ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 56 อุลตร้าแมนทีก้า
บทที่ 56 อุลตร้าแมนทีก้า
โครม!…ร่างเพรียวบางของผีสาวในชุดสีแดงขาวกระเด็นออกไปเป็นแนวโค้งที่สวยงาม หลังจากนั้นก่อนที่คนทั้งสามจะทันได้กะพริบตา พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังสนั่น!
ผู้มาใหม่ดึงร่างของผีสาวขึ้นมาและเหวี่ยงเธอลงกับดาดฟ้าของอาคารอย่างแรง
“?” ท่ามกลางฝุ่นควันทั้งหมด ชายทั้งสามเพียงเห็นราง ๆ ว่ามีใครบางคนจับศีรษะของผีสาวและร่างของเธอกระแทกลงกับพื้น
“ยังขัดขืนอีกอย่างนั้นเหรอ?!!”
และพวกเขาก็ได้ยินเสียงกระแทกอีกครั้ง ชายทั้งสามตกใจเป็นอย่างมาก
รุนแรงและโหดเหี้ยม…
พวกคุณเคยเห็นความสัมพันธ์ระหว่างแมวกับหนูหรือเปล่า?
รู้ไหมว่าเจอร์รี่มักจะล้อเลียนและเอาชนะทอมอย่างไร?
มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ร่างที่อยู่ในกลุ่มควันกำลังจับร่างของผีสาวกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย ผีสาวพยายามดิ้นรนราวกับว่าวที่เชือกขาดท่ามกลางพายุ ขณะที่เธอยังคงดิ้นรนอย่างไร้หนทาง ในขณะเดียวกัน ร่างดังกล่าวยังคงด่าเธอต่อไป “เจ้าคิดหรือว่าการสาบานว่าจะจงรักภักดีกับไอ้บ้า ‘เฉา’ นั่นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากสินะ?”
โครม!!
พื้นสั่นสะเทือน
“กรรร!!!” ผีสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด นางสะบัดมือไปมาในอากาศ ต้องการที่จะคว้าบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็ไร้ประโยชน์
“ยังต่อต้านอยู่อย่างนั้นหรือ?”
ตู้ม!
“เปิดสมาคม? เรียกเก็บค่าคุ้มครอง? ละเมิดค่านิยมหลักของสังคมทุกอย่างเท่าที่จะคิดได้?”
ตู้ม! ตู้ม!
รอยร้าวเริ่มปรากฏขึ้นบนพื้น และเสียงของผีสาวร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้าคิดหรือว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของนรก? ไม่รู้หรือว่านรกได้มีจุดจบที่ไม่สวยนักในประเทศจีนนี้?!”
โครม! ตู้ม ตุบ!!
ชายทั้งสามยังคงมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตกตะลึงการจู่โจมเพียงฝ่ายเดียวยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายนาทีกว่าจะจบลงในที่สุด ผู้มาใหม่ได้เตะร่างของผีสาวไปติดที่มุมมุมหนึ่งของอาคาร “คืนนั้นเป็นเจ้าเองใช่หรือไม่? ข้าไม่เคยถูกเหยียดหยามขนาดนี้มาก่อนในชีวิต! และในเมื่อเจ้าตัวการใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นี่ มันก็ไม่มีใครหน้าไหนที่จะสามารถหยุดข้าจากการจัดการกับเจ้าได้!”
“กรร!!!” เมื่อแผ่นหลังปะทะเข้ากับผนังที่ทำมาจากปูน ผีสาวก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าสังเวชขณะที่พยายามตะเกียกตะกายไปบนเพดานราวกับแมงมุมอีกครั้ง กะโหลกศีรษะของนางแทบจะเปิดออกหลังจากการโจมตีก่อนหน้าและเลือดไหลโชกไปทั่วศีรษะ ทำให้นางดูน่าสะพรึงกลัวกว่าเดิมหลายเท่า เลือดสีแดงเข้มไหลลงมาราวกับน้ำลายขณะที่นางกลั้นใจถามออกไปว่า “เจ้า….เป็นใคร?”
ดวงตาของชายทั้งสามเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่?
พลังของเขา…เทียบได้กับขั้นยมเทพ! และความสามารถของเขาเองก็แข็งแกร่งกว่าผีสาวอย่างเห็นได้ชัด! ไม่สิ…อันที่จริง มันดูเหมือนกับจัดการฝ่ายเดียวเสียมากกว่า แทบจะเหมือนกับว่าคนคนนี้เป็นนักล่าที่กำลังล่าเหยื่อ มีผู้มีฝีมือขนาดนี้อยู่ในเมืองเป่าอันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เลือดสีแดงเข้มไหลลองมา
ในที่สุดร่างของชายหนุ่มลึกลับก็ปรากฏขึ้นให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ชายทั้งสามเงียบไปในทันที
อีกฝ่ายชุดลายพรางเช่นเดียวกันกับพวกเขา
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ชายตรงหน้าสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าของตนเอาไว้
และนั่นก็คงจะไม่แปลกเกินไปหากนั่นคือทั้งหมด
เพราะสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างแปลกประหลาดมากกว่าเดิมก็คือ…ข้อเท็จจริงที่ว่าหน้ากากที่คนตรงหน้าสวมอยู่ในขณะนี้คือหน้ากากอุลตร้าแมนทีก้า…
นี่นายคิดว่าตัวเองมาที่นี่เพื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาดหรือไง?
“ข้าเป็นใครน่ะหรือ?” อุลตร้าแมนหัวเราะเสียงเย็นขณะที่ถอดชุดลายพรางของตนเอง
ภายใต้ชุดลายพรางคือเสื้อยืดแขนสั้น มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีสันสดใสที่เขียนไว้บนเสื้อยืนสีขาวสะอาด
“ข้าคือบิดาของเจ้าอย่างไรล่ะ!”
หางตาของพวกเขากระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้
นี่ยังไม่หมดเท่านั้น อุลตร้าแมนตรงหน้าหมุนตัวกลับมาและถอดอุปกรณ์ชุดออก เผยให้เห็นบรรทัดข้อความที่เขียนอยู่ที่ด้านหลังของเสื้อยืด
“อย่ายุ่ง มันน่ารำคาญ!”
แม้แต่ผีสาวเองก็งงงวยเป็นอย่างมาก
นี่มัน….เหตุใดมันจึงแตกต่างกับภาพลักษณ์ที่สง่างามและสูงศักดิ์ของท่านเชามากขนาดนี้?
“รู้สึกดีชะมัด” อุลตร้าแมนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ความไม่พอใจจากการเผชิญหน้ากับอาร์ทิสที่เขาข่มเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้ถูกปลดปล่อยแล้ว จากนั้นเด็กหนุ่มจึงหันไปมองชายทั้งสามที่อยู่ด้านข้าง “ไปซะ อยู่ไปก็เป็นภาระ”
ชายทั้งสามมองหน้ากันและกัน จากนั้นชายที่มีใบหน้าคล้ายกับรูปแกะสลักก็เป็นตัวแทนกลุ่มและโค้งคำนับอุลตร้าแมนตรงหน้าพร้อมกับพึมพำอย่างเคารพว่า “จะเป็นไปได้หรือไม่ที่พวกผมจะได้รู้ชื่อของผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเราไว้ในครั้งนี้? ผม…”
“เราค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลัง ไปได้แล้ว!” อุลตร้าแมนโบกมือไล่อย่างทนไม่ไหว นี่อีกฝ่ายไม่เข้าใจหรือไง? ตอนนี้เลือดของเขากำลังเดือดพล่านเพราะความรุนแรงที่นี่ แต่คนพวกนี้กลับยังเซ้าซี้ไม่หยุดเนี่ยนะ?
ชายทั้งสามเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับพร้อมกัน “พวกเราจะจดจำพระคุณนี้เอาไว้ ไม่มีคำไหนที่สามารถอธิบายความรู้สึกขอบคุณของพวกเราในครั้งนี้ได้!”
เมื่อพูดจบ คนทั้งหมดก็เดินจากไป
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ในเวลานี้ บนชั้นดาดฟ้ามีเพียงผีสาวและชายสวมหน้ากากอุลตร้าแมน ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ผีสาวเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีคนทั้งสามอย่างเอาเป็นเอาตาย ครั้งนี้นางกลับไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว
กลับกัน นางเพียงเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยโดยที่พยายามรักษาระยะห่างจากอุลตร้าแมนตรงหน้า ด้วยเหตุผลบางประการ นางกลับรู้สึกหวาดกลัวคู่ต่อสู้ของตัวเองตอนนี้อย่างแปลกประหลาด
นางเพิ่งเปลี่ยนเป็นวิญญาณร้ายได้ไม่นาน เป็นวิญญาณร้ายที่ไม่เคยประสบกับความแข็งแกร่งของยมทูต แต่ไม่ว่าอย่างไร ทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ในส่วนต่าง ๆ ของห่วงโซ่อาหาร ฝ่ายหนึ่งคือผู้ล่า และอีกฝ่ายคือผู้ถูกล่า แต่เนื่องจากพลังของพวกนางอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน มันจึงไม่มีทางที่นางจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
ในวินาทีนั้นเอง อุลตร้าแมนก็ได้ถอนหน้ากากที่สวมอยู่ออกในท้ายที่สุด เผยให้เห็นใบหน้าเยาว์วัยของฉินเย่
สายลมเย็นที่พัดผ่านตัวอาคารที่ทรุดโทรม ทำให้ผมหน้าม้าของฉินเย่ยุ่งเหยิงไปหมด เด็กหนุ่มใช้มือสางผมของตัวเองและถอนหายใจออกมายาวเหยียด “ค่อยดีขึ้นหน่อย…”
เมื่อได้ระบายความอัดอั้นที่อยู่ภายในใจของตัวเอง เขาก็หยิบลูกบอลผนึกออกมาและวางมันลงข้าง ๆ ตนขณะที่หันไปเผชิญหน้ากับผีสาวอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่…”
“มันเป็นเพราะพวกเจ้า ข้าถึงได้ถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามแบบนี้!”
“ยายแก่บ้านั่นอาจจะพูดจาไม่เข้าหูนัก แต่สิ่งที่นางพูดก็ยังมีความจริงอยู่บ้าง เอาเถอะ…ในเมื่อข้าไม่สามารถหนีได้อีกต่อไป ทำไมข้าถึงไม่ลองปรับตัวให้เข้ากับมันแทนล่ะ? อย่างเช่น….ทำไมข้าถึงไม่เริ่มจากเจ้าเป็นอันดับแรก หืมม?”
“ไม่ตอบเหรอ? ข้าจะถือว่าการเงียบคือการยินยอมก็แล้วกัน…”
สิ้นเสียงพูด พลังหยินที่อยู่รอบตัวของฉินเย่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มเข้าสู่สถานะยมทูตและกระบี่ปีศาจในมือของเขาเริ่มเปล่งแสงสีเขียวที่น่าขนลุกออกมา ภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้นั้นดูน่ากลัวและคล้ายกับปีศาจยิ่งกว่าผีสาวเสียอีก
ดวงตาของผีสาวเบิกกว้างขึ้น…
ความรู้สึกหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ส่งผลให้นางเริ่มตื่นตระหนก
มันเป็นความรู้สึกที่นางไม่เคยประสบมาก่อนตั้งแต่ที่กลายร่างเป็นวิญญาณอาฆาต
แม้แต่ผีร้ายก็รู้จักความกลัว
“กรร!!” นางส่งเสียงขู่อย่างรุนแรงขณะที่พยายามตะเกียกตะกายออกจากอาคาร โดยปราศจากการหันไปมอง ฉินเย่ใช้นิ้วลูบไปตามกระบี่ปีศาจของตนเบา ๆ และเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าจะให้เจ้าหนีไปก่อน 39 วินาที…”
“39… 0!!”
ทันทีที่เอ่ยจบ กล้ามเนื้อแขนของเขาก็ปูดโปนขึ้น และลำแสงจากด้ามกระบี่ก็พุ่งออกไปราวกับน้ำตกอันทรงพลัง! สิ่งนี่เกิดขึ้นภายใต้การจับตาดูของอาร์ทิส นี่คือผลของการที่เขาถูกเชาโยวเต๋าผลักจนจนมุม!
เขากำลังระบายความเครียด
กำลังปลดปล่อยความโกรธทั้งหมดที่ถูกเก็บเอาไว้ของตัวเอง
ตู้ม!!
ทุกสิ่งตรงหน้าของเด็กหนุ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง รอยร้าวที่ปรากฏขึ้นในอากาศส่งผลให้พลังหยินที่อยู่โดยรอบทั้งหมดถูกดูดเข้าไปในรอยร้าวพวกนั้นอย่างบ้าคลั่ง และทันใดนั้น ร่างของวิญญาณสาวก็กลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยิน ด้วยเสียงคำรามขู่อย่างไม่เต็มใจ กลุ่มพลังหยินของนางได้สลายตัวไปอย่างช้า ๆ
39… 0…
ตัวเลขที่อยู่ระหว่างกลางมันหายไปไหน?!
ถูกหมากินไปแล้วเหรอ?!
“ตอนแรก ข้าคิดว่าจะนับถอยหลังจาก 39 ไปถึง 0 แต่ไม่นานข้าก็พบว่าสุขภาพจิตของข้าจะดีขึ้นมากหากข้าได้ปลดปล่อยความอัดอั้นทั้งหมดออกไปแทนที่จะเก็บมันเอาไว้” ฉินเย่เก็บกระบี่ของตนเข้าไปในฝักตามเดิมพร้อมกับกลุ่มก้อนของพลัง หยินพุ่งตรงเข้าไปที่หน้าอกของเขา หลักฐานยืนยันตัวตนยมทูตของเขาปรากฏขึ้น จากนั้น ราวกับมีใครกำลังเขียนอยู่ ตัวอักษรน้ำหมึกปรากฏขึ้นให้เห็นจาง ๆ
“ปัดเป่าวิญญาณอาฆาตหนึ่งตน: แต้มกุศล +20”
“แต้มสะสมปัจจุบัน: 40 แต้มกุศล”
“จำนวนแต้มที่ต้องใช้สำหรับการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ: 160 แต้มกุศล”
ทันทีที่คำพวกนั้นปรากฏขึ้น ข้อมูลทั้งหมดสว่างขึ้นเล็กน้อยก่อนที่พลังหยินเข้มข้นจะระเบิดออกมา หลั่งไหลเข้าสู่ด้ามกระบี่ราวกับงูเลื้อย ทันใดนั้นเอง หัวกะโหลกบนด้ามจับกระบี่ปีศาจพลันลุกเป็นไฟ ทว่ายังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เปลวไฟดังกล่าวค่อย ๆ พุ่งไปตามด้ามกระบี่จนกระบี่ทั้งเล่มลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีเขียว
“นี่มัน…” ฉินเย่มองดูการเปลี่ยนแปลงของกระบี่ปีศาจอย่างตกตะลึง เขากวัดแกว่งมันไปในอากาศและพบว่ามันได้สร้างรอยแตกเล็กน้อย ในอากาศที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มันไม่เคยทำแบบนี้ได้มาก่อน!
“พลังหยินสามารถเลื่อนระดับของกระบี่ปีศาจได้ด้วยเหรอ?” ฉินเย่แกว่งกระบี่ไปรอบ ๆอย่างเชี่ยวชาญ ทำให้ระบำดาบของเขาเบ่งบานคล้ายกับดอกไม้ไฟในท้องฟ้ายามราตรี
“สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ได้มีเพียงเปลวไฟนรกเท่านั้น…แต่น้ำหนักของมันก็เบาขึ้นด้วยเช่นกัน…ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมันได้ปรับให้เข้ากับความต้องการของเรามากขึ้น นี่คือผลของการเข้าใกล้ขั้นนักล่าวิญญาณอย่างนั้นเหรอ?”
ทว่าขณะที่เขากำลังจะทำความคุ้นเคยกับอาวุธชิ้นใหม่ของตน เขาก็ต้องหันมองทางอีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
ระดับยมเทพ…
ในความเป็นจริง มันไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสองตน!
มันคือตำแหน่งที่ตั้งของเขตไล่ล่าเขตต่อไป….เขาระงับความปรารถนาที่จะทดลองอาวุธใหม่ของตนเองและพุ่งตัวไปบริเวณนั้นทันที
………………………………………..
ในขณะเดียวกัน ณ หอสมาคมอวี๋หลาน เชาโย๋วเต๋าลืมตาขึ้นอีกครั้ง
สถานที่ซึ่งเคยพลุกพล่านในเวลานี้กลับเหลือเพียงเขาและคนกระดาษที่กำลังถือถาดเงินที่มีชิการ์และแก้วไวน์อยู่เท่านั้น
เชาโยวเต๋าเอนหลังพิงพนักโซฟาภายในห้องของตนอย่างสบาย เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและแกว่งมันเล็กน้อย หลังจากผ่านไปสักพัน เขาก็พึมพำออกมาเบาๆ “เขตไล่ล่าที่ 1 ถูกทำลายแล้ว”
แม้จะมีใบหน้าที่ผิดรูปผิดร่าง แต่คนกระดาษก็มองอย่างประหลาดใจ “เจ้านาย…ฝีมือของพวกผู้ฝึกตนจากแดนมนุษย์อย่างนั้นหรือ?”
“ใครเล่าจะรู้?” เชาโยวเต๋าเอ่ย “นอกเหนือจากการตามหาตัวเพื่อนร่วมงานที่รักของข้า คืนนี้เองก็เป็นโอกาสดีที่ เขาจะได้พิสูจน์ความสามารถของหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติด้วย พวกเขาจะได้ใช้โอกาสนี้ในการกำจัดเสี้ยนหนามที่อยู่ในหน่วยของตัวเองออกไป แต่ก็อย่างที่ว่า…ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้มาก”
“จางเชิงไห่คงจะไม่ลงมือด้วยตัวเอง…จากความเข้าใจของข้าที่มีต่อความสามารถในการป้องกันของเมืองเป่าอัน พวกผู้ฝึกตนที่เหลือน่าจะมีความสามารถพอ ๆ กับพวกวิญญาณอาฆาตในเขตไล่ล่าที่ 1 เท่านั้น เพราะฉะนั้น…”
นิ้วมือของชายวัยกลางคนไล่ไปตามขอบของโซฟาพร้อมหัวเราะเย็นยะเยือก “ข้าจะมั่นใจได้หรือไม่ว่านี่คือผลของการยืนหยัดครั้งสุดท้ายของเพื่อนร่วมงานที่น่ารักของข้า?”
“เพราะไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่ยมทูตเท่านั้นที่มีความสามารถในการจัดการกับวิญญาณที่อยู่ในระดับเดียวกับตนได้”
คนกระดาษที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงเอ่ยอย่างเคารพว่า “เจ้านาย เป็นไปได้หรือไม่…..ว่าเขาตั้งใจที่จะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ?”
“อย่าฝัน!” เชาโยวเต๋าเอ่ยขณะที่หยิบซิการ์ขึ้นมาจุด สูบมันเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เขาเป็นแค่มือใหม่เท่านั้น ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับยมทูตสักนิด เขาไม่รู้หรือว่าตัวเองไม่สามารถเลื่อนขั้นได้โดยปราศจากบันทึกนรก แม้ว่าเขาจะสะสมแต้มกุศลได้มหาศาลก็ตาม?”
ดวงตาของลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่นขณะที่เหลือบไปมองยังหลุมขนาดใหญ่ด้านล่าง “ในโลกนี้ มีเพียงข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถบรรลุเป็นขั้นยมทูตขาวดำ ตุลาการนรก และพระยมได้!”
ในขณะเดียวกัน จางเชิงไห่และเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เขตไล่ล่าที่ 1 ถูกทำลายแล้ว!
เงียบ
ทุกคนต่างพูดไม่ออกเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมายนี้
ไม่กี่วินาทีต่อมา จางเชิงไห่จึงหันหลังกลับไปหาคนของตนและตะโกนเสียงดัง “ผมต้องการรายงานเกี่ยวกับการทลายของเขตไล่ล่าที่ 1 เดี๋ยวนี้ ใครเป็นคนทำ และตอนนี้คนคนนั้นอยู่ที่ไหน!”
“มีรายงานออกมาแล้วครับ” ชายในชุดเสื้อคลุมสีขาวลุกขึ้นและรายงานว่า “เมื่อ 10 นาทีก่อน…แค่ 10 นาทีที่ผ่านมา เราตรวจพบคลื่นพลังระดับยมเทพบริเวณถนนซุนเฉิงครับ อีกฝ่ายสามารถปัดเป่าวิญญาณอาฆาตในเขตไล่ล่าที่ 1 ได้แทบจะในทันที ผู้ฝึกตนที่ได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในเขตนี้คือ AC-4742 ไปจนถึง AC-4744 ครับ นอกจากนี้พวกเขายังเป็นผู้ฝึกตนทดลองที่ได้รับการอนุมัติเร็วที่สุดภายในเมืองเป่าอันอีกด้วยครับ”
แววตาของจางเชิงไห่วูบไหวเล็กน้อย “มันไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถต่อสู้กับวิญญาณร้ายพวกนั้นได้ แค่พวกเขาสามารถออกมาจากการปะทะได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่ามหัศจรรย์มากพอแล้ว…แล้วผู้เฒ่าเม่ยล่ะ?”
“ผู้เฒ่าเม่ยในเวลานี้กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เขตไล่ล่าที่ 4 บริเวณถนนฟางเฉา คุณจาง ด้วยความเคารพ แต่ผู้เฒ่าเม่ยเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกวิญญาณอาฆาตในเขตไล่ล่าที่ 1 เช่นกัน ชายผู้นี้….พวกเรากำลังคิดว่าเขาอาจจะเป็นยมทูตตัวจริง”
คำพูดสุดท้ายของเขาถูกเอ่ยออกมาดูเจือปนไปด้วยความไม่อยากเชื่ออย่างเห็นได้ชัด
ยมทูต….
ทุกคนที่เดินอยู่บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะในสมัยนี้ต่างรู้ดีว่าการเลื่อนขั้นนั้นเป็นเรื่องยากเพียงใดสำหรับพวกเขา
แม้แต่จางเฉิงห่าว ผู้ที่ตอนนี้มีอายุถึง 45 ปี ยังอยู่แค่ขั้นนักล่าวิญญาณเท่านั้น และมันก็คงจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาหากเขาสามารถเลื่อนขึ้นสู่ขั้นยมทูตขาวดำได้ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของตัวเอง ยมทูตบนโลกมนุษย์เหรอ?
ตัวเป็น ๆ เนี่ยนะ?
จางเฉิงห่าวสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะเอ่ยว่า “ติดต่อหัวหน้าของกลุ่ม AC 4742 เดี๋ยวนี้ ผมมีเรื่องที่ต้องพูดกับเขาทันที!”