ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 80.1: บ้านผีสิง (1)
บทที่ 80: บ้านผีสิง (1)
เสียงลมพัดผ่านหูของพวกเขาไป ขณะที่พวกเขาตรงดิ่งลงมาจากตึกสูง ทันทีที่เท้าแตะพื้น พวกเขาก็พุ่งไปยังบริเวณบ้านพักคนชราทันที
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทหารที่กำลังยืนเวรยามอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังขึ้น พวกเขาหมุนตัวไปทางเสียงนั้นทันทีที่ได้ยิน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะออกคำสั่ง
“ไปลาดตระเวนที่ชั้นหนึ่ง ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง”
ในขณะเดียวกัน กลุ่มของฉินเย่ก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขาโยนตะขอเกี่ยวยึดติดกับกรอบหน้าต่างบานหนึ่งของบ้านพักคนชรา และเงาร่างทั้งห้าก็โหนตัวเข้าไปภายในอาคารได้สำเร็จ
พวกเขาอยู่บริเวณด้านหลังของบ้านพักคนชรา เพราะเป็นส่วนที่การคุ้มกันหละหลวมที่สุด
สถานที่แห่งนี้ถูกตรวจสอบอยู่หลายครั้ง แม้แต่ผ้าม่านของหน้าต่างที่พวกเขาโหนตัวเข้ามาก็ไม่อยู่แล้ว
เงาร่างทั้งห้าพลิกตัวบนพื้นห้องทันทีที่เข้ามา และยืนขึ้นตั้งหลักอย่างรวดเร็ว พวกเขาหยิบอาวุธขึ้นมา โดยที่สามคนหมอบตัวอยู่บนพื้น อีกสองคนพุ่งไปยังประตูด้านหน้า ยืนขนาบข้างสองฝั่งคอยดูต้นทางเอาไว้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสิบวินาที
ไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลาสามนาทีเต็ม ได้ยินเพียงเสียงลมและเสียงใบไม้กรอบแกรบที่ดังเข้ามาภายในห้อง
พวกเขาอยู่ในห้องที่ถูกทิ้งร้าง เฟอร์นิเจอร์ที่พังเสียหายรอบ ๆ ถูกปกคลุมไปด้วยใยแมงมุมและฝุ่นหนาทึบสีเทา โคมไฟตั้งโต๊ะในสมัยก่อนตั้งอยู่มุมห้อง ผนังถูกทาด้วยสีคุณภาพต่ำ ความเงียบสงบในบ้านพักคนชราทำให้บรรยากาศไม่ต่างจากสุสานเก่า ๆ ที่ถูกทิ้งร้าง
ซู่เฟิงกางแผนที่ลงบนพื้น ปรากฏแผนผังของอาคารแห่งนี้ทั้งหมด “เขตไล่ล่านี้มีทั้งหมดห้าชั้น แต่ละชั้นมีห้องสามสิบหกห้อง พวกเราไม่เคยเข้ามาในเขตไล่ล่านี้มาก่อน ดังนั้นฉันขอแนะนำให้แยกกันสำรวจ”
เขารู้ดีว่าฉินเย่เพิ่งจะเคยมาพื้นที่ตรวจสอบพิเศษเป็นครั้งแรก จึงอธิบายเพิ่มว่า “หากที่นี่มีวิญญาณสามสิบล้านพลังหยินอยู่จริงละก็ ตอนนี้มันจะต้องถูกผนึกเอาไว้อยู่เป็นแน่ หน่วยสอบสวนพิเศษเรียกพื้นที่ตรวจสอบพิเศษว่า โลกวิญญาณ”
“มันเป็นดินแดนที่อยู่ในรอยแยกระหว่างโลกมนุษย์กับโลกใต้พิภพ หากไม่มีใครมาสัมผัสกับทางเข้า ก็จะไม่มีทางรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันได้เลย นอกจากนี้ ทางเข้าอาจอยู่ในรูปแบบใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็นกระจก โคมไฟหรืออะไรก็ตาม พูดอีกอย่างก็คือ… ”
เขาวาดวงกลมรอบ ๆ แผนที่ “ทั้งหมดในห้าชั้นนี้ สิ่งของทุกชิ้น ห้ามพวกนายมองข้ามมันไปแม้แต่ชิ้นเดียว!”
หลี่หยุนเซวี่ยเปิดของที่ด้านหลังของเธอและดึงเครื่องวิทยุสื่อสาร 5 เครื่องออกมา
“โลกวิญญาณนั้นไม่มีสัญญาณ ดังนั้นพวกเราจะต้องสำรวจหนึ่งห้องให้เสร็จภายในเวลาสิบห้านาที รายงานชื่อและหมายเลขห้องของพวกเราทุกคนจะปรากฏผ่านเครื่องวิทยุสื่อสารนี่ ใครก็ตามที่ไม่มารายงานตัวภายในสิบห้านาทีก็หมายความว่า… ”
แม้หล่อนจะพูดไม่จบ ทว่าฉินเย่กลับเข้าใจดี และแอบชมความฉลาดของหล่อนในใจ
ทันทีที่สัญญาณของคนหายไป นั่นก็หมายความว่าบุคคลนั้นได้พบทางเข้าสู่รอยแยกระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณแล้ว พวกเขาสามารถตามตำแหน่งล่าสุดที่สัญญาณวิทยุสื่อสารขาดหายไป และจะค้นพบทางเข้าได้ในที่สุด
“ไม่ว่าอย่างไร เราจะมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้งเวลาตีสี่” ซู่เฟิงหยิบเครื่องวิทยุสื่อสารขึ้นมาและพยักหน้าให้ทุกคน
“ระวังตัวด้วย”
วิญญาณพลังหยินสามสิบล้านถูกซ่อนอยู่ที่นี่ แม้ว่ามันจะถูกปิดผนึกเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะประมาท!
ทันทีที่เขาพูดจบก็เดินออกจากห้องไป
ทุกคนหยิบเครื่องวิทยุสื่อสารของตัวเองขึ้นมา วิทยุแต่ละคนมีหมายเลขหนึ่งถึงห้า เป็นสีแดง เครื่องวิทยุของฉินเย่เป็นหมายเลข ‘หนึ่ง’
หลังจากหยิบเครื่องวิทยุแล้วเขาก็เดินไปที่ชั้นหนึ่ง ทว่าเขาไม่ได้เริ่มการค้นหาในทันที แต่เขาเพียงแค่สำรวจบริเวณรอบ ๆ ก่อน
น่าขนลุก
แสงเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือแสงสว่างที่ลอดผ่านกระจกหน้าต่างแตก ๆ ของทางเดิน ความเลือนรางทั้งดูลึกลับแล้วก็น่ากลัว ผนังถูกปกคลุมไปด้วยคราบสีต่าง ๆ นานา และตัวอักษรมากมายเรียงรายอยู่ทั่วฝาผนัง จนฉินเย่ไม่รู้ว่ามันเขียนว่าอะไร และบางตัว…ก็ดูเหมือนจะถูกเขียนด้วยเล็บมือของมนุษย์! ทั้งในรอยขีดข่วนยังเจือด้วยสีสนิมของเลือดที่แห้งกรังมาเป็นเวลานานอีกด้วย!
ผนังไม่ได้ปูด้วยลายหินอ่อนเหมือนอพาร์ทเมนต์ยุคใหม่ แต่ถูกทาด้วยสีชมพูซีด ๆ ดูล้าสมัย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ลอกออกไปเกือบหมดแล้ว ผ้าม่านที่ขาดรุ่งริ่งดูน่าขนลุกจนรู้สึกราวกับว่ามีสายตาคอยจ้องมองแขกผู้มาเยือน
ฉินเย่ก้าวเดินไปตามทางเดินช้า ๆ ทุกสิ่งถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ เขาได้ยินบางอย่างเหมือนเสียงหนูที่กำลังไล่กัดกันดังแว่วมาจากบนฝ้าเพดาน เป็นประสบการณ์ที่ชวนขนหัวลุกสุด ๆ
ฉินเย่ค่อย ๆ เปิดประตูห้องแรกเข้าไป ตึกนี้เป็นแบบสมัยโบราณที่มีห้องเรียงรายทั้งสองด้านของทางเดิน เขาจับประตูทางซ้ายเป็นห้องหมายเลข 123
ด้านซ้ายของอาคารยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่ด้านขวาของอาคารได้พังทลายลงแล้ว ฉินเย่ใช้เวลาประมาณสิบนาทีก็มาถึงห้อง
เขาแง้มประตูเล็กน้อย ตอนที่เขาผลักมัน ประตูก็ส่งเสียงแหลมที่น่าสยดสยอง ทันใดนั้นเครื่องวิทยุก็ดังขึ้น “หลี่หยุนเซวี่ย ห้อง 201”
“ หลินฮั่นห้อง 301”
“ ซู่เฟิงห้อง 523”
ฉินเย่พยักหน้า กำลังจะเปิดประตู แต่ทันใดนั้นนัยน์ตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ “โจวฉินเฟิ่นอยู่ไหนล่ะ?!”
เขานิ่งไปชั่วขณะ และไม่ได้ผลักประตูเข้าไป
เขามองผ่านรอยแตกจากประตูที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งและเห็นร่างที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา!
แสงจันทร์สลัว ๆ สาดส่องจากหน้าต่างทั่วห้อง ทำให้เห็นร่างสีดำที่มีผมสีขาวยาวประบ่า
หลังของมันหันไปทางประตู มันสวมชุดงิ้วสีน้ำเงินชายเสื้อสีขาว มือทั้งสองของมันซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยฝุ่น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นการปรากฏตัวของมันพร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องประกายอยู่ด้านหลัง ระหว่างที่มันหันหัวมองมาทางเขาร้อยแปดสิบองศาและจ้องตรงไปที่ประตูด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ขะขะขะ…ขะขะขะขะ… ” เสียงที่ติดขัด ดังมาจากลำคอของมัน ราวกับคนที่ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ฉินเย่ยืนอยู่หน้าประตู เห็นมันค่อย ๆ ยื่นมือแห้งเหี่ยวมาหาอย่างช้า ๆ จากด้านหลัง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เครื่องวิทยุสื่อสารก็มีเสียงของซู่เฟิงดังขึ้น
“คุณโจวนี่ไม่ใช่เรื่องตลก สิบห้านาทีแล้ว รายงานตำแหน่งของคุณด้วย”
สามนาทีผ่านไป ห้านาทีผ่านไป เครื่องวิทยุสื่อสารก็ยังคงเงียบสนิท
ฉินเย่หายใจเข้าลึก เขาดึงโทรศัพท์ของเขาออกมาและมองไปที่หน้าจอ
เป็นเวลาห้าทุ่มสี่สิบนาที พวกเขากำลังสำรวจความลึกของบ้านพักคนชราที่ถูกทิ้งร้างที่มีตัวอักษรถูกขีดเขียนไว้ทั่วฝาผนัง และท่ามกลางความมืดมิด หนึ่งในสมาชิกในทีมของพวกเขา… เพิ่งหายไปทันทีที่พวกเขาเข้ามาในสถานที่นี้โดยไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง!
เขาหันหลังกลับไปอย่างกะทันหันและรีบตรงไปที่ชั้นสี่ที่โจวฉินเฟิ่นไปก่อนหน้านี้!
ในขณะที่ฉินเย่หันหลังออกไป มือขาวซีดก็เปิดประตูห้องอย่างไร้สุ้มเสียง คนคนหนึ่งที่มีผมขาวทั้งหัวก็ค่อย ๆ เผยตัวออกมา
“ขะขะขะ…ขะขะขะขะ… ”
แม้ว่าปกติแล้วฉินเย่จะรู้สึกถึงพลังหยินได้ทันทีที่มันปรากฏกาย แต่ในครั้งนี้เขาแทบไม่รู้สึกอะไรเลย ฉินเย่พุ่งตรงไปที่ชั้นสี่
และเมื่อฉินเย่มาถึงชั้นสี่ … เขาก็พบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลยสักคน!
ตึก… เสียงเดียวที่ดังก้องอยู่ทั่วทางเดินที่มืดสลัว คือเสียงรองเท้าบูทของเขาเอง แสงจันทร์สีซีดและมืดมนสาดส่องไปทั่วทางเดิน มีคำสีดำและสีแดงขีดเขียนไว้ทั่วผนัง
ฉินเย่จ้องมองด้วยนัยน์ตาที่สั่นไหวเล็กน้อย มือของเขาวางไว้ที่เอว แผ่นหลังของเขาโค้งอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เขาเหมือนหมาป่าที่พร้อมจะจู่โจมทันทีที่สังเกตเห็นศัตรู เขาวิ่งขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง หากว่ากันตามความเป็นจริง ตอนนี้ควรจะมีคนอื่นอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว
แล้วคนอยู่ที่ไหนกันล่ะ?
“มีบางอย่างผิดปกติ!” อาร์ทิสกระซิบ
ฉินเย่เห็นด้วย “แน่นอนว่ามีบางอย่างผิดปกติ…จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่พบพลังงานหยินเลยสักนิดเดียว…ทั้ง ๆ ที่เรากำลังยืนอยู่กลางเขตไล่ล่า… ”
ทันใดนั้นเครื่องวิทยุสื่อสารที่ห้อยอยู่ที่เอวของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้งตัดผ่านความเงียบในโถงทางเดิน เป็นเสียงร้องในลำคอของผู้หญิง
“เสียงนกร้องขับขาน ณ ยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย ข้าปักอาภรณ์อยู่ภายในห้องอย่างโดดเดี่ยว วันเวลาผันเปลี่ยนไปราวกับหมอกควัน… ”
งิ้วคุนจวี้ [1]
หลังจากร้องท่อนนี้จบ เสียงของผู้หญิงคนนั้นก็แหลมสูงขึ้นอย่างกะทันหัน โดยยังคงใช้ทำนองเหมือนกำลังร้องงิ้วคุนจวี้อยู่ “ หลี่หยุนเซวี่ย ห้อง 201”
“ หลินฮั่นห้อง 301”
“ ซู่เฟิงห้อง 523”
“และคนสุดท้าย จงรีบไปตายเสีย~~!!”
นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว!!
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอร้องเพลงจบ ประตูห้องชั้นสี่ทั้งหมดก็เปิดออกพร้อมกันทันที
จากนั้นร่างหญิงสาวสวมชุดงิ้วแบบดั้งเดิมที่ฉินเย่เห็นเมื่อครู่ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเดินใต้แสงจันทร์!
ร่างที่เรียวยาวสวมเสื้อผ้าที่วิจิตรงดงาม แขนเสื้อที่พลิ้วไหว เธอพุ่งตรงไปที่ฉินเย่ราวกับสายฟ้าฟาด!
รูม่านตาของฉินเย่หดตัวลง เขาหันกลับและออกวิ่งทันทีโดยไม่ลังเล
นี่ไม่ใช่ผีร้ายระดับยมเทพ…
นี่คือผีระดับนักล่าวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย!
วิญญาณที่ชั่วร้ายนี้แข็งแกร่งกว่าเชาโยวเต๋าอย่างเห็นได้ชัด! ในความเป็นจริง … มันทำให้ฉินเย่ได้กลิ่นอายแบบเดียวกับระดับตุลาการที่เขาพบก่อนหน้านี้!
เขารีบลงไปชั้นล่างอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาคารนี้แปลกเกินไป ตัวแทนระดับนักล่าวิญญาณทั้งห้าที่เข้ามาในเขตไล่ล่า อีกสี่คนหายไปอย่างลึกลับ
มีกระจกอยู่ทุกมุมของอาคาร
ที่นี่ก็เช่นกัน กระจกดูเก่ามากอย่างไม่น่าเชื่อ มันถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละออง จนสะท้อนภาพได้ไม่ค่อยชัดนัก แต่ฉินเย่ก็สังเกตเห็นจากภาพสะท้อนว่า … มีบางอย่างอยู่ข้างหลังเขา!
นอกจากนี้ เขาสังเกตเห็นว่ามีเครื่องวิทยุสื่อสารตั้งอยู่หน้ากระจกอีกด้วย!
เงียบ
เสียงงิ้วคุนจวี้ได้หายไปแล้ว พายุกลางคืนพัดผ่านอาคารด้วยเสียงก้องกังวานอย่างน่าขนลุก ราวกับว่ามีผีกำลังส่งเสียงครวญคราง ลมพายุที่ทวีความรุนแรงทำให้หน้าต่างกระแทกเข้ากับกรอบจนเกิดเสียงดัง
เขาหายใจเข้าลึก ๆ หยิบเครื่องวิทยุสื่อสารขึ้นมา จากนั้นเช็ดฝุ่นออกจากกระจก
เพียงชั่วพริบตา … เขาก็พบว่าร่างหญิงสาวที่สวมชุดงิ้วแบบดั้งเดิมนั้นกำลังยืนห้อยหัวอยู่ด้านหลังของเขา!
ศพของเธอดูเหี่ยวแห้งไร้เนื้อหนัง ราวกับว่าเธออดอยากจนตาย!! ผมของเธอก็กระเซิงไปหมด เธอห้อยหัวลงมาอย่างเงียบ ๆ น้ำลายของเธอย้อยลงบนหน้าอกของฉินเย่ หัวของเธออยู่เหนือไหล่เขา!
ร่างเรียวพุ่งตรงไปยังฉินเย่ราวกับสายฟ้า!
… ทันใดนั้นเครื่องวิทยุก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงสัญญาณกลบเสียงอื่น ๆ
เขาถือเครื่องวิทยุเข้าใกล้หูของเขาและในที่สุดก็ได้ยินเนื้อหาของมัน
“ 124 … 1 … 24 … ”
วินาทีต่อมาเขาวางเครื่องวิทยุลง
“ คุณซู่” ฉินเย่ตะโกนอีกครั้ง “ คุณหลิน? คุณหลี่? คุณโจว?”
ไม่มีการตอบสนอง
“ ข้าไม่สามารถตรวจจับร่องรอยของพลังที่แท้จริงของพวกมันได้เช่นกัน … ” เขาเลียริมฝีปาก ด้วยเสียงดังโครมคราม พลังหยินในสภาพแวดล้อมของเขาก็เริ่มมาบรรจบกันรอบตัวของเขา
“ ถ้าอย่างนั้น … ข้าก็ไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไปแล้วใช่ไหม”
… ขอบกระบี่ที่เปล่งประกายสีซีดจางถูกดึงออกมาจากฝัก ท่ามกลางคลื่นพลังหยินที่กำลังย่างกรายเข้ามา เครื่องแบบยมทูตของฉินเย่กระพืออย่างรุนแรง ทางเดินที่เงียบสงบก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยเสียงโหยหวนของผีนับพันตน ราวกับว่าพวกมันพร้อมจะสยบให้แก่ฉินเย่!
“ตามคำกล่าวของนรก วิญญาณชั่วช้าจงสลายไปเสีย” เขาชี้กระบี่ของเขาในแนวทแยงมุมไปที่เพดาน พลังหยินที่หนาแน่นรอบตัวเขาหายไปในทันทีราวกับว่ากองทัพที่มองไม่เห็นกำลังถอยห่างออกไปด้วยความหวาดกลัว
“พวกเจ้ากล้าก่อปัญหาต่อหน้ายมทูตอย่างข้าหรือ?” ฉินเย่เสแสร้งปัดฝุ่นที่มองไม่เห็นออก
“อย่าทำตัววุ่นวาย อีกไม่นานเราจะได้เห็นกันว่าแกซ่อนอะไรไว้”
[1] งิ้วคุนจวี้หนึ่งในงิ้วที่มีชื่อเสียงของจีน ขึ้นชื่อเรื่องการฟ้อนรำและขับร้องที่โดดเด่น