ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 89: การฝึกอบรมของเหล่าอาจารย์ (1)
บทที่ 89: การฝึกอบรมของเหล่าอาจารย์ (1)
ฉินเย่เคาะนิ้วบริเวณหัวเตียงอย่างครุ่นคิด
ตัวเลือกที่เกี่ยวข้องกับ SRC นั้นช่างไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์และไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง มันคือไข่โลหะที่เขาต้องพยายามเจาะให้ได้ เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากมัน…เดี๋ยวก่อนนะ! ใครต้องเจาะมันนะ? แล้วไข่โลหะหมายถึงอะไร? นี่เรากำลังคิดบ้าอะไรอยู่?
“ข้าคิดว่ามันคงไม่มีทางอื่นนอกจากหาตัวเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว…และข้าคงต้องขอดูพิมพ์เขียวของสำนักจากซู่เฟิงมาดูแล้วว่างานก่อสร้างจะลึกลงไปใต้ดินมาน้อยเพียงใด…ตอนนั้น ข้าจำได้ว่าเราต้องเดินทางลงไปหกชั้นต่ำกว่าระดับพื้นดิน ซึ่งหากแต่ละชั้นมีความสูงสามเมตร มันก็หมายความว่าพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับใต้ดินลงไปประมาณ 20 เมตรคือจุดอันตราย….”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องกังวลไป รอดูไปก่อน…มันยังเร็วเกินไปที่เมืองเป่าอันจะล่มสลาย มันยังมีเวลาให้เจ้าได้เตรียมตัว เจ้าจะยอมปล่อยมือจากควาฟู่ไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”
ฉินเย่ส่ายศีรษะ
เขาไม่ได้อยากจะยอมแพ้
แต่เขาไม่มีตัวเลือกอื่น
อาร์ทิสถอนหายใจ “หากมันทำไม่ได้จริง ๆ…ข้าคิดว่ารังของเชาโยวเต๋าก็สามารถทดแทนได้…กำลังพลภายในมณฑลอันฮุ่ยยังขาดแคลนอยู่ และความเป็นไปได้ที่จะมีคนพบมันโดยบังเอิญนั้นน้อยมาก คำถามสองข้อที่เจ้าเคยถามก่อนหน้านี้ไม่ได้แย่เสียทีเดียว และเจ้าก็สามารถถามได้ตรงประเด็นมาก แต่ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ เมื่อได้เลือกไปแล้ว เจ้าจะไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งของทางเข้าหลังของนรกได้อีก ไม่เช่นนั้น เจ้าคิดว่าเหตุใดนครวิญญาณจึงสามารถมีอยู่มาได้นานถึงหลายพันปี? เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือว่ายมโลกเคยคิดที่จะย้ายที่บ้างหรือไม่?”
ฉินเย่เดาะลิ้นและดึงผ้าห่มมาคลุมโปง “ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
และเด็กหนุ่มได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มไปอีกสองสามวัน
พักนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายจนเขารู้สึกเครียดอย่างไม่น่าเชื่อ มันถึงเวลาที่จะได้ผ่อนคลายบ้างเสียที
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมาก เขาได้ติดต่อไปหาจางเปากัว เพราะว่าเหตุการณ์ของธีโมยังคงติดอยู่ในหัวของทุกคน ฉินเย่จึงไม่คิดที่จะออกไปไหนทั้งนั้น ทว่าเขาก็ยังรับปากว่าจะไปทานอาหารเย็นกับอีกฝ่ายในช่วงปีใหม่
ส่วนเมืองเป่าอัน…ทุกอย่างยังคเหมือนเดิม หลังจากที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก
พวกระดับสูงของรัฐบาลต่างกังวลเป็นอย่างมาก หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นองเลือดในคืนนั้น แต่ผู้ที่ไม่รู้เรื่องนี้ก็จะไม่มีทางรู้เช่นกัน ชีวิตของประชากรธรรมดากลับมาสู่ปกติอีกครั้ง และความสงบสุขก็กลับคืนมาในวันที่สาม นอกจากความจริงที่ว่าประชาชนได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทุกอย่างก็ได้กลับเข้าสู่สภาพเดิมอย่างที่เคยเป็น
โรงพยาบาลทุกแห่งได้ติดตั้งเครื่องมือและห้องวินิจฉัยใหม่ภายในเวลาหกวันหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น – ห้องทดสอบความถนัดทางการบ่มเพาะ
ถนนของผู้ล่วงลับที่ปกติมักจะไม่ค่อยมีผู้คนแวะเวียนมาก็มีลูกค้าเพิ่มขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็คือถนนไทจี๋ที่อยู่ถัดไปจากถนนของผู้ล่วงลับ
ทุกคำสั่งของทางรัฐบาลในวันแถลงข่าวได้ถูกประกาศอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ประชากรทุกคนที่อยู่ในเมืองจะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไร
มันคือสถานที่รวมตัวสำหรับผู้ฝึกตนและนิกายของพวกเขา และแลกเปลี่ยนซื้อขายทรัพยากรในการฝึกตน!
ร้านค้าทั้งหมดที่เคยตั้งอยู่บริเวณนั้นถูกถอดถอนทั้งหมดและกลายเป็นธุรกิจที่เข้ามาแทนที่ก็เป็นสินค้าจำพวกดาบไม้มะฮอกกานี ยันต์ และของเก่าแก่ที่สามารถเห็นได้แต่ในโทรทัศน์ ในตอนแรกมันมีผู้เยี่ยมชมไม่มากนัก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจของผู้คนก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และท้ายที่สุด ในวันสุดท้ายของสัปดาห์ พระสงฆ์และนักพรตมากมายต่างเดินไปตามถนนด้วยท่าทางที่สง่าราวกับพวกเขาเป็นสมาชิกที่มีชื่อเสียงของนิกายต่าง ๆ
คนเหล่านี้ไม่ได้มีความคาดหวังมากนัก ตราบใดที่พวกเขาสามารถตอบสนองต่อความต้องการในชีวิตของตนเองได้ พวกเขาก็พร้อมที่จะอดทนต่อทุกสิ่ง
ทุกวันนี้ ภายในเมืองเป่าอันยังคงมีคำสั่งใหม่ถูกประกาศออกมาเรื่อย ๆ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตยังคงไม่ได้รับการกู้คืน อันที่จริง มันเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าอินเทอร์เน็ตจะไม่ถูกกู้คืนกลับมา กลับกัน มีการนำระบบใหม่มาใช้เพื่อให้แน่ใจว่าประชากรจะสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ ได้ในขณะที่ยังคงรักษาข้อจำกัดเกี่ยวกับข้อมูลขาออกไปด้วย
สถานศึกษาหลายแห่งเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับแนวทางการศึกษาใหม่อย่างสาขาการบ่มเพาะ ทันทีที่เหล่าอาจารย์ที่มีคุณสมบัติกลุ่มแรกได้มาถึงเมืองเป่าอัน วิชานี้ก็จะถูกสอนไปทั่วทั้งเมือง รวมถึงระดับอนุบาล เด็กก่อนวัยเรียน ระดับประถมศึกษาไปตลอดจนระดับมัธยมศึกษา ในความเป็นจริง สำนักฝึกตนแห่งแรกจะเริ่มเปิดลงทะเบียนทันทีหลังจากที่วันหยุดช่วงฤดูหนาวสิ้นสุดลง
ซึ่งทางรัฐบาลจะเป็นฝ่ายแรกที่นำระบบของผู้ฝึกตนและการบ่มเพาะมาใช้กับระบบปฏิบัติการของพวกเขา และเนื่องด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้หน่วยสอบสวนพิเศษต้องย้ายจากสำนักงานใหญ่ใต้ดินมาอยู่บนดินในวันที่สาม พวกเขายังได้รับมอบหมายงานและการสืบสวนที่เกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกือบทั้งหมดและตัดการติดต่อระหว่างหน่วยงานรัฐบาลและส่วนอื่น ๆ ของโลก
ข่าวสารทั้งหมดยังคงไหลเข้าสู้หัวของฉินเย่ในทุกวัน ในขณะที่เขามีการสนับสนุนจากบัตรเครดิตของหวังเฉิงห่าว ฉินเย่ยังคงไถหน้าจอดูรายการสินค้าอย่างมีความสุขพร้อมกับที่กดสั่งเสื้อผ้ามากมายโดยที่ไม่ได้สนใจโลกภายนอก
คำว่า ‘การบ่มเพาะ’ เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้นภายในเมืองเป่าอัน
ในเช้าตรู่ของวันที่เจ็ด ฉินเย่ลุกขึ้นจากเตียง
หลังจากทำธุระส่วนตัวทานข้าวเช้าเสร็จ ก็เป็นเวลา 07.30 น.แล้ว
เมื่อคืนนี้เขาถูกดึงเข้ากลุ่มแชทที่มีชื่อว่า “กลุ่มอาจารย์ของสำนักฝึกตนแห่งแรกปี 2018” ข้อกำหนดเดียวของกลุ่มนี้ก็คือพวกเขาต้องใช้ชื่อจริงของตัวเอง
เมื่อฉินเย่ดูอย่างละเอียดเขาก็พบว่าภายในกลุ่มนี้มีคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
และมันไม่ใช่เพียงแค่นั้น มันยังมีคนที่เขารู้จักหลายคน รวมถึงสมาชิกกลุ่มขยะที่เขาเพิ่งเข้าร่วมอย่างหลินฮั่น หลี่หยุนเซวี่ย และกลุ่มเล็ก ๆ ของทั้งคู่ด้วย แม้แต่จางเชิงไห่ ผู้ที่ซื้ออาหารเช้าให้เขาก่อนหน้านี้ก็อยู่ในกลุ่มเช่นกัน
นอกจากนี้ มันยังมีชื่อที่น่าสนใจอีกจำนวนมาก
“หัวคณบดีกิตติมศักด์: โจวเซียนหลง” “หัวคณบดีกิตติมศักด์: ชางซุน”
หลังจากที่ได้นับจำนวนคร่าว ๆ เขาก็พบว่าภายในกลุ่มนี้มีสมาชิกอยู่ทั้งสิ้นเกือบ 200 คน มหาวิทยาลัยต่างๆ แม้แต่มหาวิทยาลัยที่เป็นสาขาต่างก็มีจำนวนอาจารย์ผู้สอนอยู่ในหลักพันทั้งสิ้น เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยพวกนี้แล้ว ตัวเลขของพวกเขาถือได้ว่าเป็นแค่ผิวหนังที่หุ้มกระดูกเท่านั้น
ฉินเย่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของเมื่อคืนที่ผ่านมาคุยกับกลุ่มผู้สืบทอดสังคมนิยม และเขาเพิ่งได้ปิดโทรศัพท์และพักผ่อนเมื่อตอนเที่ยงคืน ในทางตรงกันข้าม มันไม่มีการหยอกล้อหรือพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มแชทนี้เลยสักนิด
เขาเปลี่ยนชุด เรียกแท็กซี่และตรงไปที่มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย
“สำนักฝึกตนแห่งแรกหรือ?” คนขับรถแท็กซี่ผู้นี้พูดมากอย่างน่าเหลือเชื่อ ทันทีที่เขาได้ยินชื่อสถานที่ปลายทางของฉินเย่ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นทันที “น้องชาย นายมีธุระอะไรที่นั่นอย่างนั้นเหรอ? พวกเขาปฏิบัติต่อนายอย่างดีหรือเปล่า?”
ฉินเย่: “……”
“ฉันได้ยังมาว่าพวกที่มีคุณสมบัติครบตามข้อกำหนดได้รับการยอมรับด้วยเงื่อนไขที่ดีจนน่าเหลือเชื่อ ฉันไม่รู้เลยว่าลูกชายของตัวเองจะมีคุณสมบัติพอหรือเปล่า นี่…บอกฉันหน่อยไม่ได้เลยเหรอ? ฉันจะไม่คิดค่าโดยสารเลยรอบนี้!” “อ้อ!…ใช่! ฉันกำลังสงสัยพอดีเลยว่าทำไมฉันถึงหน้าตาคุ้นหน้านายนัก ไม่ใช่ว่านายคือ…อ้อ! ธีโม!” “นายคงเป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มน้อยใช่ไหม? ลูกชายฉันเป็นคนบอกมา” “มันมีนโยบายพิเศษสำหรับคนกลุ่มน้อยในการเข้าร่วมหน่วยสอบสวนพิเศษด้วยเหรอ?”
หะ? หมายความว่ายังไง ธีโม?!
แล้วชนกลุ่มน้อยบ้าอะไร?!
ฉินเย่ยังคงนิ่งเงียบ ห่างเหินและเย็นชาไปตลอดการเดินทาง หัวใจและศีรษะของเขาคล้ายกับถูกกระแทกด้วยความเจ็บปวดทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ธีโม’ และภายใต้สายตาที่ขุ่นเคืองของคนขับรถ เด็กหนุ่มลงจากรถและยืนอยู่หน้าประตูหลักของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย
มหาวิทยาลัยอันฮุ่ยดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ป้ายชื่อมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยได้ถูกนำออกไปแล้ว และป้ายที่มีแทนมันก็เขียนว่า “สำนักฝึกตนแห่งแรก” ตัวอักษรบนป้ายถูกเขียนด้วยลายเส้นที่หนักแน่นและสง่างาม
ภายในวิทยาเขตแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด ทว่ากลับไม่มีเหล่านักศึกษาให้เห็นอีกแล้ว ทั้งจักรยานเช่าคันสีเหลืองยอดนิยม ป้ายเครื่องหมายการค้าหลากสีถูกนำออกทั้งหมด แม้แต่มุมนั่งที่เคยเป็นจุดนัดรวมของเหล่านักศึกษาก็ถูกปรับปรุงใหม่ให้ดูโบราณมากขึ้น แทบจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าทางรัฐบาลสามารถทำทั้งหมดนี้ภายในระยะเวลาเพียงแค่เจ็ดวันได้อย่างไร
ทั่วทั้งวิทยาเขตในยามนี้ดูเย็นยะเยือกและให้ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด
เขาเดินตามป้ายบอกทางไปที่ห้องบรรยายชั้น 1 มันเป็นเวลา 08.30 น.แล้ว และการประชุมของคณาจารย์ก็จะเริ่มขึ้นในเวลา 09.00 น. และตอนนี้ ผู้คนบางส่วนก็มาถึงแล้ว ทันทีที่เขามาถึงที่หน้าประตู เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียก “เฮ้~ ธีโม! ทางนี้!”
ฉันขอเตะตูดนายสักทีได้ไหม?!
เขาไม่จำเป็นจะต้องมองหาต้นตอของเสียงก็รู้ว่ามาจากเจ้าตัวตลกหลินฮั่น อีกฝ่ายกำลังกวักมือเรียกเขาให้ไปนั่งกับตน ฉินเย่เพียงกลอกตาก่อนจะเดินไปนั่งที่ที่ว่างใกล้ ๆ
“สวัสดีครับคุณธี?” ชายคนหนึ่งในวัย 40 ที่นั่งอยู่ติดกับเขาเอ่ยขึ้น อีกฝ่ายดูสง่าผ่าเผย เขาสวมแว่นตาหนาเตอะและเสื้อสูทคอจีน แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น พลังที่แผ่ออกมารอบตัวของคนตรงหน้าก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าฉินเย่เลยแม้แต่น้อย ด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ชายวัยกลางคนยืนมือออกมา “ผมจ้าวไห่หลง เป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว จากนี้ไปขอฝากตัวด้วย”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นแทบจะกระอักเลือดออกมา คุณธีเนี่ยนะ?! เมื่อไหร่เขาจะสามารถขจัดความน่าอับอายนี้ไปได้เสียที?!
เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น ระงับความรู้สึกที่พลุ่งพล่านภายในใจและจับมือของอีกฝ่ายพร้อมกับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผม S9527 ฉินเย่ครับ”
S…ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วยุ่งทันที เห็นได้ชัดว่าเขาผงะไปเล็กน้อย
ไม่น่าเป็นไปได้…วันนั้นเราได้ยินผู้คนเรียกเขาว่าธีโมนี่ มันอาจจะยังพอเข้าใจได้หากเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มน้อย…หรือเราเข้าใจผิดไปเอง? ทำไมอีกฝ่ายถึงต้องเน้นขนาดนั้น?
ทุกคนในห้องบรรยายทั้งหมดกำลังพูดคุยกัน การรวมกลุ่มของผู้ฝึกตนขนาดใหญ่เท่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหล่าผู้ที่บรรลุคอขวดและกลายเป็นขั้นตุลาการนรกต่างรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ที่จะซ่อนตัวฝึกฝนอยู่หลังประตูที่ปิดสนิท วิธีที่ดีที่สุดในการก้าวหน้าก็คือการดึงจุดแข็งของกันและกันมาเสริมจุดอ่อนของตัวเอง
“โปรดอยู่ในความสงบ” เมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเก้าโมงตรง เสียงที่ดังสนั่นทำให้เสียงพูดคุยทั่วทั้งห้องบรรยายเงียบลงทันที
ร่างสองร่างลุกยืนขึ้นเบื้องหน้าของคนทั้งหมดและเดินไปที่โพเดียม
คนหนึ่งคือชายสูงวัยผมขาวที่สวมเสื้อคอจีนสีดำสนิทที่ปักด้วยลวดลายที่งดงาม และเขาดูธรรมดาอย่างหาที่เปรียบมิได้
ส่วนอีกคนหนึ่งคือชายวัย 60 ปี เขาดูราวกับเทพเจ้า ร่างกายผอมและเหี่ยวแห้ง พร้อมกับหนวดเครายาวเฟี้ยว เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวที่ปักเป็นลวดลายของต้นไผ่เขียวชอุ่มบนภูเขาที่เขียวขจี ดูน่าสนใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ไม่ได้มีความคิดที่จะดูถูกคนทั้งคู่เลยสักนิด
แม้จะมีรูปลักษณ์ที่ธรรมดา แต่ชายสูงวัยทั้งสองก็แผ่พลังที่ยิ่งใหญ่ราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก
เจ้าหน้าที่ขั้นยมทูตขาวดำ!
“ขอผมแนะนำตัวสักเล็กน้อยก็แล้วกัน ผมสวี่อันกั๋ว ผู้นำรุ่นที่ 23 ของกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนแห่งประเทศจีน ขอขอบคุณสำหรับความเชื่อใจและไว้ใจที่มีต่อกัน ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้อำนวยการของสำนักฝึกตนแห่งแรกของจีน”
ทันใดนั้นฉินเย่ก็ตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตัวเองที่ไม่ได้นั่งข้างตัวตลกหลินอั่น
เขาแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกของผู้ฝึกตนภายในแดนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย และเขาก็ไม่สามารถถามคำถามพวกนี้ก็คนที่เพิ่งรู้จักได้
ชายสูงวัยหนวดขาวแย้มยิ้มออกมาและเอ่ยต่อว่า “ผม หลี่เทา ผมเคยทำงานเป็นผู้อำนวยการของเว็บไซต์ ‘ฤกษ์มงคล’ จะบอกว่าผมเป็นคนสร้างเว็บไซต์นั้นขึ้นมาด้วยตัวเองจนมาถึงทุกวันนี้เลยก็ว่าได้ ผมไม่เคยเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และผมเองก็เป็นเกียรติมากเช่นกันที่จะได้เป็นรองผู้อำนวยการของสำนักฝึกตนแห่งแรกของประเทศ”
ในที่สุดฉินเย่ก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขากระแอมเล็กน้อยและถามจ้าวไห่หลงเสียงเบาว่า “สหายจ้าว พวกเขาเป็นใครหรือครับ?”
จ้าวไห่หลงมองหน้าฉินเย่อย่างประหลาดใจ แต่เขาก็ตระหนักได้ถึงอายุของฉินเย่อย่างรวดเร็วและพยักหน้าเบา ๆ “ธี….คุณฉิน คุณเพิ่งเข้ามาในหน่วยสอบสวนพิเศษสินะ? ผู้ฝึกตนเดี่ยวอย่างพวกเรานั้นกระจัดกระจายกันไปทั่วทุกที่ ทำให้โดยปกติแล้วพวกเราจึงไม่ค่อยได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยสอบสวนพิเศษมากเท่าไหร่”
…ใครคือธีคุณฉิน? นี่นายไม่ได้เล่นแม้แต่เกมคิงออฟกลอรีเลยหรือยังไง? ทำไมชื่อธีโมถึงไม่สร้างความประทับใจให้นายเลยสักนิดใช่ไหม?
จางไห่หลงไม่รู้ถึงคำตำหนิภายในใจของฉินเย่เลยสักนิด เขายังคงเอ่ยต่อว่า “มันเป็นเรื่องยากที่จะเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว พวกเราบางคนไม่แม้แต่จะสามารถหาวิธีเริ่มต้นบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะไม่ได้ กลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนแห่งประเทศจีนถูกก่อตั้งโดยกลุ่มผู้ฝึกตนเดี่ยวในยุคกลางของสมัยราชวงศ์หมิง น่าเสียดายที่เหล่าผู้ฝึกตนเดี่ยวในอดีตนั้นมีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำกว่าผู้ฝึกตนอื่น ๆ พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์มีปากมีเสียงอะไรนัก หากพูดกันตามตรง คุณสามารถถือได้ว่ากลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนแห่งประเทศจีนคือการรวมตัวกันของผู้ฝึกตนเดี่ยว”
ฉินเย่ยังคงไม่เข้าใจนัก “แล้ว…”
“แล้วผู้เฒ่าสวี่มีคุณสมบัติอะไรถึงถูกเลือกให้เป็นผู้อำนวยการน่ะหรือ?” จ้าวไห่หลงยิ้มบาง “แน่นอนว่าผู้ฝึกตนเดี่ยวนั้นมิได้แข็งแกร่งนัก แต่ผู้เฒ่าสวี่นั้นสามารถสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนมากมายในช่วงแรกของการก่อตั้งประเทศ เขาได้ทะลวงระดับขั้นและเลื่อนระดับพลังเป็นขั้นยมทูตขาวดำได้! นั่นคือตอนที่กลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนแห่งประเทศจีนที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักได้รับชื่อเสียง”
“และสิ่งที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือความมีไหวพริบ ในการทำธุรกิจและการจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของเขา เงินและอำนาจจะช่วยคุณในการประกอบอาชีพ ภายในระยะเวลาไม่กี่สิบปี กลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนแห่งประเทศจีนก็ได้เติบโตจนเป็นกลุ่มพันธมิตรหมายเลข 1 ในมณฑลหกแห่งบนแผ่นดินจีน เอาชนะวัด นิกาย และสำนักเต๋าที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ”
ในที่สุดฉินเย่ก็เข้าใจทุกอย่าง
ผู้ที่ไม่แข็งแกร่งก็สามารถเป็นผู้อำนวยการได้
แต่คนคนนั้นจะต้องเป็นคนดี สามารถสนับสนุนและแย่งชิงทรัพยากรได้
เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนคนอื่นที่สามารถทำได้เพียงก้มหน้าอยู่แต่กับเส้นทางแห่งการบ่มเพาะของตัวเอง อย่างน้อยที่สุด…ประวัติของสวี่อันกั๋วก็ถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างมาก เหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการอย่างแท้จริง
“ถ้าอย่างนั้น….แล้วเว็บไซต์ฤกษ์มงคลล่ะ?”