ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 549: บทที่สามของปาฏิหาริย์ (2)
บทที่ 549: บทที่สามของปาฏิหาริย์ (2)
ในสงครามรุส-ทูเคียเมื่อปี 1768-1774 รัมยันต์เศวได้เข้าบัญชาการกองทัพและสามารถเอาชนะทูเคียได้ เขาได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นจอมพลในปี 1770 และหลังจากนั้น เขาก็ทำให้ทูเคีย ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจนพวกเขาต้องเซ็นสนธิสัญญาคูชุกไกนาร์จีพร้อมกับมอบสัปทานมากมายให้กับรุส นอกจากนี้ จากชัยชนะครั้งใหญ่ของเขาที่แม่น้ำดานูบ รัมยันต์เศวยัง งได้รับตำแหน่งซาดูไนสกี (Zadunaisky) ซึ่งมีหมายความถึงทรานสดานูเบียนต่อท้ายชื่อของเขาอีกด้วย
มันสามารถพูดได้เลยว่าความตึงเครียดระหว่างทั้งสองชาติในตอนนี้นั้นเกิดขึ้นจากเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งที่รัมยันต์เศวได้หว่านเอาไว้ตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อน
ฉินเย่รู้สึกสับสนเล็กน้อย จะว่าอย่างไรดี…มันรู้สึกราวกับว่าเขากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับนโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่หลังจากผ่านมานานหลายร้อยปี
ภายในใจของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดก็คือความระมัดระวัง…
นี่คือคู่ต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาเลย!
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ฉินเย่ก็เอ่ยขึ้นว่า “พูดต่อสิ”
“รับทราบ” อัน โซมีรู้สึกราวกับว่ากุญแจมือของนางถูกปลดออกทันทีที่นางเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายออกมา ซึ่งนั่นหมายความว่านางไม่สามารถถอยหลังได้อีกแล้ว
บางครั้ง ทั้งหมดที่คน ๆ หนึ่งต้องทำก็คือการคลายปมเชือกของกระเป๋า และทุกอย่างก็จะไหลออกมาเองนับจากนั้น…
“สิ่งที่ท่านราชทูตนำมาให้ข้าก็คือทักษะลับที่มีชื่อว่า…อสรพิษนิรันดร์”
นางเปิดปากออก หลังจากนั้นม้วนกระดาษม้วนหนึ่งก็ลอยออกมา โนบูทาดะรับมันและตรวจสอบเนื้อหาข้างในนั้นอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าและส่งมันให้กับฉินเย่
ม้วนกระดาษตรงหน้าแสดงภาพของงูที่ม้วนตัวเป็นวงกลม โดยที่ส่วนหัวของมันกัดเข้าที่หางของตัวเอง
ภาพงูตรงหน้านั้นโด่งดังมากจนไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายใด ๆ เด็กหนุ่มวิเคราะห์ลวดลายที่สลักเอาไว้ ก่อนจะพบว่าแท้จริงแล้ว…ภาพของงูตรงหน้าเกิดจากการประกอบกันของยันต์จำนวนนับไม ม่ถ้วน!
แต่ละอักขระล้วนมีรูปแบบที่ซับซ้อนอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้ และเขาก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่สัญลักษณ์ที่ตัวเองจะสามารถวิเคราะห์และทำความเข้าใจได้ในตอนนี้ ภายในหัวของเด็กหนุ่มเ เริ่มที่หมุนติ้วหลังจากที่จ้องมันไปไม่ถึงสิบวินาที
“อูโรโบรอส…” เขาเคาะนิ้วกับที่วางแขนและพึมพำกับตัวเอง “มันคือสัญลักษณ์ของความสามัคคีและความไม่มีที่สิ้นสุดของจักรวาล ในตำนานของนอร์สโบราณ มันแสดงถึงงูยักษ์ ยอร์มุงกั นเดอร์ที่ล้อมรอบโลกและกัดหางของตัวเอง รูปร่างของมันแสดงถึงความเป็นอมตะ ความสมบูรณ์ ความไม่มีที่สิ้นสุด โลกทั้งใบ และยังมีความหมายอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ที่สำคัญที่สุด นี่ ไม่ใช่ทักษะของโลกใต้พิภพของรุส”
เขาเหลือบมองอัน โซมี “นอกจากนี้…นี่ยังสามารถใช้เป็นตัวแทนของเหล่าคนตายที่มีชีวิตอีกด้วย”
“นี่คือแหล่งที่มาของซอมบี้ที่เจ้าสร้างขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
อัน โซมีพยักหน้าพร้อมกับกัดฟันแน่น “ใช่แล้ว ท่านราชทูตบอกเราว่ามันคือศาสตร์ต้องห้ามของชาติอื่น แต่อย่างไรก็ตาม…มันไม่ได้ถูกมอบให้กับเรา แต่…มันถูกมอบให้กับข้า”
ดวงตาของฉินเย่สั่นไหวอีกครั้ง
นี่คือประเด็นสำคัญของเรื่องนี้!
เด็กหนุ่มพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะจับกุมตัวอัน โซมี เพื่อที่จะได้รู้ถึงแผนการของเทพแห่งความตายไร้นาม! นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เขาเดินทางมาที่แดฮันก่อนกำหนด!
จะอย่างไร เด็กหนุ่มจำเป็นจะต้องศึกษาและเรียนรู้ถึงวิธีการสร้างศรัทธาและฐานพลังอำนาจกับเทพแห่งความตายคนอื่น ๆ อีกทั้งปรับเปลี่ยนความสมดุลระหว่างหยินหยาง พร้อมกับส่งเสริมการกร ระทำของตนเองเพื่อหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความศรัทธาทีละขั้น ๆ พวกเขาเริ่มสร้างอิทธิพลให้กับโลกใต้พิภพของตัวเองและทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น
จนถึงตอนนี้ ฉินเย่ได้ยอมรับแล้วว่าการเผยแพร่ตำนานและการสร้างปาฏิหาริย์นั้นจะต้องเป็นกระบวนการที่ยากอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถูกพิจารณาอย่างรอบคอบ ในขณะที่การดำ ำเนินการก็จะต้องเป็นไปอย่างรัดกุมและไร้ช่องโหว่
และวันนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใกล้แกนหลักของบทละครที่เทพแห่งความตายไร้นามได้เขียนขึ้นแล้ว…
“พวกเขาได้เลือกคนมาทั้งหมดสามคน ข้าผู้นี้ไม่รู้ถึงตัวตนของพวกเขา…” อัน โซมีพยายามนึก “ครั้งแรกที่เรามาเจอกันคือเมื่อ 14 ปีก่อน ในตอนนั้น พวกเราทั้งหมดต่างสวมหน้ากาก และข้ าก็สามารถบอกได้ว่าพวกเราอยู่ขั้นยมทูตขาวดำเหมือนกัน ข้าไม่แน่ใจนักว่าจุดนัดพบของพวกเราในครั้งนั้นคือที่ใด มันแทบจะเหมือนกับว่าจู่ ๆ ข้าก็ปรากฏตัวขึ้นที่นั่น…ขะ…ข้า รู้ว่ามันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ข้าพูดความจริง! ได้โปรดเชื่อที่ข้าพูด!”
เด็กหนุ่มพยักหน้า
มันเป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับขั้นฝู่จวินที่จะดึงวิญญาณตนอื่น ๆ ไปยังตำแหน่ง ๆ หนึ่ง
อัน โซมีสูดหายใจเข้าช้า ๆ “การพบกันครั้งนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อบอกให้พวกเราทราบถึงกฎข้อบังคับ พวกเราไม่ได้รับแจ้งถึงวิธีการที่เราสามารถใช้ในการติดต่อกับคนอื่น ๆ กลับกัน พวกเราจะ ะพบกันก็ต่อเมื่อช่วงเวลาสำคัญ ๆ หรือระหว่างการดำเนินงานเท่านั้น”
“เมื่อใดก็ตามที่ขั้นตอนสำคัญของงานเสร็จสิ้น มันจะมีการส่งมอบ นั่นเป็นเพียงเวลาเดียวเท่านั้นที่วิญญาณทั้งสามที่เกี่ยวข้องจะปรากฏตัวขึ้น นอกจากนั้น พวกเราก็แค่ส่งมอบงานต่อกัน นผ่านผู้ที่เป็นคนกลางเท่านั้น มันไม่มีทางเลยที่พวกเราจะได้พบเจอกับวิญญาณตนอื่น ๆ ที่ เกี่ยวข้อง”
ช่างระมัดระวังจริงๆ…
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกดำเนินการผ่านจุดต่อจุด ไม่มีใครมีโอกาสได้ติดต่อกัน… เห็นได้ชัดเลยว่าโลกใต้พิภพของรุสรู้ดีว่าพวกเขากำลังเล่นกับไฟ สามารถบอกได้เลยด้วยว่าพวกเขาไม่คิดด้วยซ้ ำว่ายมโลกจะให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้!
ตอนนี้พวกเรากำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง! หากไม่ใช่เพราะว่าข้อเท็จจริงที่ว่าลีจองซุกอยู่ที่นี่ และนี่คือโอกาสที่ดีในการเรียนรู้ของเขา ฉินเย่ก็เกรงว่าตัวเองคงไม่มีทา างเดินทางมาที่ฮันยางไปอีกแปดชั่วอายุคน!
“รายละเอียดล่ะ?” ฉินเย่เอ่ยห้วน ๆ
อัน โซมีเม้มปาก “หน้าที่ของข้า…คือประจำอยู่ที่ปูซาน มันถูกเรียกว่า… บทที่สามของปาฏิหาริย์”
“ทักษะอสรพิษนิรันดร์ถูกมอบให้กับข้าโดยตรง ข้าไม่แน่ใจนักว่าวิญญาณอีกสองตนได้รับทักษะเดียวกันนี้หรือไม่ แต่ภารกิจของข้า…”
เธอกัดฟันแน่น “ก็คือการสร้างซากศพเดินได้ และส่งพวกมันไปที่จังหวัดคยองกี!”
“ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ข้าได้ส่งซอมบี้ไม่ต่ำกว่าร้อยตัวไปที่นั่น” นางกัดฟันแน่น “ข้าเพียงรับผิดชอบในเรื่องของการผลิตและการขนส่งเท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจอะไรนอกเหนือจากนั้น ข้าไม่ร รู้ว่ามันถูกส่งไปที่ใด หรือว่าผู้รับคือใคร ข้ารู้เพียงแค่ว่า…หน้าที่ของข้าจะเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อรถไฟที่เต็มไปด้วยซอมบี้เดินทางไปถึงที่จังหวัดคยองกีตามช่วงเวลาที่กำหนด ”
ความเคร่งเครียดเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายกลัวว่าหน้าที่ของเทพแห่งความตายจะรั่วไหล...ฉินเย่ยกถ้วยชาขึ้นจิบ
วิญญาณสามตน สามบทบาทและสามหน้าที่ มีเพียงแค่เมื่อหน้าที่เหล่านี้มาบรรจบกันแล้วเท่านั้นที่เขาจะสามารถรับรู้ถึงบทละคร ตำนาน และปาฏิหาริย์ที่แท้จริงที่เทพแห่งความตายไร้นามต้องก การจะสร้างขึ้นเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับโลกใต้พิภพแห่งฮันยาง
นี่คือมรดกของความหวาดกลัวอันเป็นนิรันดร์ โดยใช้ชีวิตของผู้คนนับสิบล้านในฐานะเบี้ยตัวหนึ่ง… เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง แต่เขากลับไม่สามารถบอกได้ว่าม มันคืออะไร
เห็นได้ชัดเลยว่าวิญญาณทั้งสามไม่รู้จักกัน นี่รับรองได้ว่าไม่มีใครรู้เลยว่าวิธีการและจุดประสงค์ที่แท้จริงของเทพแห่งความตายไร้นามคืออะไร แน่นอน มันมีวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำ อยู่เพียงไม่กี่ตนเท่านั้นภายในฮันยาง และพวกเขาก็อาจจะติดต่อกันเป็นการส่วนตัวได้ แต่…
ด้วยการจับตาดูของรัมยันต์เศว ผู้ใดจะกล้าทำอะไรเช่นนั้น?
สามคือตัวเลขที่กำลังพอดี การมีส่วนรวมของวิญญาณแค่สองตนย่อมหมายความว่ามันมีชิ้นส่วนของปริศนาอยู่แค่สองชุด พวกเขาสามารถพิจารณากลับไปถึงการทำงานของวิญญาณอีกตนหนึ่งจากผลลัพธ ธ์ทั้งหมดและไขข้อสงสัยเก็บกับบทละครที่ถูกเขียนขึ้นได้ แต่ด้วยการที่มีปริศนาสามชิ้น สิ่งต่าง ๆ จะซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม ไม่เพียงแค่บทบาทของพวกเขาจะลดลงและถูกจำกัดมากขึ้น แต่ พวกเขายังอยู่ห่างไกลจากความจริงมากกว่าเดิมอีกด้วย
กฎข้อแรกก็คือ… ความปลอดภัย
หน้าที่ที่แท้จริงของจ้าวนรกจะถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นไม่ได้เด็ดขาด
ฉินเย่จำกฎข้อนี้ไว้และพับมันเก็บไว้สำหรับภายหลัง
อัน โซมีนิ่งเงียบ นางได้พูดทุกอย่างเกี่ยวกับหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายไปหมดแล้ว หน้าที่ของพวกนางถูกแบ่งออกเหมือนกับสายการประกอบ วิญญาณแต่ละตนรับผิดชอบแต่ละส่วน แต่ซาร์ อาร์ตูโรคือผู้ควบคุมที่นำทุกสิ่งทุกอย่างมารวมกัน
แน่นอนว่าฉินเย่ยังไม่พอใจ เขายังมีคำถามอีกมากมายอยู่ภายในหัว
“ประการแรก เหตุใดเจ้าถึงติดต่อกับลีจองซุก?”
“เพราะสถานะในสังคม รวมถึงอภิสิทธิ์ต่าง ๆ ที่นางได้รับ” อัน โซมีตอบกลับอย่างไม่ลังเล “ในตอนแรก มันเป็นคนอื่นที่รับหน้าที่ในการติดต่อกับลีจองซุก น่าเสียดาย ตั้งแต่เขาได้เสี ยชีวิตไปเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ท่านรัมยันต์เศวก็ไม่ต้องการให้มีคนมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินความจำเป็น ดังนั้นเขาจึงมอบหมายหน้าที่นี้ให้ข้า”
นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ “มีเพียงหลังจากที่ข้าได้ดูประวัติของนางแล้วเท่านั้นที่ทำให้ข้าได้รู้ว่านางน่ากลัวมากเพียงใด นางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ๆ แต่กลับกุมอำนาจของแซมซังไว้ใน กำมือ แซมซังเชียวนะ! หนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจภายในแดฮัน!”
“หน้าที่ของข้าก็คือปล่อยซอมบี้ขึ้นไปในรถไฟจากปูซานที่จะเดินทางผ่านจังหวัดคยองซังใต้ ข้ามแทกู และวิ่งผ่านจังหวัดคยองซังเหนือ จังหวัดชุงชองเหนือและเข้าสู่ที่จังหวัดคยอ องกีในที่สุด การเดินทางทั้งหมดนี้…ล้วนต้องได้รับคำอนุมัติจากนางทั้งสิ้น…”
พระเจ้า…
ฉินเย่อ้าปากค้าง นี่ลีจองซุกมีอำนาจในแดฮันมากขนาดนั้นเชียวหรือ?
ให้ตายเถิด…นี่เรากำลังพูดถึงจระเข้ยักษ์ในแม่น้ำชัด ๆ! รถไฟที่อัดแน่นไปด้วยซอมบี้นั้นแปลกประหลาดเพียงใดกัน? แต่ถึงกระนั้น…นางกลับสามารถได้รับการอนุมัติจากกรมการขนส่งทา างรางได้อย่างนั้นหรือ?!
นอกจากนี้ มันยังต้องมีผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับอันตรายจากกระบวนการเดินทางพวกนี้อีกด้วย พวกเรากำลังทำการเก็บกวาดผู้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด! นางสามารถรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ ด้วยตัวเองเพียงลำพังจริง ๆ น่ะหรือ?!
ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาที่ซับซ้อน “นางมีมุมมองของสิ่งเหล่านี้อย่างไร?”
“นางไม่ได้เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในตอนแรก หนึ่งในเงื่อนไขก็คือเราจะต้องหลีกเลี่ยงการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้บริสุทธิ์ให้ได้มากที่สุด แต่สุดท้าย นางก็ยอมตกลง…เพราะท่านราชทูต ได้ฝากข้อความไปถึงนาง” อัน โซมีนึกถึงเนื้อหาของข้อความนั้น “ท่านราชทูตบอกว่า…หากนางยอมช่วยเหลือโลกใต้พิภพแห่งรุส เช่นนั้น…นางก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่โลกใต้พิภพอย่างแ แท้จริง”
ริมฝีปากของฉินเย่เผยอขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกว่าริมฝีปากของตัวเองแห้งผาก
นาง…กำลังแสวงหาความตาย!
นางต้องการเข้าสู่โลกใต้พิภพเพื่อที่นางจะได้รับความตายอันเป็นนิรันดร์ นี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่นางจะได้จบชีวิตลงในที่สุด
นางเหนื่อยอย่างนั้นหรือ?
หัวใจของฉินเย่ถูกบีบคั้นด้วยความเจ็บปวด
แต่เขาก็รีบส่ายหน้าไปมากับความคิดเหล่านั้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เขาตั้งสมาธิอยู่กับสิ่งที่อัน โซมีพูดอีกครั้ง
“ประการที่สอง” เขาจ้องลึกเข้าไปในตาของอีกฝ่าย “เกี่ยวกับแดฮัน…ในช่วงนี้มีสิ่งใดเกิดขึ้นที่สร้างความตกตะลึงหรือสร้างความสยดสยองให้กับจิตใจของประชาชนบ้างหรือไม่?”
ฉินเย่คาดหวังว่าจะได้รับการพยักหน้า แต่กลับผิดคาด อัน โซมีส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เลย”
ไม่มีหรือ?
“ลองคิดดูอีกที มันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ได้รับการกระตุ้นจากเจ้าเป็นแน่!”
อัน โซมีขมวดคิ้ว หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มี”
“มันมีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของข้า ข้าบังเอิญปล่อยให้ผู้ที่ได้รับคำสาปซอมบี้หลุดขึ้นไปบนรถไฟ ส่งผลให้มันเกิดการแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว ผู้กำกับคนหนึ่งเห ห็นเหตุการณ์นี้และนำมันไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ‘Train to Pusan’ ข้าได้ยินมาว่าบัตรเข้าชมค่อนข้างขายได้ดีเลยทีเดียว แต่นอกเหนือจากนั้น ข้าก็ไม่คิดว่ามีอะไรอีก...”
ทันใดนั้นเอง นางก็หยุดพูดไป ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็ถามขึ้นทันที “เจ้านึกอะไรได้อย่างนั้นหรือ?”
จากที่นางพูด เขาแทบจะแน่ใจเลยว่ารัฐบาลของแดฮันจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อระงับการรั่วไหลของข้อมูล
น่าเสียดาย แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะปกปิดมันได้โดยสมบูรณ์
ดวงตาของอัน โซมีวูบไหว “ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าเมื่อเดือนที่แล้ว…มีผู้คนกว่าหมื่นคนได้ถูกสังหารไปในจังหวัดคยองกี…”
“แต่มันก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือและคำบอกเล่าเท่านั้น พวกเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับความรับผิดชอบของผู้อื่น และในพื้นที่นั้น…” นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “เป็นพื้นท ที่ซึ่งถูกรับผิดชอบโดยหมายเลข 02”
ฉินเย่เอนหลังพิงพนักและเงยหน้ามองเพดาน หลังจากผ่านไปประมาณสามนาที เขาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเอกสารเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาตินั้นถูกเก็บอยู่ที่ใด?”
แดฮันไม่ได้มีอำนาจอธิปไตยทางทหาร
มันมีสถานที่เพียงสี่แห่งเท่านั้นที่เอกสารเหล่านี้อาจถูกเก็บอยู่ สถานที่แรกก็คือสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ สถานที่ที่สองก็คือสำนักงานใหญ่ของ LSD สถานที่ที่สามคือภายในหน่วยงาน นพิเศษของกองกำลังอูโซเนีย
แต่ฉินเย่กลับรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เขากำลังตามหา
มันยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้!
และนั่นก็คือภายในสำนักงานใหญ่ของสังฆมณฑลคาทอลิกในแดฮัน!
เด็กหนุ่มไม่มีเวลาพอที่จะไปตรวจสอบสถานที่เหล่านั้น ทั้งสี่แห่งล้วนได้รับการคุ้มกันโดยกองกำลังและตัวตนขั้นตุลาการนรก และเขาก็สามารถเข้าเยี่ยมชมสถานที่เหล่านั้นได้เพียงแค่ครั้ งเดียว นอกจากนี้ ตนยังไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำการค้นคว้าเกี่ยวกับสถานที่เหล่านี้ก่อนเดินทางไปอีกด้วย มันไม่มีทางเลยที่เขาจะทำทั้งหมดนั้นได้ทันเวลา!
อัน โซมีส่ายหน้า นางเหลือบมองสีหน้าของฉินเย่ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วยุ่ง ดังนั้น นางจึงรีบเอ่ยต่อ “แต่…ข้ามั่นใจว่ามีคน ๆ หนึ่งที่รู้! และนางยังได้รับอนุญาตใน การเข้าถึงสถานที่เหล่านี้อีกด้วย!”
ฉินเย่กระพริบตาปริบ “ลีจองซุก?”
ทั้งหมดที่ท่านต้องทำก็คือรีบหานางให้เจอ และปัญหาทั้งหมดของท่านก็จะได้รับการแก้ไข!”
และพวกเขาก็จะวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่งอีกครั้ง
ดูเหมือนว่า…การตามหาบทละครที่แท้จริงคงไม่มีประโยชน์อีกแล้ว แต่เขาควรจะหาตัว ‘หมายเลข 02’ ที่ว่า…หรือควรหาตัวลีจองซุกดี?