ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 558: เมืองแห่งซอมบี้ (2)
บทที่ 558: เมืองแห่งซอมบี้ (2)
ฉินเย่หยุดลงตรงหน้าห้องน้ำและมองไปที่ประตู จุดแสงสีทองปรากฏขึ้นภายในรูม่านตาของเขา
พรึ่บ…
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นกลายเป็นสีขาวดำ ทุกอย่างภายในรัศมีสิบเมตรรอบตัวของเขาชัดเจนราวกับตอนกลางวัน ตู้โดยสารที่อยู่ห่างออกไปพร่าเลือน ประตูห้องน้ำค่อย ๆ แง้มออก
และสีที่สามก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของเขา
มันคือสีแดง…สีของเลือด!
ทั่วทั้งห้องน้ำในตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด!
ด้านในมีรองเท้าส้นสูง โทรศัพท์ที่ใช้การไม่ได้แล้ว และแม้แต่กลุ่มผมที่ลอยอยู่บนกองเลือด อีกฝ่ายยังไม่มีเวลาทำความสะอาดคราบเลือดที่อยู่ภายในห้องน้ำ!
ผนังเต็มไปด้วยรอยขูด ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังพยายามที่จะตะเกียกตะกายมาที่ประตูเพื่อหลบหนีจากปีศาจ นี่มันไม่ต่างอะไรกับฉากในหนังสยองขวัญเลยสักนิด แต่ผู้โดยสารทั้งหมดกลับไม่ รู้เลยว่ามีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้เกิดขึ้น!
พรึ่บ!
ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา เจ้าหน้าที่รถไฟสาวรีบเดินกลับมาตรงหน้าประตูและปิดมันลง “ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าคะ?”
เสียงของเธอสั่นเทา
เห็นได้ชัดว่าเธอพยายามจะห้ามไม่ให้เด็กหนุ่มเข้าไปในห้องน้ำ
แต่ถึงกระนั้น ภาษากายของเธอกลับบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอไม่ต้องการเข้ามาใกล้ห้องน้ำห้องนี้มากเพียงใด ร่างของเธอสั่นเทา อกของหญิงสาวกระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วง
“[ภาษาอังกฤษ] ข้างในมีอะไร?” ฉินเย่สบตาอีกฝ่าย “[ภาษาอังกฤษ] ทำไมถึงปิดเอาไว้?”
“ฉันไม่รู้!!” หญิงสาวตะคอกตอบ นั่นทำให้ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ส่วนหน้าของตู้โดยสารหันมามองทั้งสามทันที ทว่าไม่นาน เธอก็ตระหนักได้ว่าการกระทำของตนนั้นค่อนข้างไม่เหมาะ ะสมและถือเป็นการไม่เกียรติ เจ้าหน้าที่สาวเม้มปากและมองไปที่ฉินเย่ด้วยแววตาขอร้องอีกครั้ง “[ภาษาอังกฤษ] ใช้ไม่ได้! มันใช้การไม่ได้!”
เธอไม่รู้จริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นด้านใน แต่เขาเกรงว่านั่นก็คงจะเป็นความจริงเกี่ยวกับตู้โดยสารหากปราศจากผลของทักษะการปราบปรามปีศาจ… ฉินเย่หันไปมองตามทางเดิน
ฮืออออ...
ฉินเย่ไม่รู้ว่าเขาหูฝาดไปเองหรือเปล่า แต่เด็กหนุ่มสามารถสาบานได้เลยว่าตัวเองได้ยินเสียงร้องครวญครางดังมาจากด้านหน้าของตู้โดยสาร
มันดูราวกับว่ารถไฟขบวนนี้กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังทางหวงเฉวียน
ฉินเย่หมุนตัวกลับและเริ่มเดินไปยังตามทางเดินตรงหน้า เมื่อเห็นเช่นนี้ เจ้าหน้าที่สาวก็ขยับตัวออกห่างจากประตู แต่ทันทีที่เธอทำเช่นนั้น แผ่นหลังของเธอก็ชนเข้ากับประตูห้องน น้ำ หัวสมองของเธอถูกครอบงำไปด้วยความหวาดกลัวจนเธอแทบจะกรีดร้องออกมาเสียงดัง แต่โชคดีที่เธอสามารถยั้งตัวเองเอาไว้ได้
เมื่อเธอก้าวไปได้ก้าวหนึ่ง เธอก็ต้องหยุดลง
มันรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคน…กำลังกระตุกผ้าพันคอของเธอจากด้านหลัง
กึก กึก กึก…ฟันของเธอกระทบกันไม่หยุด หญิงสาวสามารถได้ยินเสียงที่เอ่ยออกไปของตัวเองอย่างชัดเจน
“ช่วยด้วย… ช่วยฉันด้วย…”
“กรี๊ดดดดด!!!” เธอกรีดร้องออกมาเสียงดังและรีบวิ่งออกไปจากห้องน้ำ ทันใดนั้น ผู้โดยสารทั้งหมดก็หันไปมองแหล่งที่มาของความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
และจากนั้นสายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่ฉินเย่และหวังเฉิงห่าว
บัดซบ!
ไม่ใช่เขา! เขาสาบานได้เลยว่านั่นไม่ใช่เขา!
ชายทั้งสองสบถออกมาเสียงเบา เวรเอ้ย… แล้วแบบนี้เราจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?!
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่ผู้ชายคนหนึ่งก็เดินมา
สีหน้าของเขาค่อนข้างตึงเครียด เจ้าหน้าที่สาวจากเมื่อครู่นี้เดินตามหลังอีกฝ่ายมาติด ๆ เธอยังคงตัวสั่นไปด้วยความกลัว เจ้าหน้าที่ผู้ชายเดินเข้ามาหาฉินเย่ พยักหน้าให้เล็กน้อยและ ะเอ่ยด้วยภาษาจีนที่ลื่นไหล “โปรดมากับเราด้วยครับ”
ด้วยเหตุนี้ ทั้งฉินเย่และหวังเฉิงห่าวจึงเดินตามเจ้าหน้าที่ทั้งสองไป ในขณะที่พวกเขาทำเช่นนั้น ทั้งคู่ก็ลอบสังเกตสีหน้าของผู้โดยสารคนอื่น ๆ ไปด้วย
ทุกคนยังคงดูไม่ได้สนใจอะไรเหมือนเดิม มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขากำลังอยู่รถไฟเที่ยวกลางคืนที่พบว่าทุกคนรอบตัวล้วนเป็นเพียงซากศพ และพวกเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ไม่กี่คนที่เหลื ออยู่
พวกเขายังคงเดินไปตามทางเดินไประยะหนึ่ง ห้องน้ำของตู้โดยสารสามตู้ติดต่อกันล้วนไม่สามารถใช้งานได้
มีเพียงหลังจากที่พวกเขาเดินมาถึงตู้โดยสารตู้ที่สี่เท่านั้นที่พวกเขาสามารถเข้าห้องน้ำได้ในที่สุด
อีกสิ่งหนึ่งที่ฉินเย่สังเกตเห็นเกี่ยวกับตู้โดยสารตู้ที่สี่ก็คือ…ข้อเท็จจริงที่ว่ามันมีผู้โดยสารอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นในตู้โดยสารตู้นี้
หากพูดให้ถูกก็คือ มันมีผู้โดยสารอยู่แค่ 7-8 คนเท่านั้น
นี่มันเป็นไปไม่ได้ ฮันยางและปูซานคือสองเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแดฮัน ไม่ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาใดของปี มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะว่างขนาดนี้ และนั่นยังไม่รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่ า…
พวกเขากำลังโดยสารอยู่บนรถไฟที่ยังไม่ได้รับการฆ่าเชื้อและชำระล้างคราบเลือดทั้งหมด และทุกอย่างยังถูกปกปิดโดยใช้ทักษะการปราบปรามปีศาจอีกด้วย!
“ถึงแล้วครับ” เจ้าหน้าที่ผู้ชายเอ่ยขึ้น ดึงให้ฉินเย่หลุดจากภวังค์ความคิดของเขา เมื่อมองไปรอบ ๆ เด็กหนุ่มก็พบว่าพวกเขาเดินมาถึงตู้โดยสารสำหรับทานอาหารเสียแล้ว
แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของเขาก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ามันประตูที่แยกระหว่างตู้โดยสารสำหรับทานอาหารและตู้โดยสารถัดไป และข้อเท็จจริงที่ว่ามีตำรวจติดอาวุธจำนวนมากยืนประจำการอยู่ท ที่อีกด้านหนึ่งของประตูนั้น!
นอกจากนี้ ห้องทานอาหารที่พวกเขาอยู่ก็แตกต่างไปจากห้องทานอาหารทั่วไป ที่ใจกลางตู้โดยสารมีโต๊ะตัวใหญ่ตั้งอยู่ ไม่ต่างอะไรกับโต๊ะที่ใช้ในห้องสอบปากคำของตำรวจเลยแม้แต่น้อย ชา ายในวัยสี่สิบปีคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ เขาสวมเครื่องแบบตำรวจ และแผ่รัศมีของพลังปราณออกมาจากร่าง
“สวัสดีครับ” หวังเฉิงห่าวเดินไปเข้าห้องน้ำ และชายที่นั่งอยู่ก็ผายมือเพื่อเชิญให้ฉินเย่นั่งลง เจ้าหน้าที่ชายเมื่อครู่นี้ทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับทั้งสอง เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลา างคนพยักหน้าและเป็นฝ่ายเอ่ยก่อน “ผมขอดูเอกสารเดินทางของคุณหน่อยได้หรือเปล่าครับ?”
ฉินเย่หยิบบัตรประจำตัวประชาชนและหนังสือเดินทางของตนออกมา อย่างไรก็ตาม ชายวัยกลางคนไม่ได้หยิบมันขึ้นไปดู กลับกัน เขายังคงจ้องเด็กหนุ่มเขม็ง
ฉินเย่รู้สึกงงงัน เขาจ้องอีกฝ่ายกลับตอบเป็นเวลาครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นจะถอนหายใจออกมาและเอ่ยเสียงต่ำ “ผมหมายถึง…ใบอนุญาตเดินทางเข้าสู่พื้นที่พิเศษปูซาน”
มันคืออะไร?
ในวินาทีนั้น ภายในหัวของฉินเย่เต็มไปด้วยความคิดมากมาย
พื้นที่พิเศษปูซาน? เขาไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นมาก่อน มันคงจะเพิ่งได้รับสถานะพื้นที่พิเศษมาไม่นานเป็นแน่!
แต่ทำไมมันถึงถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่พิเศษ?
ความคิดแรกของเด็กหนุ่มก็คือความเป็นไปได้ของการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ
แต่…ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นที่จังหวัดคยองกีหรอกหรือ?
มันเกี่ยวอะไรกับปูซานกัน…ไม่!
แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย…ใช่แล้ว! ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ เจ้าผู้ปกครองดินแดนพิเศษแห่งเมืองชุนฮุย หลิวฉางเหอ เคยพูดอะไรเกี่ยวกับการเกิด ‘Train to Busan’ หรอกหรือ?
ใครก็ตามที่เคยดูหนังจะรู้ว่าทั้งปูซานได้ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นเนื่องจากเหล่าซอมบี้ที่บุกรุกดินแดน ฉินเย่ยังจำได้ด้วยว่าอีกฝ่ายเคยพูดว่าผู้คนจำนวนมากได้อพยพจากปูซานไปสู่ฮ ฮันยาง…
ฉินเย่ไม่สนใจสายตาพิจารณาของนายตำรวจตรงหน้าและเหลือบกลับไปมองยังจุดที่พวกเขาเพิ่งจากมา
ฮืออออ...
เสียงร้องที่แผ่วเบาของวิญญาณจำนวนมากดังอยู่ในอากาศ ราวกับว่าทางเดินของตู้โดยสารนั้นเป็นทางที่ตรงไปสู่ขุมนรกอันไร้ก้นบึ้ง
รถไฟขบวนนี้…เป็นขบวนเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ Train to Busan อย่างนั้นหรือ?
ทุกอย่างดูเหมือนจะมาบรรจบกัน… เหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนจำนวนมากอาจเกิดขึ้นที่มหานครควังจู แต่… ท่อที่ส่งมอบความหวาดกลัวไปยังมหานครควังจูตั้งแต ต่แรกก็คือรถไฟขบวนนี้
มันเป็นไปได้ที่จะทำการขนส่งเหล่าซอมบี้จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ตราบใดที่ ‘ตู้บรรทุกสินค้า’ ได้รับการรักษาความปลอดภัยอย่างเหมาะสม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ… ตอนนี้พวกเขาอาจจะ ะกำลังอยู่บนรถไฟที่บรรทุกศพอยู่ก็เป็นได้!
และหากข้อสันนิษฐานนั้นถูกต้อง เช่นนั้นนี่ก็คงจะเป็นหนึ่งในเวทีหลักของบทละครแห่งความตาย พวกเขาจะปลดปล่อยคำสาปอูโรโบรอสภายในปูซาน ก่อนจะส่งซากศพเดินได้ไปที่มหานครควังจู กระตุ้นให้เกิดการแพร่ระบาดขนาดใหญ่ของเหตุการณ์เหนือธรรมชาตเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนที่อยู่โดยรอบ มันเป็นแบบนั้นใช่หรือไม่? นั่นคือเหตุผลว่าทำไมปูซานถึงถูกยกระดับ บให้เป็นพื้นที่พิเศษใช่หรือไม่?
ก็อก ก็อก!
ในขณะที่ฉินเย่กำลังด่ำดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนก็เคาะโต๊ะเสียงดัง ส่งผลให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ก่อนจะพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ ด้านหลังชายวัยกลางคนเองก็กำลังจ้องมองมาที่เขาเช่นกัน
“ผมไม่มี” ฉินเย่หยุดความคิดของตัวเอง เขาสงสัยมาตลอดว่าทำไมเขาถึงสามารถขึ้นมาอยู่บนรถไฟที่ตรงไปสู่ปูซานได้แม้ว่ามันจะเป็นจุดหมายปลายทางที่จำเป็นต้องใช้ใบอนุญาตพิเศษในการเข ข้าถึง
แต่คำตอบของมันนั้นชัดเจน มันไม่มีอะไรให้ต้องครุ่นคิดมากนัก
ใครบางคนต้องการให้เขาไปที่นั่น
ใครบางคนกำลังแสดงความปรารถนาดีของตัวเอง
ใครบางคนกำลังบอกเขาว่าแดฮันยังคงเป็นรัฐศักดินาของพวกเขา และมันก็จะไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางการทำงานของพวกเขาได้
ใครน่ะหรือ?
มันมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“คุณไม่มีอย่างนั้นเหรอ?” เสียงของชายวัยกลางคนเคร่งเครียดกว่าเดิม ทันใดนั้น หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาที่ดูบางอย่างในโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ก็โน้มตัวลงมา และกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของชายวัยกลางคน
ไม่กี่วินาทีต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ ก่อนเขาจะเอ่ยกับฉินเย่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมมาก “อ่า…ผมเพิ่งได้รับแจ้งมาว่าคุณได้รับสิทธิการเข้า าถึงพิเศษ ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ แต่ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินเกี่ยวกับกฎข้อบังคับของสถานที่แห่งนี้มาบ้างหรือไม่?”
เป็นอย่างที่คิด…ฉินเย่ยิ้มตอบ มันเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ ที่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด แน่นอน ลีจองซุกอาจจะหายตัวไประหว่างปฏิบัติการ แต่โลกใต้พิภพแห่งรุสจะต้องติดต่อกับคนอื นอีกแน่ สมแล้วกับที่เป็นเทพแห่งความตายของโลกใต้พิภพที่แสนทรงอำนาจ
“ไม่ ผมไม่เคย”
เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น…ผมจะเป็นคนอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังดีไหม?”
“แน่นอนครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหุบยิ้มและเริ่มอธิบายทุกอย่างด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ “ประการแรก การเดินทางจากฮันยางไปยังปูซานจะใช้เวลาทั้งหมดสองชั่วโมง พยายามลุกจากที่นั่งให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“ประการที่สอง…” เขาเงียบไปและสูดหายใจเข้าช้า ๆ ฉินเย่สามารถบอกได้เลยว่าภายในใจของอีกฝ่ายกำลังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ในการเดินทางนี้…พวกเราจะต้องเดินทางผ่านอุโมงค์หมายเล ลข 03 ของปูซาน”
“เมื่อเรากำลังผ่านอุโมงค์ คุณไม่ควรมองออกไปนอกหน้าต่างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รถไฟขบวนนี้ถูกติดตั้งมาตรการป้องกันที่แน่นหนา นอกจากนี้…หากคุณได้ยินเสียงอะไรแปลก ๆ ห้ามตอบกลับ บเป็นอันขาด”
“ประการที่สาม เมื่อคุณเข้าไปในปูซานแล้ว โปรดอยู่ภายในเขตปลอดภัย และงดการออกไปด้านนอกหลังจาก 18.00 น. และก่อน 06.00 น. ที่เขตปลอดภัยเองก็มีกฎข้อบังคับของตัวเองเช่นกัน และเรา าก็ขอให้คุณปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ พึงระลึกไว้ด้วยว่าทางแดฮันจะไม่รับผิดชอบต่อความปลอดภัยของทุกคนที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่พิเศษปูซาน โปรดเข้าใจด้วย”
ฉินเย่พยักหน้า หวังเฉิงห่าวออกมาจากห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขานั่งฟังเจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนพูดเงียบ ๆ จนจบ จากนั้นทั้งคู่ก็ลุกเดินจากมา
“เหตุใดท่านจึงไม่ถามเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในปูซาน?” หวังเฉิงห่าวกระซิบเสียงเบาขณะที่พวกเขาเดินกลับไปยังตู้โดยสาร
ฉินเย่ส่ายหน้าไปมา “เขาไม่มีทางบอก นอกจากนี้ นี่คือสิ่งที่เราควรทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเราได้รับสิทธิการเข้าถึงพิเศษจากระดับสูง หากถามมากเกินไปอาจเป็นการปล่อยแมวออกจา ากกระเป๋า* [1] และทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานกาณ์ลำบากได้”
“หึหึ…ท่านพี่ฉิน ข้าว่าท่านเป็นเหมือนเสือที่ออกมาจากกระเป๋าเสียมากกว่า…”
เจ้าหมอนี่ประจบคนเก่งจริง ๆ…
“นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ในหัวสมองของเจ้ามันไม่มีอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าคำว่า ‘อุโมงค์หมายเลข 3’ นั้นค่อนข้างคุ้ นหู?”
หวังหนึ่งห่างผงะไปเล็กน้อย
“เจ้าเคยดูหนังเรื่อง ‘Train to Busan’ หรือไม่?” ฉินเย่ถาม
“ไม่เคย…”
“มันเป็นหนังที่ฉายก่อนที่ยมโลกจะตกมาอยู่ภายใต้การดูแลของข้า ข้าได้มีโอกาสดูมันอยู่หลายครั้ง มันทั้งกดดันและหนักหน่วงเป็นอย่างมาก แต่มันก็ดีมากเช่นกัน” ฉินเย่กวาดตามอง ไปรอบ ๆ ก่อนจะลดเสียงลง “แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันมีตอนจบอยู่สองแบบ”
“ตอนจบที่ได้ฉายออกไปก็คือตอนจบที่ลูกสาวและผู้หญิงที่กำลังท้องเดินเข้าไปในอุโมงค์เพื่อเข้าสู่ปูซาน พวกเขาเดินผ่านอุโมงค์ที่มืดมิดนั้นโดยใช้เท้า โดยที่ปลายทางอีกด้านหนึ่ง มีกองกำลังทหารติดอาวุธยืนประจำการอยู่เพื่อป้องกันไม่ให้มีซอมบี้เดินผ่านอุโมงค์ไปได้ อย่างไรก็ตาม เพราะว่าความมืดของอุโมงค์ มันไม่สามารถบอกได้เลยว่าคนที่กำลังเดินอยู่นั้นเป็ นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปหรือว่าซอมบี้กันแน่”
ฉินเย่เอ่ยตอบ “ทหารทั้งหมดเล็งและกำลังจะยิงไปที่พวกเธอในขณะที่เด็กหญิงร้องเพลง ‘Aloha ‘Oe’ หรือ ‘Farewell to Thee’ ออกมา เพลงนี้ได้ช่วยชีวิตของทั้งสองเอาไว้ พอพวกทหารรู้ว่า ทั้งสองคือมนุษย์ พวกเขาก็ลดอาวุธลงในที่สุด”
หวังหนึ่งหางมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด “แล้วอย่างไร? นี่ท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
“ใจเย็น ๆ สิ” ฉินเย่โน้มตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิมและกระซิบ “ข้าเพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่ามันมีตอนจบอีกแบบหนึ่งที่ไม่ได้ถูกฉายออกไป?”
“ในตอนจบอีกแบบ... เด็กผู้หญิงกับผู้หญิงที่กำลังท้องสามารถหลบหนีออกมาจากฝูงซอมบี้และได้เดินทางไปถึงพื้นที่ปลอดภัย ที่ซึ่งพวกเขาได้เดินเข้าไปในอุโมงค์ แต่ในทันทีที่ทั้งสองเ เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั้น…พวกนางก็ถูกยิงเสียชีวิตโดยเหล่าทหารที่ยืนอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่ง”
หวังเฉิงห่าวอ้าปากค้างขณะที่มองไปที่ฉินเย่ “นั่นมัน…ไม่มืดมนเกินไปหน่อยหรือ?!”
“…เจ้าเป็นวิญญาณ แต่กลับมาพูดเรื่องความมืดมนกับข้าเนี่ยนะ?!” ฉินเย่กลอกตาและเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ สถานที่จริงที่ใช้สำหรับการถ่ายหนังก็คือ… อุโมงค์หมายเลข 3 ของปูซาน!”
พรึ่บ!!!
ทันใดนั้น ขณะที่ความมืดปกคลุมไปทั่วทุกที่ แสงไฟภายในตู้โดยสารก็สว่างขึ้น
“ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ พวกเรากำลังจะเข้าสู่อุโมงค์หมายเลข 3 ของปูซาน โปรดรัดเข็มขัดนิรภัยและละเว้นจากการรับสายโทรศัพท์หรือการแจ้งเตือนใด ๆ ย้ำ…”
“เราถึงแล้วหรือ?” หวังเฉิงห่าวถามออกมาด้วยความมึนงง “เร็วขนาดนี้เชียว?”
ฉินเย่ยิ้มขณะที่พวกเขาค่อย ๆ เดินไปตามทาง “พวกเรายังไม่ถึง…”
“แต่…ความมืดมิดนั้นถึงแล้ว”
[1] หมายถึงการอาจเผลอเปิดเผยความลับ