ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 557: เมืองแห่งซอมบี้ (1)
บทที่ 557: เมืองแห่งซอมบี้ (1)
สถานีรถไฟความเร็วสูงยออิโด ทั้งสามต่างพากันนั่งประจำที่ของตน จ้องมองออกไปยังเหล่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาด้านนอกหน้าต่างด้วยความสนใจ
พวกเขากำลังเดินทางออกจากยออิโดหลังจากที่พักอยู่ที่นี่ได้หนึ่งคืน จุดหมายปลายทางต่อไปของพวกเขาก็คือปูซาน
ระยะเวลาหนึ่งคืนที่ใช้ในยออิโดก็เพื่อที่จะวิเคราะห์แนวความคิดและมุมมองของโลกใต้พิภพแห่งรุส มันไม่ใช่ความลับแต่อย่างใดสำหรับเรื่องที่ยมโลกได้ปิดพรมแดนของตัวเองมาตลอดร้อยปีนั้น และพวกเขาก็ห่างหายไปจากเวทีโลก มันมีโลกใต้พิภพอื่น ๆ พยายามที่จะติดต่อกับยมโลกหรือไม่? ถ้ามี พวกเขาจะทำอย่างไร?
ฉินเย่ไม่รู้ว่าโลกใต้พิภพแห่งรุสกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายนั้นระแวดระวังตนเองเป็นอย่างมาก
เด็กหนุ่มตระหนักเรื่องนี้ได้จากสิ่งที่ตัวเองได้เห็นเมื่อคืน ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงนอกจากจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นของเหล่าผู้ที่มีไรสมองฝังอยู่ ทุกอย่างเป็นไปตามการคาดเดาของเขาและการประเมินสถานการณ์ของโชคชะตา โลกใต้พิภพรุสนั้นกำลังหาทางกำจัดโลกใต้พิภพแห่งฮันยางในฐานะของคนกลางและติดต่อกับยมโลกโดยตรง ความเฉยเมยต่อการปรากฏตัวของยมทูตแห่งยมโลกเป็นสารที่ต้องการส่งให้กับยมโลก มันคือการแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ
“พวกเขาไม่ได้ติดต่อกัน บางทีทางรัมยันต์เศวอาจจะยังคิดอยู่ว่าพวกเขาควรจะติดต่อกันอย่างไร และควรพูดอะไรบ้าง พวกเขาจะลงมืออย่างเปิดเผย หรือจะค่อย ๆ ตรวจสอบเราทีละขั้น? หากการเจรจาล้มเหลว พวกเขาก็อาจจะต้องการที่จะกลับไปหาโลกใต้พิภพแห่งฮันยางในฐานะของคนกลางเพื่อติดต่อกับยมโลก…” ฉินเย่เอนหลังพิงพนักขณะที่เอ่ยออกมา “หรือเขาจะแค่นั่งเฉย ๆ และคอยดูการกระทำของยมโลกเพื่อดูว่าตัวเองจะสามารถคาดเดาอะไรเกี่ยวกับยมโลกได้บ้างหลังจากที่หายเงียบไปกว่าร้อยปี?”
“ไม่ว่ามันจะเป็นกรณีใด มันมีหนึ่งเรื่องโชคชะตาวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ทั้งโลกใต้พิภพแห่งรุสและโลกใต้พิภพแห่งฉันยางต่างมีจุดบอดเดียวกัน และนั่นก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าเราจะเข้าไปยุ่งกับบทละครแห่งความตาย และเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือ…”
เขามองออกไปยังป้ายที่อยู่ด้านนอก หลังจากครุ่นคิดมาทั้งคืน เขาก็ตัดสินใจได้ในที่สุด
เขาจะอ่อนข้อไม่ได้เด็ดขาด!
เขาจะดูอ่อนแอและมีอำนาจน้อยกว่าที่ยมโลกเคยมีก่อนที่มันจะปิดพรมแดนของตัวเองไม่ได้! เด็กหนุ่มจะต้องทำให้อีกฝ่ายรู้ว่ายมโลกนั้นยังคงเป็นโลกใต้พิภพที่แข็งแกร่งที่สุด! นี่คือมรดกที่แท้จริงของยมโลก มรดกที่ล้ำค่าที่สุดที่เขาได้รับมาจากยมโลกแห่งเก่า!
นอกจากนี้ เขาจะต้องทำทุกอย่างให้รอบคอบ เขาเป็นเพียงยมทูตที่ถูกส่งมาทำภารกิจโดยจ้าวนรกแห่งยมโลก ไม่ใช่ตัวจ้าวนรกเอง
และสุดท้าย เขาจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบทละครแห่งความตายให้น้อยที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้ว นั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งได้รับการดูแลโดยเทพแห่งความตายไร้นาม
สิ่งนี้ดูเหมือนจะขัดกับสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการจะทำ แต่ตัวเขาก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่านี้ เพราะอย่างไรแล้ว ฉินเย่ก็เชื่อว่าซาร์อาร์ตูโรได้มีคำสั่งให้ทำลายบทละครแห่งความตายในทันทีที่พวกเขาตรวจพบภัยคุกคามที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะต้องเลือกที่จะทำลายความพยายามตลอดสิบปีของตัวเองมากกว่าการปล่อยให้สิ่งนี้ตกไปอยู่ในมือของโลกใต้พิภพแห่งอื่น
“อุบ…” เสียงปิดปากดังขึ้นข้าง ๆ ฉินเย่ไม่สนใจมันและคิดต่อ
“ในขณะเดียวกัน รัมยันต์เศวก็น่าจะติดตามการเคลื่อนไหวของพวกเราอย่างใกล้ชิด อีกฝ่ายเคยสู้กับเรา และน่าจะติดตามลักษณะพลังของเราได้ และเหตุผลที่เขาตามเราก็น่าจะเพื่อสังเกตการกระทำของเรา และป้องกันไม่ให้บทละครแห่งความตายตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ไม่ควร หากเรายังคงตามหาหมายเลข 02 อย่างไม่หยุดหย่อน พวกเขาจะต้องรู้แน่ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเราก็คือบทละครแห่งความตาย”
ฉินเย่ยกมือขึ้นคลึงขมับ เขายังไม่มีแผนการดี ๆ สำหรับตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงเก็บความคิดทั้งหมดเอาไว้และไม่สนใจกำหนดการที่มีอยู่ตอนนี้แทน
การแย่งเนื้อจากปากเสือเป็นการตัดสินใจที่เขาทำโดยหุนหันพลันแล่น วัตถุประสงค์หลักของเด็กหนุ่มยังคงเป็นการเรียนรู้จากเทพแห่งความตายไร้นามให้ได้มากที่สุด เหมือนอย่างที่จ้าวนรกองค์ที่สองแห่งยมโลกได้เอ่ยไว้ การได้รับประสบการณ์จริงนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่า การเผยแพร่ตำนานและสร้างปาฏิหาริย์คือกระบวนการอันยาวนาน มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพิจารณาถึงความต้องการแฝงของโลกใต้พิภพ มุมมองความคิดและการตอบสนองของแดนมนุษย์ และแม้แต่เวลาสำหรับการเก็บเกี่ยว ที่สำคัญที่สุด เนื้อเรื่องของมันจะต้องน่าสนใจ
พูดสั้น ๆ ก็คือ มันไม่ใช่สิ่งที่จ้าวนรกมือใหม่จะสามารถเชี่ยวชาญได้ง่าย ๆ
เขาได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายจากการเดินทางในครั้งนี้ และมันก็เป็นเวลาที่ดีในการจัดระเบียบความคิดและย่อยข้อมูลทั้งหมด
“พูดง่าย ๆ ก็คือ บทละครแห่งความตายนั้นไม่ต่างอะไรกับรายการเรียลลิตี้ แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะอันตรายและแปลกประหลาดเพียงใดก็ตาม มันก็จะเหมือนกับ… ภาพยนตร์โปเยโปโลเย ที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์เพื่อที่มนุษย์จะเริ่มเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของภูตผี”
“เหตุการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดคลื่นความกลัว และความกลัวก็จะเปิดประตูหัวใจของพวกเขาสู่ความศรัทธา ศรัทธาในใคร? ทั้งหมดนั้นล้วนขึ้นอยู่กับผู้ที่ก้าวขึ้นมา”
“ดังนั้น ในท้ายที่สุด พวกเขายังต้องการวีรบุรุษที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตทั้งหมดและกลายเป็นแหล่งความศรัทธาของผู้คน ใครก็ตามที่ก้าวขึ้นรับบทบาทนี้จะกลายเป็นผู้ที่ได้ปกครองโลกใต้พิภพแห่งแดฮัน”
“ด้วยเหตุนี้ พวกเราจะต้องพิจารณาถึงความคิดและปฏิกิริยาของแดนมนุษย์ด้วย การปล่อยให้เหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยเกินไป แดนมนุษย์อาจตกอยู่ในความโกลาหล ยกตัวอย่างเช่น การที่รัฐบาลของแดฮันที่ส่งจดหมายขอความช่วยเหลือไปยังจีน หรืออาจมีการระดมพลอย่างเต็มกำลัง หากมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เช่นนั้นเวทีที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษก็มีแนวโน้มที่จะพังทลายลง นอกจากนั้น มันยังต้องพิจารณาถึงระดับความทนทานต่อความหวาดกลัวของสังคมอีกด้วย…”
ต้องยอมรับเลยว่าซาร์อาร์ตูโรนั้นเป็นเทพแห่งความตายที่เก่งกาจ เหตุการณ์ของเรือข้ามฟากเอ็มวี เซว็อลนั้นโหดเหี้ยมและน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แต่ผลของมันก็น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ก็สามารถคาดเดาได้เลยว่าซาร์อาร์ตูโรจะต้องทิ้งอะไรบางอย่างไว้ในที่เกิดเหตุซึ่งคงจะถูกเก็บได้โดยเหล่าเจ้าหน้าที่สืบสวนและทำให้พวกเขานึกไปถึงหลิวอวี้เป็นแน่ สิ่งนี้จะเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์สำหรับการปรากฏตัวของเขาในฐานะของตัวละครหลักและวีรบุรุษของบทละครแห่งความตายนี้
แต่น่าเสียดายที่หลิวอวี้คงไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น
เพราะจ้าวนรกมือใหม่ผู้นี้กำลังจะเปล่งประกายมากกว่าเขา!
“อุ้บ…”
ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังคิดอยู่นั้น เสียงปิดปากก็ดังขึ้นอีกครั้ง ฉินเย่กลอกตาและจ้องไปที่หวังเฉิงห่าวและใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่ายอย่างเหลืออด “เจ้าแพ้ท้องหรือ?”
“ไม่ใช่…” หวังเฉิงห่าวเปิดฝาขวดน้ำแร่และดื่มมันไปอึกใหญ่ “ท่านพี่ฉิน…ท่านไม่ได้กลิ่นหรือ?”
“อะไร?”
หวังหนึ่งหางเอนหลังพิงพนักอย่างอ่อนแรงและลูบท้องของตน “ข้าไม่รู้ว่าจมูกของตัวเองดีเกินไปหรือไม่ แต่… ข้าได้กลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียดบางอย่างมาตั้งแต่ที่เราขึ้นมานั่งบนรถไฟ”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว เขากำลังจะโต้กลับคำพูดของเด็กหนุ่มข้าง ๆ แต่ทันใดนั้นหางตาของตนเองก็กระตุก
มันมีบางอย่างอยู่จริง ๆ…
เด็กหนุ่มได้กลิ่นมัน แต่มันก็ดูเหมือนจะผสมอยู่กับกลิ่นอื่นด้วย มันเป็นกลิ่นของสารเคมี มันไม่ได้ฉุน แต่กลับน่าสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้ มันยังเป็นกลิ่นที่คละคลุ้งไปในอากาศ ที่เขาไม่สังเกตเห็นมันก่อนหน้านี้ก็เพราะว่าเขามัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง
ทันใดนั้น ฉินเย่ก็เหลือบมองไปทางผู้โดยสารคนอื่น ๆ ก่อนจะพบว่าไม่มีใครแสดงสีหน้าอึดอัดเลยสักคน
วิญญาณนั้นไวต่อกลิ่นของเนื้อและเลือดมากกว่ามนุษย์ธรรมดา แต่นี่ไม่ใช่กลิ่นของเนื้อและเลือด กลิ่นของมันผสมไปด้วยกลิ่นอื่น ๆ อีกมาก และมันก็เป็นเรื่องยากที่จะระบุถึงแหล่งของกลิ่นนี้ เขาหันกลับไปหาหวังเฉิงห่าวและถาม “เจ้าทนไหวหรือไม่?”
“น่าจะ… อุ้บ…!”
เฮ้อ…ก็ได้
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา “เรากำลังจะออกแล้ว ทนอีกนิด แล้วเดี๋ยวข้าจะช่วยพาเจ้าไปห้องน้ำ”
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่รถไฟก็เดินเข้ามาในตู้โดยสาร และประตูก็ค่อย ๆ ปิดลง เมื่อผ่านไปหนึ่งนาที รถไฟก็เริ่มเคลื่อนตัวออก
ฉินเย่พยุงหวังเฉิงห่าวออกจากที่นั่ง ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามาหาพวกเขาพร้อมรอยยิ้มและเอ่ยด้วยภาษาแดฮัน “ขอโทษนะคะ แต่ผู้โดยสารภายในตู้โดยสารนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ลุกออกจากที่นั่งค่ะ ขออภัยในความไม่สะดวก”
แต่น่าเสียดาย พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเลยแม้แต่น้อย
“What?”
เจ้าหน้าที่คนนั้นเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันที เขาจึงรีบเปลี่ยนไปใช้ภาษาอังกฤษแทน “ขอโทษนะคะ แต่ภายในตู้โดยสารไม่อนุญาตให้ลุกเดินไปมาค่ะ”
น่าเสียดาย… เธอยังคงได้รับคำตอบเหมือนเดิม
หญิงสาวชะงักไป
ไอ้หนู…พวกนายกำลังกวนประสาทฉันหรือไม่?
“เธอ…บอกว่า…เราจะลุกเดินไปไหนมาไหนไม่ได้” หวังเฉิงห่าวพยายามเอ่ยออกมา “[ภาษาอังกฤษ] ผมรู้สึกไม่ค่อยดี เลยอยากไปห้องน้ำสักหน่อย”
เจ้าหน้าที่สาวหันไปมองรอบ ๆ รถไฟความเร็วสูงไม่ได้สั่นเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเธอจึงหันกลับไปมองหวังเฉิงห่าวอีกครั้ง
นี่พวกนายกำลังล้อฉันเล่นใช่ไหม?
เธอเคยเห็นอาการของคนเมารถมาก่อน แต่เธอก็ไม่เคยได้ยินเลยว่ามีคนรู้สึกเมาเพราะรถไฟความเร็วสูง แต่ถึงอย่างนั้น…เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ค่อนข้างหน้าซีดจริง ๆ…
มุมปากของเธอกระตุกอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะหันไปหาทั้งสอง “[ภาษาอังกฤษ] เชิญตามมาค่ะ”
นั่นเป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้… ฉินเย่ที่พยุงร่างของหวังเฉิงห่าวเดินตามอีกฝ่ายไปติด ๆ
ตอนนี้พวกเขาอยู่ภายในตู้โดยสารตู้ที่สิบ ซึ่งเป็นตู้สุดท้ายของรถไฟ รถไฟของแดฮันนั้นสั้นส่วนใหญ่มีความยาวเพียงแค่สิบตู้เท่านั้น พวกเขากำลังเดินผ่านส่วนหนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างตู้โดยสารขณะที่แววตาของเด็กหนุ่มสั่นระริกกะทันหัน
ประตูห้องพักพนักงานเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย และหางตาของฉินเย่ก็สังเกตเห็นว่าภายในห้องถูกติดไปด้วยยันต์จำนวนมาก!
นอกจากนี้ ยันต์พวกนั้นยังถูกติดไว้กับสายโซ่สีเงิน และคำที่ถูกเขียนอยู่บนนั้นทั้งหมดก็คือตัวอักษรภาษาจีน!
“Sorry” เจ้าหน้าที่รถไฟชะงักอยู่ครู่หนึ่ง และรีบเดินนำพวกเขาไปเพื่อปิดประตู จากนั้นเธอก็หันกลับมาส่งยิ้มบางให้พวกเขา “Please?”
“ท่านพี่ฉิน… อุ้บบบ...” หวังเฉิงห่าวกระซิบกับฉินเย่เสียงเบาขณะที่พวกเขาเดินตามไปติด ๆ
“ชู่ว…ข้าเห็นแล้ว” ดวงตาของฉินเย่ฉายแววระแวดระวัง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เด็กหนุ่มได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับศาสตร์วิชาที่แดนมนุษย์ใช้กับสิ่งเหนือธรรมชาติ และรู้ดีว่าสิ่งที่คนพวกนี้ใช้คืออะไร
ทักษะการปราบปรามปีศาจ!
นี่คือชื่อเต็มของทักษะนี้ สามารถบอกได้จากชื่อของมันเลยว่าหน้าที่ของมันก็คือปราบวิญญาณร้าย อย่างไรก็ตาม… นั่นไม่ใช่หน้าที่หลักของมัน
ความสามารถในการปราบปรามวิญญาณร้ายของมันนั้นอ่อนแอกว่าทักษะอื่น ๆ ในระดับเดียวกันมาก เพราะแท้จริงแล้วหน้าที่ของมันก็คือ…ปกป้องวิญญาณร้าย!
อย่างไรน่ะหรือ?
โดยการระงับการปรากฏตัวทางกายภาพและเสียงของพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะไม่ถูกพบเห็นจากทั้งประสาทสัมผัสทางสายตาและเสียง
พูดอีกอย่างก็คือบางสิ่งบางอย่างได้เกิดขึ้นบนรถไฟ และคนพวกนี้ก็ปกปิดสิ่งเหล่านั้นโดยการใช้ทักษะนี้! สิ่งที่พวกเขากำลังเห็นอยู่ไม่ใช่ความจริง!
ไม่มีใครใช้ดวงเนตรแห่งนรกหรือดวงตาหยินหยางของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่แม้แต่ฉินเย่ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ผู้ใดจะไปอยากเห็นว่ามีผีหัวขาดนั่งอยู่ด้านหลังของตนตลอดเวลา คุณตายได้ยังไง? มีเวลาคุยกันสักหน่อยมั้ย?
ปฏิสัมพันธ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดกับสิ่งที่มองไม่เห็นเช่นนั้นจะต้องทำให้เขาได้ที่พักภายในโรงพยาบาลจิตเวชอย่างแน่นอน...
ในเวลาเดียวกัน ทักษะการปราบปรามปีศาจสามารถระงับประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์ได้ แต่มันกลับไม่ได้ผลเลยเมื่อมาอยู่ต่อหน้าคนอย่างฉินเย่และหวังเฉิงห่าว
“คอยดึงความสนใจนางเอาไว้” ฉินเย่กระซิบเบา ๆ ขณะที่เขาลดความเร็วลงครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้น ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและเริ่มมองไปรอบ ๆ
หลังจากผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที ริมฝีปากของเขาก็เผยอออกด้วยความประหลาดใจ
มันยังคงเป็นตู้โดยสารตู้เดิม
เหล่าผู้โดยสารเองก็ยังคงเหมือนเดิม
แต่ถึงกระนั้น…มันกลับมีรอยคราบเลือดกระจายอยู่ทั่วทุกที่!
และมันก็ไม่ใช่รอยเลือดปกติที่เกิดจากอุบัติเหตุ กลับกัน พวกมันดูเหมือนจะเป็นการกระเซ็นของเลือด ราวกับว่าเส้นเลือดที่ถูกตัดขาดในเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว ส่งผลให้มันสาดกระเซ็นไปทั่วทุกมุมของตู้โดยสาร!
ทั่วทั้งตู้โดยสารเต็มไปด้วยเลือด! เห็นได้ชัดเลยว่าตู้โดยสารตู้นี้ถูกทำความสะอาดอยู่หลายครั้งเพื่อทำความสะอาดรอยเลือดดังกล่าว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีสิ่งใดสามารถหลอกลวงสายตาของฉินเย่ได้
ทุกคนล้วนต้องหวาดผวาเมื่อได้เห็นรอยเลือดจำนวนมากบนรถไฟที่ดูธรรมดา ๆ กำลังแล่นอยู่
ในวินาทีนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่ากลิ่นที่แปลกประหลาดและน่าสะอิดสะเอียนที่ได้กลิ่นเมื่อครู่นี้คืออะไร
มันคือกลิ่นของเลือดและเนื้อเน่าที่ถูกบดบังโดยสารฆ่าเชื้อและสารซักฟอกหลายต่อหลายชั้น
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นที่นี่…” เขาเดินต่อไปช้า ๆ ก่อนจะพบว่า…
พวกเขาเพิ่งเดินผ่านห้องน้ำไป!
แล้วก็ไม่ได้หยุดลงเพียงแค่นั้น…!
ฉินเย่หันกลับไปมองที่ประตูห้องน้ำ ก่อนจะเห็นว่ามีป้ายสีเหลืองที่ถูกแขวนอยู่ที่ประตูพร้อมกับคำว่า “อยู่ระหว่างการปรับปรุง” เขียนเอาไว้เป็นภาษาอังกฤษ นอกจากนี้…
เขายังได้กลิ่นฉุนที่รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้มาจากด้านในของห้องน้ำอีกด้วย!
มันแทบจะเหมือนกับว่ามันมีศพที่เน่าเปื่อยถูกซ่อนอยู่อีกด้านหนึ่งของประตูห้องน้ำไม่มีผิด!