัวเข้ามา สร้างความตกใจให้กับผู้โดยสารที่กำลังนั่งรออยู่จำนวนมาก
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มีอะไร?”
“ทำไมจู่ ๆ ถึงมีการระดมพล?”
“ผู้ก่อการร้ายอย่างนั้นเหรอ? เรากำลังถูกผู้ก่อการร้ายจู่โจมเหรอ?”
กองกำลังติดอาวุธทั้งหมดไม่แม้แต่จะสนใจเกี่ยวกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนขณะที่พวกเขาพุ่งตรงไปที่เครื่องบินลำที่เพิ่งลงจอดและวิ่งมาตามทาง พวกเขาก่อตัวเป็นแถวยาว เล็งปลายกระบอกปืนไปที่ทางเข้า และจากนั้นกลุ่มของนักบวชก็เดินออกมาจากใจกลางกองกำลังทั้งหมดซึ่งได้รับการคุ้มกันโดยทหารของแดฮัน พวกเขาค่อย ๆ เดินไปที่ประตูเครื่องบินและเปิดมันออกอย่างระมัดระวัง
พรึ่บ…!
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก นักบวชวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าสุดก็หรี่ตาลงและอุทานออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “กลิ่นเลือดฉุนมาก...”
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
เสียงขึ้นลำปืนดังขึ้นพร้อมกัน ในขณะที่นักบวชคนดังกล่าวประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันและสวดบทสวดบางอย่างออกมา หากมีผู้ฝึกตนคนอื่นอยู่แถวนี้ พวกเขาจะเห็นทันทีว่ากลุ่มก้อนพลังปราณสีขาวได้ไหลออกมาจากร่างของนักบวชและแพร่กระจายไปทั่วทั้งห้องโดยสารที่ว่างเปล่าของเครื่องบิน
หลังจากผ่านไปสิบนาที นักบวชคนนั้นก็หันหลังกลับมาและพยักหน้าให้คนทั้งหมด
หลังจากนั้น กลุ่มทหารทั้งหมดก็พุ่งตัวเข้าไปด้านในพร้อมกับปืนของพวกเขา ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งหมดก็เอ่ยผ่านเครื่องมือสื่อสารของตน “ทุกอย่างเรียบร้อย มีผู้รอดชีวิต ยื่นคำขอการอพยพ”
ชายชาวอูโซเนียผมสีบลอนด์คนหนึ่งยืนอยู่กลางกองกำลังทั้งหมด เขาพยักหน้า “อพยพผู้คน และกักตัวพวกเขาเอาไว้”
ผู้โดยสารที่เหลือรอดต่างกรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัวขณะที่พวกเขาค่อย ๆ ถูกพาออกจากเครื่องบินอย่างช้า ๆ ร่างของพวกเขาต่างเปื้อนไปด้วยเลือดที่ไม่ใช่ของตนเอง อีกทั้งขาของพวกเขาก็ยังคงสั่นเทาจากบททดสอบอันน่าสยดสยองที่ทิ้งบาดแผลขนาดใหญ่ไว้ภายในใจ
ชายชาวอูโซเนียกวาดสายตามองผู้โดยสารทั้งหมดราวกับเหยี่ยว ตรวจดูผู้โดยสารแต่ละคนขณะที่พวกเขาถูกพาออกมาจากเครื่องบิน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หันไปสั่งคนที่อยู่ด้านข้าง “ผมฝากที่เหลือด้วยก็แล้วกัน”
“ครับท่าน”
ฉินเย่ โนบูทาดะ และหวังเฉิงห่าวเองก็อยู่ในกลุ่มผู้โดยสารที่ถูกพาออกมาจากเครื่องด้วยเช่นกัน น่าเสียดายที่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะหลบหนีไปได้ ทั้งสามถูกพาตรงไปที่รถตำรวจอย่างรวดเร็ว
ขณะที่นั่งไป ฉินเย่ก็หันไปสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ ถึงแม้ว่าจังหวัดคยองกีจะกำลังประสบกับการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัวจนไม่ต่างอะไรกับนรกเดินดิน แต่บรรยากาศโดยทั่วไปของแดฮันยังคงผ่อนคลายกว่าที่จีนมาก อย่างน้อยที่สุด บ้านเรือนโดยรอบก็ไม่ได้เต็มไปด้วยแผ่นยันต์และเครื่องราง ประชาชนของพวกเขาเองก็ไม่ได้เต็มไปด้วยความตึงเครียดและหวาดกลัวอย่างในจีน
“พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกัน?” หวังหนึ่งหางกระซิบถามเสียงเบา “ท่านพี่ฉิน ท่านสังเกตหรือไม่? นักบวชเมื่อครู่นี้…”
“นักล่าปีศาจ” ริมฝีปากของฉินเย่ขยับเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่ตรงหน้าของรถคอยจับตามองพวกเขาผ่านกระจกหลังโดยตลอด ฉินเย่สามารถบอกได้จากสีหน้าของคน ๆ นั้นเลยว่าอีกฝ่ายกำลังเตือนเขาอย่างเงียบ ๆ ว่าอย่าล้ำเส้น
“หลักความเชื่อหลักของผู้คนที่นี่ก็คือขงจื๊อและโรมันคาทอลิก ลัทธิเต๋าไม่ได้เป็นที่นิยมนัก มันเคยเป็นในอดีต อย่างน้อยก็จนกระทั่งช่วงปี 1970 เมื่อลัทธิเต๋าถูกขับไล่ออกไปเนื่องจากการมาถึงของหลักความเชื่ออื่น ผู้คนเริ่มนับถือเทพเจ้าน้อยลงเรื่อย ๆ และเปลี่ยนไปนับถือบรรพบุรุษของพวกเขาแทน มันเป็นประเทศแปลก ๆ ที่นิกายโรมันคาทอลิกนั้นแทบจะไม่ต่างอะไรกับศาสนาประจำชาติ แต่ประชาชนกลับยังคงปฏิบัติตามพิธีการและพิธีกรรมของลัทธิขงจื๊อในชีวิตประจำวันของพวกเขา ฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่จะเห็นพวกมิชชันนารีอยู่แถวนี้”
โนบูทาดะเอ่ยต่อเสียงเบา “ฮันยางนั้นเป็นที่รู้จักในฐานะของเมืองที่มีโบสถ์อยู่มากที่สุดในโลก หน่วยสืบสวนพิเศษแห่งชาติที่เรารู้จักก็มีองค์กรที่คล้ายกันในประเทศอื่น ๆ สำหรับชายผู้นี้ มันไม่ผิดหากจะเรียกเขาว่านักล่าปีศาจ และข้าก็ไม่แปลกใจที่เขาจะเข้ามาในฮันยางในฐานะของนักบวชเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น…สิ่งนี้ก็บอกพวกเราแล้วว่าความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนภายในฮันยางนั้นไม่ได้มากนัก มันแปลกมากที่มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นยมเทพเท่านั้นที่ถูกสั่งให้มาประจำการสำหรับสถานการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนั้น”
แน่นอน พวกเขาทั้งสามได้ทำการบ้านเกี่ยวกับฮันยางและแดฮัน หวังหนึ่งหางพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ท่านคิดอย่างไรกับชายชาวอูโซเนีย?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับเสียงเบา “ตอนนี้ กองกำลังของแดฮันใต้ทั้งหมดจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอูโซเนียทันทีที่เกิดสงครามขึ้น นักล่าปีศาจและกองทัพน่าจะติดต่อกันอยู่ตลอด เหมือนกับในจีนที่หน่วยสอบสวนพิเศษทำงานร่วมกับกองกำลังติดอาวุธอย่างใกล้ชิด…จะว่าไป ที่จ้าวนรกองค์ที่สองพูดไว้นั้นถูกต้อง มีเพียงแค่ตอนที่เดินทางมาที่นี่เท่านั้นที่เราจะเริ่มมองประเทศจีนจากมุมมองของประเทศอื่น รวมถึงการพัฒนาของประเทศนั้น ๆ ด้วย”
“ใต้เท้า” โนบูทาดะกระซิบ “ในขณะที่คำสั่งสูงสุดของกองกำลังแดฮันนั้นอยู่ภายใต้อูโซเนีย มันก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่คำสั่งสูงสุดของกองกำลังอูโซเนียที่อยู่ภายในแดฮันก็น่าจะอยู่ในมือขององค์กรนักล่าปีศาจของแดฮัน”
เขายังคงวิเคราะห์ต่อ “นิกายโรมันคาทอลิกของแดฮันนั้นค่อนข้างเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก พวกเขามีอยู่ทั้งสิ้น 3 อัครสังฆมณฑล 12 สังฆมณฑล และหนึ่งสังฆมณฑลทหาร”
“อัครสังฆมณฑลทั้งสามนั้นตั้งอยู่ที่ฮันยาง แทกู และควังจู โดยพวกเขาจะอยู่ที่โบสถ์เมียงดงและโบสถ์คเยซัน”
ฉินเย่พยักหน้าเล็กน้อยและมองไปยังทหารที่ยังคงลอบสังเกตพวกเขาผ่านกระจกหลัง บ่งบอกว่าพวกเขาควรพูดเรื่องนี้อีกครั้งในภายหลัง
นี่ไม่ใช่เรื่องทั่วไป
จุดประสงค์ในการเดินทางมายังแดฮันของเขานั้นมีอยู่สองประการ ประการแรก เขาต้องการที่จะดูว่าเทพแห่งความตายไร้นามกำลังชักใยอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ประการที่สอง หากคำตอบของคำถามแรกได้รับการยืนยัน เขาก็อยากจะเห็นถึงวิธีการเผยแพร่ตำนานและปาฏิหาริย์ของซาร์อาร์ตูโรในระยะเพียงแค่ปีเดียว จนทำให้หลิวอวี้สามารถสร้างรากฐานของโลกใต้พิภพแห่งฮันยางขึ้นมาได้ด้วยตาของตัวเอง
และหากจะมีจุดประสงค์ที่สาม เช่นนั้นมันก็คงจะเป็นการช่วยฟื้นความทรงจำของลีจองซุกอย่างไม่ต้องสงสัย และอย่างสุดท้ายในรายการความสำคัญทั้งหมด…ก็คือการเข้าร่วมพิธีเปิดโลกใต้พิภพแห่งฮันยาง
หลิวอวี้นั้นแทบจะไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยในสายตาของเขา อันที่จริง ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายประกาศตัวเป็นเอกราช สำหรับฉินเย่ หลิวอวี้ก็เหมือนกับคนตายไปแล้วเท่านั้น
ไม่มีใครควรสร้างความโกรธแค้นให้กับยมโลก
ผู้ที่ดูหมิ่นจะต้องสำนึกไปชั่วนิรันดร์!
สำหรับจุดประสงค์แรกของเขา ทางที่ดีที่สุดในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับบทละครฉากใหญ่ของฮันยางก็คือผ่านรายงานขององค์กรพิเศษในฮันยาง! มนุษย์ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการขีดข่วนพื้นผิวของภูเขาน้ำแข็งแห่งความจริง
LSD ของแดฮันนั้นเทียบได้กับหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่ก็ไม่เชื่อใจอีกฝ่าย
ความศรัทธา…
การขาดความศรัทธาจะทำให้พวกเขาไม่สามารถมองทะลุสิ่งที่ปกปิดความจริงอยู่ได้ มันไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะสามารถเข้าใจถึงจุดประสงค์ของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น!
กลับกัน อัครสังฆมณฑลทั้งสามที่อยู่ในฮันยาง แทกู และควังจูนั้นอาจจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ชัดเจนกว่าคนอื่น ๆ ในแดฮันเสียอีก
หากพูดกันตามตรง ทันทีที่เห็นนักบวชและผู้บังคับบัญชาชาวอูโซเนียที่สนามบิน ฉินเย่ก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาควรจะเริ่มจากจุดใด และนั่นก็คือโบสถ์!
แต่ก่อนอื่น เขาจะต้องกำหนดให้ได้ก่อนว่าโบสถ์แห่งไหนที่เป็นฐานที่มั่นหลักของแดฮัน สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจก็คือมันจะต้องเป็นสถานที่ที่มีนักล่าปีศาจรวมตัวกันอยู่มากที่สุดในคาบสมุทรแดฮัน ดังนั้น มันก็ค่อนข้างน่าสนใจไม่ใช่หรือหากจ้าวผู้ปกครองยมโลกจะไปเดินเล่นภายในโบสถ์สักหน่อย?
เขาคือต้นตอของความเจ็บปวดของคนพวกนี้ แต่สิ่งเดียวที่เขาทำได้กลับมีเพียงเดินสวนกัน…
ไม่นาน พวกเขาก็ไปถึงที่สถานีตำรวจอินชอน ที่ซึ่งพวกเขาถูกแยกตัวออก สอบปากคำและตรวจสอบร่างกาย แต่ไม่ได้มีการควบคุมอาหารการกินแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้น กระบวนการทั้งหมดก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน และมันก็ล่วงเลยไปถึงหลังเที่ยงคืนก่อนที่พวกเขาจะสามารถสรุปการสอบสวนได้ในที่สุด
“ขอโทษนะครับ สุดท้ายนี้แล้ว คุณจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้ทันทีที่คุณเซ็นเอกสารรับรองข้อตกลงพวกนี้แล้ว” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูเหนื่อยไม่แพ้กันหยิบเอกสารข้อตกลงออกมาและวางมันลงตรงหน้าของทั้งสาม ฉินเย่รีบอ่านมันก่อนจะพบว่ามันคือข้อตกลงการรักษาความลับ
หากอีกฝ่ายพบว่ามีการรั่วไหลใด ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พวกเขาเห็นหรือได้ยิน อีกฝ่ายจะส่งพวกเขากลับประเทศทันที
เยี่ยมมาก…
ฉินเย่หยิบปากกาและรีบเซ็นชื่อลงในข้อตกลงทันที การสืบสวนระดับนี้จะไม่มีทางดึงดูดความสนใจจากโลกใต้พิภพแห่งฮันยางอย่างแน่นอน นอกจากนี้มันยังเหลือเวลาอีกกว่าหนึ่งเดือนกว่าจะถึงปลายเดือนตุลาคม พวกเขายังมีเวลาพอที่จะทำสิ่งจำเป็นหลาย ๆ อย่างและค่อย ๆ เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับนรกบนดินในจังหวัดคยองกี