ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 6 ทางหวงเฉวียน
บทที่ 6 ทางหวงเฉวียน
เยี่ยมไปเลย
ฉินเย่กำลังคิดว่ามันถึงเวลาที่เขาจะเปลี่ยนป้ายชื่อหน้าร้านของตัวเองเป็น “บ่อนพนันวิญญาณ” ได้หรือยัง
ถ้าเปิดเพลงจุ้ยเสวียนหมินจู๋เฟิง [1] มาเปิดคลอด้วยนะ…สมบูรณ์แบบเลย
ไม่สิ เดี๋ยวก่อน….นี้มันเป็นการบุกรุกบ้านคนอื่นชัด ๆ พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าโลงศพนั่นมันราคาเท่าไหร่
ฉินเย่ยืนนิ่ง จ้องด้วยสายตาที่แผ่รังสีเย็นยะเยือก และแม้แต่รังสีแห่งความตายไปที่ยายเฒ่า แต่อีกฝ่ายก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น นอกจากนี้นางยังมองไปยังเหล่าหญิงชราคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ด้วยและหัวเราะเบา ๆ “นี้หลานชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่เลว ผิวเขาค่อนข้างซีด เขาจะได้ไม่ต้องไปซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตอนที่ลงไปข้างล่าง…9 เหรียญ! เขาดูเหมือนจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนะ แต่เขาน่าจะไปมีความสุขกับชีวิตวัยรุ่นได้ตอนอยู่โลกใต้พิภพ…3 เหรียญ! กั่ง![2] 5 หมื่น!…เขาทำธุรกิจของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นโลงศพ เลยมีกระดาษเงินกระดาษทอง คนรับใช้หรือม้ากระดาษก็มีหมด เด็กคนนี้พร้อมที่จะลงไปด้านล่างและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ตลอดเวลาไม่ใช่หรือไง?”
“เด็กน้อย…เจ้าได้เตรียมวิธีที่จะลงไปด้านล่างหรือยัง? มานี่สิ ข้าจะแนะนำอะไรให้เจ้าสักอย่าง การจมน้ำเป็นวิธีที่แย่ที่สุดสำหรับการฆ่าตัวตาย เพราะหลังจากเจ้าตายหน้าของเจ้าจะดูไม่จืดเลยล่ะ….เดี๋ยวนะ! ข้าชนะ! ข้ากำลังรอ 1 หมื่น 4 แล้วก็ 7 หมื่นอยู่!…กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ การแขวนคอก็ไม่ใช่วิธีการที่ดีเท่าไหร่เหมือนกัน เพราะหลังจากตายไปลิ้นของเจ้าจะยื่นออกมาด้านนอกตั้งสามฟุต และการจะม้วนมันกลับเข้าไปก็ทรมานมาก ข้าแนะนำให้ใช้อุบัติเหตุทางรถยนต์ ปรับองศาให้เหมาะสมและอย่าหันกลับไปมองเด็ดขาด ถ้าหากเจ้าทำมันอย่างถูกต้อง เจ้าก็จะไม่ทรมานมาก และใบหน้าของเจ้าก็จะไม่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เจ้าจะได้ขึ้นสวรรค์ไปแบบ เปรี้ยง! เดียวตายเลย”
บ้าไปแล้ว!
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับบรรทัดฐานของคนพวกนี้เนี่ย?
ไม่ใช่ว่าการตอบคำถามที่ว่า “หลานชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง” ควรจะเป็น “ไม่เลว เขาดูใช้ได้เลย” หรือ “เขาอายุเท่าไหร่” หรือ “เขาได้เรียนเขียนหนังสือหรือเปล่า” หรอกหรือ?
คำตอบที่แปลกประหลาดพวกนี้คืออะไร? นี่มันไม่มีความเกรงใจกันไปหน่อยหรือไง?
ไม่ใช่สิ…
แล้วใครเป็นหลานของท่านกัน?! อย่ามาโยงตัวเองว่าเป็นญาติของข้านะ!
ฉินเย่รู้สึกแย่จนแทบจะกระอักเลือดออกมา ตอนนี้ใบหน้าของเขาดำทะมึนไปหมดแล้ว หญิงชราสูบท่อยาสูบอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ดูให้ดี ๆ”
หญิงชราคนอื่นต่างหันมาเพ่งมองเขาทันที และวินาทีต่อมารอยยิ้มบนใบหน้าของพวกนางก็เหือดหายไป วางไพ่นกกระจอกในมือของตัวเองลงอย่างอ่อนแรง
ทั้งสี่เหลือบมองกันและกันโดยไม่พูดอะไร จากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมา หญิงชราคนหนึ่งก็หันไปถามยายเฒ่า “นี่…ใช่เห็ดของไท่สุ้ยหรือเปล่า?”
เสียงไพ่นกกระจอกกระทบกับโลงศพดังขึ้นอีกครั้ง ขณะที่หญิงชราทั้งสี่ใช้มือของพวกตนล้างไพ่ทั้งหมด ยายเฒ่าก็หัวเราะออกมา “ตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าข้า เขาก็เอาแต่ยืนยันว่ามันไม่ใช่…เพราะฉะนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปนั่นแหละ…นี่ ‘เจ้าคนนั้นน่ะ’ ทำไมยังไม่เอาเหล้าบริสุทธิ์มาอีก? น้ำของโลกมนุษย์นี่ช่างไม่ถูกกับลิ้นของพวกเราเอาเสียเลย”
“เจ้าน่ะ…เจ้าคนนั้น ทำไมยังไม่รีบเอาเหล้าสวรรค์มาอีก? ของจากโลกมนุษย์นี่มันแย่ไปหน่อยสำหรับลิ้นของเรา”
หะ…..อะไรนะ? ทำไมจู่ ๆ ถึงเป็นจากหลานชายเป็น ‘เจ้าคนนั้น’ ไปได้ล่ะ….
เหล้าบริสุทธิ์ที่อีกฝ่ายพูดถึงก็คือน้ำฝน เป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่บนสวรรค์หรืออยู่บนโลก สิ่งที่ไม่ได้ถูกเจือปนด้วยพลังหยินหรือ หยาง มันคือสิ่งเดียวที่ยายเฒ่าดื่มเข้าไปตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา
ฉินเย่เพียงแค่นำถ้วยชาทั้งสี่ใบมาวางลงบนโต๊ะโลงศพอย่างดัง และหมุนตัวเพื่อจะเดินจากไป
อย่ามายุ่งอะไรกับข้าอีกนะ นี่มันน่ารำคาญชะมัด
เกมไพ่นกกระจอกวิญญาณดำเนินไปถึงเวลาเที่ยงคืน ทันทีที่เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลข 12 ยายเฒ่าก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเองและถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เกมของเราจะจบลงเท่านี้….และนี่ก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะได้มารวมตัวเล่นไพ่นกกระจอกด้วยกันแบบนี้อีกเช่นกัน”
เมื่อนางเอ่ยจบ หญิงชราอีกสามคนก็ลุกขึ้นเช่นกัน พวกนางเอ่ยลายายเฒ่าก่อนจากแปลงเป็นกลุ่มควันสีเขียวที่หายไปอย่างรวดเร็ว
“นี่มันอะไรกัน?” ฉินเย่ถามอย่างสงสัย
คนตรงหน้าไม่ได้ตอบออกมาทันที กลับกัน นางเพียงหยิบตะเกียงน้ำมันโบราณเปื้อนฝุ่นออกมาจากโลงศพพร้อมกับนวดหลังของตัวเอง “วิญญาณแห่งความมั่งคั่งทั้งห้า”
“ท่านอาศัยพลังของวิญญาณแห่งความมั่งคั่งทั้งห้าในการเล่นไพ่นกกระจอกเนี่ยนะ?”
“เจ้าจะไปรู้อะไร! วันนี้ข้าได้เงินตั้ง 1.2 พันล้านหยวน เช่นนี้แล้วทำไมข้าถึงไม่ควรใช่มันด้วย?!”
เพราะอีกฝ่ายเอ่ยอ้างอย่างมีเหตุผล…ดังนั้นแม้แต่ฉินเย่ก็ยังพูดไม่ออก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เป็นวันอะไร?” หญิงชราหุบยิ้ม เดินไปนั่งลงบนเตียงและจ้องไปที่ฉินเย่ จากนั้นนางก็เอ่ยต่อโดยไม่รอคำตอบ “กลางเดือนเจ็ด วิญญาณออกอาละวาด วันนี้คือวันสุดท้ายของเทศกาลวันสารทจีน และมันก็เป็นวันสุดท้ายก่อนที่ประตูนรกจะปิดลง”
“วันที่ชีวิตบนโลกจะจบลงและเข้าสู่ประตูนรกเป็นวันแรก ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ในนรกนั้นมีดวงวิญญาณอยู่มากเกินไป เมื่อเทียบกับยมทูตที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ดังนั้นทุกครั้งจึงมักจะมีดวงวิญญาณบางดวงตกหล่นเสมอ ทำให้พวกเขาต้องล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายอยู่บนโลกมนุษย์ เมื่อเวลาผ่านไป วิญญาณพวกนี้เริ่มสูญเสียสติ และเหลือไว้เพียงแค่ความปรารถนาที่จะลงสู่นรก วิญญาณพวกนั้นก็คือสัมภเวสี เป้าหมายของเทศกาลวิญญาณทั้งสามก็คือเพื่อที่พวกเราจะได้นำพาพวกเขาไปที่นรก”
“เจ้า…เข้าใจหรือไม่?”
เมื่อยายเฒ่าเอ่ยอย่างจริงจัง ฉินเย่ก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังจมอยู่ในกลางของวังน้ำวนขนาดใหญ่ จากการที่ได้ใช้ชีวิตอันผันผวนมานาน เขาสามารถบอกได้เลยว่านี่คือพลังของอีกฝ่ายที่แผ่ออกมา เมื่อคนพวกนี้แสดงพลังของตัวเองผ่านการกระทำ ท่าทาง และคำพูด ทุกคนที่อยู่โดยรอบล้วนได้รับผลกระทบทั้งหมด
มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากที่หญิงชราคนหนึ่งที่ดูอ่อนแรงและใกล้จะตายสามารถปล่อยออร่าที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้ออกมาได้
ฉินเย่หุบยิ้มและตอบกลับอย่างจริงจังเช่นกัน “ท่านหมายถึง…คนที่ครอบครอง ‘มัน’ ที่ว่านั่นตายภายในเจ็ดวันที่ผ่านมาเหรอครับ?”
หญิงชราพยักหน้า ฉินเย่ขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าหาเขาไม่เจอ จะว่าไป ท่านมั่นใจเหรอว่าคนคนนี้จะตรงไปที่ประตูนรกวันนี้?”
“อืม” หญิงชราเอ่ยตอบ
ฉินเย่สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างละเอียดก่อนจะเอ่ยต่อ “แสดงว่า…สิ่งนั้นที่ท่านบอกข้าก็คือ….”
ทันใดนั้นหญิงชราก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา จากนั้น…ไม่รอให้ชายหนุ่มพูดจบ นางคว้ามือของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว และก่อนที่ฉินเย่จะได้ส่งเสียงร้องออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็กลายเป็นสีดำ เมื่อทุกอย่างสว่างขึ้นอีกครั้ง ฉินเย่ก็ต้องสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดอย่างอดไม่ได้
ดำ..ขาว..เขียว โลกนี้มีเพียงแค่สามสีเท่านั้น!
จากที่เขาเห็น ทุกอย่างรอบตัวของเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีขาวดำ ไม่ว่าจะห้องหรือเตียงของเขา สีเขียวเพียงอย่างเดียวที่เขาเห็นก็คือควันสีเขียวที่เล็ดลอดออกมาจากสิ่งของอื่น ๆ และเพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างแปลกประหลาดยิ่งขึ้น…ฉินเย่ยังเห็นร่างกายทางกายภาพของตัวเองกำลังชะงักค้างอยู่ในท่านั่งยอง ๆขณะที่หญิงชราจับแขนของเขาอยู่อีกด้วย!
ร่างของพวกเขาตอนนี้ดูคล้ายกับรูปปั้น แน่นิ่ง ไม่ไหวติง
“นี่…วิญญาณของเราเหรอ?” ฉินเย่ก้มลงมองมือตัวเองอย่างตกใจ การคาดคะเนความสามารถของอีกฝ่ายในสายตาเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
เขาเคยเห็นพระสงฆ์หรือนักพรตจำนวนมากที่ประกอบพิธีกรรมในการแยกจิตออกจากร่าง แต่คนพวกนี้ไม่มีใครดึงเอาวิญญาณคนอื่นได้โดยแค่คว้ามือเลยสักนิด! เมื่ออยู่ต่อหน้าของหญิงชรา พระสงฆ์หรือนักพรตที่ได้รับความเคารพพวกนั้นกลายเป็นเด็กทารกไปเลย!
“กฎข้อแรก…อย่าหันกลับไปมอง” หญิงชราก้มลงไปจุดตะเกียงโบราณ
ตะเกียงนี้ค่อนข้างพิเศษ มันเป็นตะเกียงโบราณที่ทำมาจากสัมฤทธิ์ มีรูปทรงสี่เหลี่ยม และมีขนาดประมาณฝ่ามือ นอกจากนี้มันยังมีรูปปลาคาร์ปสองตัววาดอยู่ที่ด้านหลังของตะเกียงด้วย เป็นสีดำหนึ่งตัวและสีขาวอีกหนึ่งตัว
“ค้อนหิน?”
“เงียบ!….กฎข้อที่สอง ปิดปากให้สนิท” หญิงชราเริ่มเดิน… ทันทีที่นางก้าวเท้าแรก โลกสามสีก็เริ่มสั่นเล็กน้อย ฉินเย่รู้สึกว่าอุณหภูมิรอบ ๆ เขาลดลงอย่างกะทันหัน และไอหมอกรอบ ๆ เขาก็เริ่มหนาขึ้น
หมอกสีเขียวกระจัดกระจายไปอยู่ทุกที่ราวกับมีชีวิต หลังจากผ่านไปแค่ไม่กี่วินาที เขาก็พบว่ารอบตัวของตัวเองถูกล้อมไปด้วยทะเลหมอกนี้ และในโลกนี้…ตะเกียงโบราณก็เป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงแหล่งเดียวที่มี
ชายหนุ่มได้ยินแม้กระทั่งเสียงกรีดร้องและครวญครางของผู้คนจำนวนมากดังมาจากทะเลหมอกที่อยู่ห่างออกไป
“เอาสิ่งนี้ใส่ปากและเข้ามาอยู่ในเสื้อของข้าซะ” ฉินเย่มองอีกฝ่ายพร้อมกับรับของมา.. มันคือใบของต้นหลิว
ทันทีที่เขาใส่มันเข้าไปในปาก ความรู้สึกอบอุ่นก็แผ่ซ่านจากปลายลิ้นของเขา เขากระชับเสื้อของหญิงชราแน่น และทั้งคู่ก็เริ่มออกเดินอย่างช้า ๆ
“ถนนสายนี้ไม่ใช่ถนนของคนเป็น” ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉินเย่จะมีคำถามมากมายอยู่ในหัว แต่เขาก็ยังคงเงียบ ทั้งคู่เดินไปเรื่อย ๆ จนผ่านไปประมาณ 20 นาทีก่อนที่หญิงชราจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอีกครั้งว่า “สิ่งมีชีวิตเรียกถนนสายนี้ว่าทางหวงเฉวียน ว่ากันว่าทางหวงเฉวียน[3] ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรก แม่น้ำแห่งความหลงลืม หอลืมอดีตชาติชาติของยายเมิ่ง และสุดท้ายนครวิญญาณ ตอนนี้….พวกเราเพิ่งเดินอยู่ส่วนแรกของทางหวงเฉวียนเท่านั้น…”
จากนั้นนางจึงชี้ไปรอบ ๆ “หมอกสีเขียวพวกนั้นเกิดจากพลังหยินที่แผ่ออกมาจากเหล่าวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ จริง ๆ แล้วมันควรจะเป็นสีดำสนิท แต่เวลานี้…พลังหยางในที่แห่งนี้รุนแรงเป็นอย่างมาก และพลังหยินสีเขียวก็คือผลของการปะทะกันระหว่างพลังหยินและหยาง”
“ถ้าสิ่งมีชีวิตเปิดปาก พลังหยางในตัวของคนคนนั้นก็จะรั่วไหลออกมาและทำหน้าที่คล้ายกับประภาคารในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว วิญญาณที่อยู่รอบ ๆ ก็จะเริ่มนึกถึงตัวเองตอนยังมีชีวิตอยู่ อาจจะเป็นเรื่องที่ค้างคา หรือความเสียใจ และพวกเขาที่ยังไม่ได้ดื่มน้ำแกงแห่งความหลงลืม ยายเมิ่งก็จะฉีกกระชากแหล่งพลัง หยางพวกนั้นเป็นชิ้น ๆ เพราะฉะนั้นเจ้าห้ามอ้าปากเด็ดขาด”
ฉินเย่กะพริบตา แต่ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าแท้จริงแล้ว…พลังหยินพวกนี้ก็ขึ้นจากประตูนรกเพียงอย่างเดียวเลยอย่างนั้นหรือ?
จากคำพูดของยายเฒ่าก่อนหน้านี้ ประตูนรกจะปิดลงในคืนนี้ ดังนั้นสัมภเวสีจำนวนมากในโลกมนุษย์ที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนจะมารวมตัวกันอยู่ที่ประตู แต่ถึงอย่างนั้น….มันต้องใช้วิญญาณสักกี่ดวงถึงจะสามารถก่อเป็นทะเลพลังหยินที่ไร้ที่สิ้นสุดนี้ได้?
พวกยมทูตมัวแต่เมาเละเทะ จนละเลยทำหน้าที่ของตัวเองหรือเปล่า?
ทันใดนั้นเสียงหายใจอันน่าสยดสยองก็ดังมาจากด้านหลัง “อย่าหันกลับไปมอง มันคือหนอนวิญญาณที่อาศัยอยู่บนทางสายนี้ ทันทีที่เจ้าหันไปตอบสนองมัน มันจะเริ่มคุยกับเจ้า หนอนวิญญาณจะมีใบหน้าและรูปร่างเหมือนมนุษย์ มันเกิดขึ้นมาจากความปรารถนาที่ยังหลงเหลืออยู่ของมนุษย์ เมื่อไหร่ที่เจ้าหันไปตามเสียงเรียกของมัน เจ้าจะต้องคุยกับมันไปแบบนั้นเป็นเวลาหลายศตวรรษ สูญเสียโอกาสที่จะกลับไปเกิดใหม่ไปตลอดกาล”
ฉินเย่ดึงแขนเสื้อของหญิงชราเบา ๆ อีกฝ่ายเพียงแค่หัวเราะเบาๆ “เจ้าคงจะสงสัยว่าเหตุใดหนอนวิญญาณนั่นจึงไม่พุ่งมาหาข้า ทั้ง ๆ ที่ยายแก่คนนี้พูดมากขนาดนี้สินะ?”
“ก็เพราะว่า…พวกมันไม่กล้ายังไงล่ะ”
“ถอยไป” เพียงคำสั่งสั้น ๆ ผมสีขาวที่รวบมัดอยู่ของนางก็คลายออกและเริ่มพลิ้วไหวด้วยตัวของมันเองทั้งๆ ที่ไม่มีลม ทะเลหมอกสีเขียวที่อยู่โดยรอบก็เริ่มกระจายตัวก่อนจะหายไปในที่สุด
ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบของพวกเขาก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง ฉินเย่เหลือบมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดพร้อมกับความเย็นที่ไหลลงไปตามกระดูกสันหลังของเขา
ถนนที่พวกเขาเดินอยู่ก่อนหน้านี้หายไปไหน?! ทำไมตอนนี้สิ่งที่พวกเขากำลังเหยียบย่ำอยู่….ถึงกลายเป็นโครงกระดูกสีขาวเงิน!
โครงกระดูกนี้มีขนาดที่ใหญ่มาก อย่างน้อยมันก็น่าจะกว้างประมาณ 100 เมตรและยาวมาก มากจนเขามองไม่เห็นปลายสุดของมันได้ พื้นผิวของมันค่อนข้างแบน ฉินเย่จึงสงสัยว่ามันน่าจะเป็นกระดูกคอของสัตว์มีกระดูกสันหลังสักชนิด ในขณะเดียวกัน มันก็มีคนยืนต่อแถวกันอยู่สองแถว จำนวนนั้นมากเกินกว่าที่จะสามารถนับได้ เรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งของทางเดิน มีบางคนที่สวมชุดสูท บางคนสวมเสื้อยืดกางเกงยีน และบางคนที่สวมชุดเดรสหรูหรา ทั้งหมดล้วนยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเพื่อนเดินไปที่ปลายสุดของทางเดิน เหมือนอย่างที่ฉินเย่และหญิงชรากำลังทำ!
พวกเขาช่างดูมืดมนและคล้ายกับภาพลวงตา และใบหน้าของคนทั้งหมดก็ดูว่างเปล่า พลังหยินรั่วไหลออกมาจากร่างของพวกเขาบ้างเป็นครั้งคราว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของกลุ่มคนทั้งสองฝั่งนี้ก็คือ….สภาพของคนพวกนี้เป็นสภาพเดียวกับที่พวกเขาเสียชีวิต!
มีบางคนที่ลิ้นยื่นยาวออกมาจากปากและดวงตาปูดโปนจนน่าขยะแขยง บางคนก็มีใบหน้าบิดเบี้ยวแขนขาหัก แต่พวกเขาก็ต้องกระเสือกกระสนคลานข้ามสะพานไปให้ได้ มีบางคนที่กะโหลกศีรษะร้าว ในขณะที่คนอื่น ๆ ไม่หน้าอกก็ท้องถูกฟันจนผิวหนังเปิดกว้าง….มันแทบจะเหมือนกับแกลเลอรีของคนตายเลยไม่มีผิด!
พิพิธภัณฑ์ของคนตาย…
และคนตายพวกนี้ก็ลอยตัวอยู่ในอากาศ เท้าของพวกเขาไม่สัมผัสพื้นเลยสักนิด แม้แต่ตอนที่พวกเขาก้าวเท้าเดินก็ตาม
ประตูนรกได้ปิดลงในวันสุดท้ายของเทศกาลวันสารทจีน ในค่ำคืนอันมืดมิด เหล่าวิญญาณขาวซีดทั้งหมดเดินไปตามถนนหยินหยาง เคียงข้างกับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
และตอนนี้ฉินเย่ก็อยู่ตรงนี้ ท่ามกลางเหล่าวิญญาณทุกดวง
ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้นอกจากอ้าปากค้างอย่างตกใจ และวินาทีนั้น ทุกอย่างที่อยู่รายล้อมพวกเขาก็หยุดนิ่ง
วิญญาณนับร้อยพัน หรืออาจจะหมื่นดวงหยุดนิ่งลงอย่างพร้อมเพรียงกัน และโดยที่ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย…ใบหน้าที่แข็งค้างราวกับเครื่องจักรของพวกเขา รวมทั้งพวกที่แลบลิ้นยาวออกมาและแม้แต่พวกที่ไม่มีส่วนของศีรษะ ทั้งหมดต่างหันมามองที่ฉินเย่!
มันยังมีร่องรอยของความโลภ ความสับสน และอารมณ์อื่นๆ ในดวงตาของพวกเขา…และในวินาทีนั้น ร่างของฉินเย่ก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงพร้อมกับความเย็นของโลกเบื้องล่างที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวใจของเขา ทันใดนั้นมือเหี่ยวย่นก็ตบมาที่หลังของเขาอย่างหนักแน่น ทำให้ความเย็นยะเยือกที่แทรกซึมไปทั่วร่างของฉินเย่หายไปทันที แต่เหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบยังคงจ้องเขาต่อไปอีก 30 วินาทีเต็ม ๆ ก่อนที่พวกเขาจะหันกลับไปและเดินต่อ
ตึกตัก! ตึกตัก! ฉินเย่ทาบมือลงบนอกของตัวเอง หัวใจของเขาเต้นแรง วินาทีที่เหล่าดวงวิญญาณพวกนั้นมองมา…มันทำให้แผ่นหลังของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
“ดูนั่น” หญิงชราเอ่ยพร้อมกับชี้ไปอีกทางหนึ่ง เมื่อฉินเย่มองตาม เขาก็ต้องยกมือปิดปากอย่างตกตะลึง รูม่านตาของเขาหดเล็กลงทันที
เขาเห็นภาพลาง ๆ ของบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับเนินเขาอยู่ไกลออกไป อากาศโดยรอบของมันเต็มไปด้วยพลัง หยิน ฉินเย่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่ามันคืออะไร แต่มันเหมือนกับกลุ่มแมลงเหม็นที่กำลังซ้อนทับกัน แล้วยังดวงตาสีเขียวคู่หนึ่งที่ลุกโชนในความมืดราวกับเปลวไฟแห่งนรกที่ลุกไหม้อย่างไม่หยุดหย่อนนั่นอีก และบนร่างของมัน…มีร่างของคนจำนวนนับไม่ถ้วนถูกแขวนคออยู่!
พวกเขาคือคนเป็น ๆ ไม่ใช่สิ เหมือนกับจิตวิญญาณที่ยังมีชีวิตมากกว่า!
แต่ละคนดูเหมือนว่ากำลังพึมพำบางอย่างที่เขาไม่สามารถได้ยินได้อยู่ ดวงวิญญาณที่อยู่ใกล้กับเขามากที่สุดน่าจะห่างจากตำแหน่งปัจจุบันของเขาไม่เกิน 20 เมตร
มันคือหนอนวิญญาณและดักแด้มนุษย์ของมัน!
[1] เพลงจุ้ยเสวียนหมินจู๋เฟิง(最炫民族风)เป็นเพลงที่มีทำนองสนุกสนาน ผู้สูงอายุมักเปิดเพลงนี้เต้นออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่างๆ
[2] “กั่ง” คือไพ่ตัวเดียวกัน 4 ตัว จากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้
[3] ทางหวงเฉวียน หรือก็คือ ทางน้ำพุเหลือง เป็นเส้นทางที่ยมทูตขาวและดำพาวิญญาณไปพิพากษา