ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 556: ตำแหน่งของหมายเลข 02
บทที่ 556: ตำแหน่งของหมายเลข 02
ภายในห้องสุขา…ฉินเย่กำลังส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความโกรธ
เด็กหนุ่มสามารถบอกได้เลยว่านี่คือบททดสอบที่จ้าวนรกองค์ที่สองแห่งยมโลกมอบให้เขา การตีความบทความสีทองที่ถูกเขียนโดยโชคชะตาผิด ๆ ของเขาก่อนหน้าเป็นหลักฐานของการมีส่วนร่ว วมของโชคชะตากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ…
ไม่เหมือนกับเทศกาลวันสารทจีนที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดโดยโชคชะตา เพราะครั้งนี้…บทบาทของมันแตกต่างออกไป มันเป็นเหมือนกับคันเร่ง แทนที่จะควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ทุกสิ่งท ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทั้งหมดที่โชคชะตาทำคือทำให้การเผชิญหน้าเหล่านี้เกิดขึ้นเร็วขึ้น เหมือนกับตัวเร่งปฏิกิริยาในปฏิกิริยาเคมี
แต่…น้ำเสียงของโชคชะตานั้น…
ไม่เคารพกันเป็นอย่างมากl!!!
เห็นได้ชัดเลยว่าโชคชะตาได้กำหนดลำดับของสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ทั้งหมดแล้ว แต่ฉินเย่กลับไม่ได้รู้สึกขอบคุณมันเลยแม้แต่น้อย การทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ต้องใช้ความพยายามอะไรมาก...
นอกจากนี้ ยังหมายความว่ามันจะจดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเท่านั้นใช่หรือไม่? ไม่รวมถึงสิ่งที่เขายังไม่ได้ทำ?
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่โลกใต้พิภพแห่งรุสกำลังจะทำ
หากพูดกันตามความจริง บางอย่างที่โชคชะตาจดบันทึกไว้นั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ฉินเย่เองก็คาดไม่ถึง
ยกตัวอย่างเช่น มุมมองความคิดของโลกใต้พิภพแห่งรุส
ใช่แล้ว…โลกใต้พิภพแห่งรุสจะคิดบ้างหรือไม่ว่ายมโลกจะต้องการบทละครแห่งความตายของพวกเขา?
ไม่มีทาง!
นี่คือจุดบอดของอีกฝ่าย และหากมันเป็นเช่นนั้นจริง… มันก็จะเปิดโอกาสมากมายให้กับเขา!
ความแน่ชัดที่เพิ่งค้นพบนี้ทำให้ฉินเย่มีความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัว ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป แต่ก็ยังมีเบาะแสบางอย่าง ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงจัดแจงเสื้อ อผ้าของตัวเองและเดินออกจากห้องน้ำ
อ่า…ในที่สุดหวังเฉิงห่าวและโนบูทาดะก็เริ่มกินแล้ว หึหึ…พวกดีแต่พูด ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังพูดอยู่เลยว่าจะไม่กินอะไรทั้งนั้น แล้วเหตุใดตะเกียบของพวกเจ้าถึงขยับเร็วข ขนาดนั้น?
ฉินเย่เดินไปนั่งที่ของตนและเริ่มทานอาหาร ต้องบอกเลยว่าบาร์บีคิวแบบไม่ปรุงรสที่จิ้มเข้ากับซอสงาและน้ำซุปที่หอมกรุ่นนั้นถูกปากของเขาเป็นอย่างมาก มันไม่ได้สุดยอดมากนัก แต่ มันก็อร่อยกว่าที่เขาคาดเอาไว้
หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เขายังคงนั่งอยู่กับที่และมองออกไปนอกหน้าต่าง
คริสตจักรพระกิตติคุณสมบูรณ์ยออิโดนั้นเป็นหนึ่งในคริสตจักรคริสเตียนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และฉินเย่ก็สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนจากจุดที่เขานั่งอยู่ ดังนั้นเขาจึงส สามารถบอกได้ด้วยว่าตอนนี้มีคนที่มีไรสมองฝังอยู่อย่างน้อยร้อยคนเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น…
ถ้าอย่างนั้นเจ้าแห่งไรก็น่าจะมีสักห้าตัว…เด็กหนุ่มคำนวณในใจ แน่นอน พวกนั้นอาจจะสามารถหลอกตาขั้นตุลาการนรกธรรมดาทั่วไปได้ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กับผู้สืบทอดบัลลังก์ของยมโลก ผ ผู้ที่เป็นพาหะของไรสมองยังคงทำตามกิจวัตรประจำวันของตัวเองบนเกาะ และพวกเขาส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่ใกล้ ๆ คริสตจักรพระกิตติคุณสมบูรณ์ยออิโด แต่อย่างไรก็ตาม…พวกเขาไม่ได้ดูร ระมัดระวังอะไรมากนัก
อีกฝ่ายคงจะรู้ดีว่าเขาจะลงมือหลังเที่ยงคืนเท่านั้น
………
ตกกลางคืน 22.00 น.
ยออิโดยังคงสว่างไสว ป้ายไฟนีออนส่องสว่างไปตามถนนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เหลือไว้เพียงอาคารหลังเดียวที่มีแสงสลัวส่องมาจากเบื้องหลังคริสตจักรพระกิตติคุณสมบูรณ์
ทางเข้าของมันถูกปิด เหลือไว้เพียงแสงสว่างที่ส่องผ่านกระจกออกมา ทั้งโบสถ์ดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก ทางเดินอันโอ่อ่าถูกประดับด้วยเทียนจำนวนมากที่ส่องแสงสีนวลออกมา
อังเดรคือหนึ่งในบาทหลวงของที่นี่ ในความเป็นจริง เขาอยู่ที่นี่มานานกว่าสิบปีแล้ว เขาได้ถือว่าคริสตจักรพระกิตติคุณสมบูรณ์เป็นบ้านของเขาตั้งแต่ที่เดินทางมาจากบริทาเนียในฐา านะของมิชชันนารี นอกเหนือจากพื้นที่ที่เขาไม่สามารถเข้าได้แล้ว ชายหนุ่มก็รู้ดีว่ามีคนปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในโบถส์กี่คนในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง และคนเหล่านั้นเป็นใครบ้าง…
มือที่จับพระคัมภีร์กระชับแน่นขึ้น เขาเดินไปตามทางเดิน ขนาบข้างด้วยรูปปั้นและภาพวาดขนาดใหญ่ พื้นทางเดินถูกขัดเงาจนเขาสามารถมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง อาจเป็นเพราะอายุที่ม มากขึ้น แต่อังเดรรู้สึกเหมือนกับว่ารูปปั้นพวกนี้กำลังจ้องมองมาที่เขาขณะที่เดินไปตามทางเดิน
คืนนี้ไม่ต่างอะไรจากคืนก่อนหน้า หลังจากทำความสะอาดวิหารเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปตามโถงใหญ่และตรงไปยังที่พักของบาทหลวง
แต่ถึงกระนั้น หลังจากที่เดินไปได้ประมาณสิบก้าว เขาก็หยุดลง
โถงทางเดินมีความยาวประมาณ 20 เมตร เขาหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง
ไม่มี…
“หูฝาดเหรอ?” อังเดรสลัดความคิดแปลก ๆ ออกจากหัวของตน เขาสาบานได้เลยว่าเมื่อครู่นี้เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามหลังตัวเอง
ตุบ...ตุบ...
มันแทบจะเหมือนกับว่ามันกำลังเลียนแบบการเดินของเขา
เมื่อเขาเดิน มันเดิน และเมื่อเขาหยุด มันก็หยุดเช่นกัน
เขาเริ่มเดินต่อไปอีกครั้ง ครั้งนี้ หลังจากเดินไปได้เพียงสามก้าว เขาก็ต้องหยุดลงและเงยหน้าขึ้น ร่างทั้งร่างสั่นเทา รูม่านตาหดเกร็ง
มีใครบางคนอยู่ที่นี่…และคน ๆ นั้นก็กำลังเดินตามเขาอยู่!
อังเดรได้ยินเสียงฝีเท้าอีกเสียงหนึ่ง! เสียงฝีเท้าที่ดังก้องไปตามทางเดินหลังจากที่เท้าของเขาแตะพื้น!
มันเป็นเสียงของรองเท้าที่กระทบกับพื้นผิวที่ถูกขัดเงา
แม้แต่เขาที่เป็นบาทหลวงเองก็รู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งร่างอย่างไม่สามารถห้ามได้ โบสถ์ปิดแล้ว คนที่อยู่ที่นี่จะมีเพียงเหล่าผู้รักษาความปลอดภัย รวมไปถึงเหล่าผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ ภายในที่พักของโบสถ์ แล้วใครกันที่เดินตามเขาอยู่ในตอนนี้?!
ขนบนร่างลุกชัน เขาก้มหน้าลงมองพื้น ก่อนจะเห็นเงาร่างอีกร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของตัวเอง!
อีกฝ่ายอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งเมตรด้วยซ้ำ!
“ข้าแต่พระบิดา…” เขากำมือรอบไม้กางเขนที่ตัวเองสวมอยู่แน่นขณะที่เดินไปข้างหน้าอีกครั้ง ทางเดินนี้มีความยาวแค่ 20 เมตรเท่านั้น ห้องสำหรับการสารภาพบาปอยู่ตรงหน้า เขาไม่เชื่ อว่าปีศาจจะกล้าปรากฏตัวขึ้นภายใต้สายตาที่คอยเฝ้าดูของพระผู้เป็นเจ้าได้!
อังเดรสูดหายใจเข้าช้า ๆ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของอังเดรเกร็งขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็วิ่งไปข้างหน้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้พร้อมกับตะโกนสุดเสียง “มีใครอยู่บ บ้าง…ใครก็ได้!!!”
“ช่วยด้วย… ช่วยพ่อด้วย!!!”
แต่น่าแปลก มันไม่มีใครตอบเขาเลยสักคน
เสียงเดียวที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงฝีเท้าที่ก้าวเร็วขึ้นตามมาจากด้านหลัง
ตุบ...ตุบ...ตุบ...
มันยังคงดำเนินไปในจังหวะเดียวกันกับฝีเท้าของเขา ราวกับว่า…เขากำลังแบกใครบางคนเอาไว้!
เสียงร้องอันสิ้นหวังของเขาดังโหยหวนไปตามทางเดิน เขามองเห็นปลายสุดของมัน มันคือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ทันใดนั้น…
กริ๊ก… ของบางอย่างก็ตกลงตรงหน้า
มันคือไม้กางเขน
ไม้กางเขนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
สาเหตุที่เขารู้สึกคุ้นกับมันก็เพราะว่ามันคือไม้กางเขนเดียวกันกับที่เขาใช้ทุกวัน ข้อแตกต่างเดียวก็คือตอนนี้มันดูหม่นแสงลงเล็กน้อย
นี่มัน…ไม้กางเขนที่เขาสวมทุกวัน…มันตกลงมาได้อย่างไร? อังเดรชะงักไป จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นไปแตะที่คอของตนอย่างแข็งทื่อ ภายในใจเต็มไปด้วยความกลัวว่าคอของตนจะไ ไม่อยู่ตรงนั้นอีกต่อไป
และทันทีที่มือของอังเดรสัมผัสเข้ากับคอของตน ดวงตาของเขาก็เหลือกขึ้น และแทบจะเป็นลมหมดสติไป
เพราะเขารู้สึกถึงมืออีกข้างหนึ่งที่อยู่รอบคอของตัวเอง
มือที่ไม่ใช่ของเขา
มัน…มีคนอยู่จริง ๆ…
นี่คือความคิดสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในหัวก่อนที่เขาจะหมดสติไป
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็สะดุ้งตัวตื่น แต่ทันทีที่เขาตื่นขึ้นมา เขาก็ต้องกรีดร้องออกมาอีกครั้ง
มันเป็นเพราะสิ่งที่เขาเห็น ตรงหน้าของเขาคือชายคนหนึ่ง รอบตัวของชายคนนี้ถูกห่อหุ้มด้วยพลังหยินที่เข้มข้น อีกฝ่ายแต่งกายด้วยชุดจีนโบราณ ลูกไฟนรกสองดวงลุกโชนอยู่ภายใน ดวงตา ชายคนนั้นส่งเสียงในลำคอเบา ๆ ทันใดนั้น อังเดรก็หยิบไม้กางเขนอีกอันหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อและจ่อมันไปที่ชายตรงหน้า “ขะ…ข้าแต่พระบิดา…”
ทั้งหมดนี่เป็นการเข้าใจผิด… ฉินเย่กำลังจะพูดออกไปแต่ทันใดนั้นเขาก็พบเข้ากับปัญหา…
เขาพูดอังกฤษไม่คล่อง!
ในวินาทีนั้น หนึ่งคน หนึ่งผีต่างจ้องตากันอย่างไม่ละสายตา อังเดรตัวสั่นเทาราวกับใบไม้ที่ลอยอยู่ในพายุเฮอริเคน ในขณะที่ฉินเย่ก็พยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อที่จะทำให้บาท ทหลวงตรงหน้าสงบลง “Excuse me…”
“อ๊ากกกก!!!!” บาทหลวงอังเดรร้องออกมาสุดเสียง
ฉินเย่ลอบสบถออกมาเสียงเบา
นี่ข้าพูด ‘Excuse me’ ไปแล้ว! เจ้าจะกรีดร้องทำไมอยู่ได้?! เจ้าเคยเห็นปีศาจร้ายที่สุภาพขนาดนี้หรืออย่างไร?!
นอกจากนี้ ทำไมจู่ ๆ ภาษาถึงกลายเป็นปัญหา?
เขาควรทำอย่างไร?
พาอีกฝ่ายไปด้วย?
ไม่ได้…ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน พวกคนที่มีไรสมองฝังอยู่จะต้องตื่นตัวเป็นอย่างมาก มนุษย์ที่อยู่ด้านนอกและบนถนนส่วนใหญ่คงจะเต็มไปด้วยคนที่ถูกไรสมองพวกนี้ฝังอยู่ มันคงไม่ง่าย ยที่จะหลบหนีออกไปจากที่นี่ มันไม่มีทางที่เขาจะไม่ถูกค้นพบหากเขาพยายามจะจับตัวชายผู้นี้
เด็กหนุ่มยังไม่ได้เตรียมที่จะพบกับรัมยันต์เศวในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม มันไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขามีข้อมูลที่รัมยันต์เศวอยากรู้
ด้วยเหตุนี้ เด็กหนุ่มจึงเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ และ…หยิบโทรศัพท์ออกมาพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ
อืม…แซมซัง…
ฉินเย่กดเข้าไปในแอปแปลภาษา พิมพ์ข้อความของตัวเอง ก่อนจะกดปุ่มแปลภาษา จากนั้นเขาก็หันหน้าจอไปทางอีกฝ่าย
ไร้ซึ่งคำตอบ
เด็กหนุ่มลองส่ายมันไปมา
ยังคงไร้ซึ่งคำตอบ
ฉินเย่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไม เพราะอย่างไรแล้ว ถ้ามีวิญญาณร้ายปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าของบาทหลวง เพียงเพื่อที่จะสื่อสารกับเขาผ่านแอปแปลภาษา หากเป็นคนอื่นก็คงมีปฏิกิริยาแบบนี้เช ช่นกัน
“Hi?” ฉินเย่รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก มันรู้สึกไม่ต่างอะไรกับการเดินทางไปต่างประเทศและเดินเข้าร้านค้าเพื่อถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาต้องการจะซื้อเลยแม้แต่น้อย
“Hi… Oh,Hi! Hi…” ในที่สุดอังเดรก็สงบลงเล็กน้อย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้นั้นแปลกประหลาดมากสำหรับเขา ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้เผชิญหน้ากับปีศาจ นับประสาอะไรกับเรื่องสื่อสารกั บอีกฝ่าย แถมปีศาจตรงหน้ายังสื่อสารกับเขาผ่านทางอุปกรณ์ของแซมซังอีกด้วย!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก!
“โลกใต้พิภพก็ดำเนินไปตามยุคสมัยอย่างนั้นเหรอ...” อังเดรพึมพำออกมาเสียงดังอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะหันไปมองหน้าจอและอ่านข้อความนั้น “มูคอฟอยู่ที่ใด?”
แถมเขายังใช้เครื่องหมายคำถามในท้ายประโยคอีกด้วย…
อืม… ช่างสุภาพจริง ๆ…
อังเดรแทบจะทำพระคัมภีร์ร่วงลงพื้น นี่ปีศาจสุภาพขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!!
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และสงบใจลง ไม่ได้หวาดกลัวอีกต่อไป เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ใครบ้างที่จะรู้สึกกลัววิญญาณที่ใช้โทรศัพท์? เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบออกไป “[ภาษาอังกฤษ ] เขาเดินทางไปที่ปูซานเมื่อเช้านี้”
ฉินเย่นิ่งงัน จากนั้นก็ชี้ไปที่โทรศัพท์
ตาแก่ นี่เจ้ากำลังล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?
ไม่เห็นโทรศัพท์ตรงหน้าของตัวเองหรืออย่างไร? เจ้าคิดว่าข้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูดอย่างนั้นหรือ?
วินาทีนั้น ฉินเย่รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับการสอบพูดของเด็กป.6
ทั่วทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด
อังเดรหยิบโทรศัพท์ไป จ้องหน้าจออยู่ครู่หนึ่งและกระแอมออกมาน้อย ๆ ขณะที่พยายามทำท่าทางบางอย่างให้ฉินเย่จนกระทั่งเด็กหนุ่มเข้าใจความหมายของมันในที่สุด
…ตาแก่นี่ต้องการจะให้เขากดฟังก์ชันคีย์บอร์ดให้…
มันแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ บาทหลวงและวิญญาณร้ายต่างสุมหัวกัน พยายามอย่างหนักในการเปิดฟังก์ชันคีย์บอร์ดบนโทรศัพท์แซมซัง…
หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่ ในที่สุดอังเดรก็ได้ให้คำตอบที่เขากำลังตามหา ดวงตาของฉินเย่วูบไหวทันทีที่เขาได้อ่านคำตอบบนหน้าจอ
‘มูคอฟเดินทางไปที่โบสถ์คริสต์จุกซองเมื่อตอนเที่ยงของวัน’
หลังจากที่ได้อ่านบทวิเคราะห์อย่างละเอียดของโชคชะตาเกี่ยวกับบทละครแห่งความตาย ฉินเย่ก็รู้ดีว่าสามส่วนของบทละครถูกมอบให้กับคนสามคน สองในสามมาจากโลกใต้พิภพแห่งรุส ในขณะที่อ อีกหนึ่งนั้นมาจากโลกใต้พิภพแห่งฮันยาง ซึ่งมูคอฟคือหนึ่งในสองของคนที่มาจากโลกใต้พิภพแห่งรุส
ฉินเย่สัมผัสได้ว่าปากกาจิตวิญญาณที่อยู่ในเสื้อของเขากำลังสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นทันทีที่เห็นประโยคนี้
มันราวกับว่าประโยคดังกล่าวได้ไปกระตุ้นความกระหายเลือดของวิญญาณร้าย
ควอน คยองโฮปรารถนาที่จะแก้แค้น เขาต้องการแก้แค้นแทนเหล่าเด็ก ๆ ที่ต้องตายไปในโศกนาฏกรรมเรือข้ามฟากเอ็มวี เซว็อล!
และความเกลียดของเขาก็ไม่ได้พุ่งไปแค่ที่หมายเลข 02 แต่มันมากกว่านั้น ความเกลียดของเขานั้นเพียงพอที่จะกลืนกินหมายเลข 02 และเหล่าผู้ที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังทั้งหมด…
โลกของผู้ใหญ่นั้นมืดมนและน่าสะพรึงกลัว แต่ถึงกระนั้น เขาก็จะรักษาความสมดุลของสิ่งต่าง ๆ โดยการแก้แค้นด้วยวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด ควอน คยองโฮต้องการจะฆ่าคนเหล่านั้น!