ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 9 การตรัสรู้ของพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์
บทที่ 9 การตรัสรู้ของพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์
ยายเมิ่งพาฉินเย่มาที่สะพานไน่เหอ
ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงตกอยู่ในความเงียบ ตรงหน้าของทั้งคู่คือสะพานอันงดงามที่ทำให้มุมมองของเขาที่มีต่อนรกนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง มันจะเป็นภาพที่งดงามแค่ไหนกันถ้าสะพานทั้งเส้นนั้นเต็มไปด้วยดวงวิญญาณมากมาย รวมทั้งเหล่าผู้คุมของโลกใต้พิภพ ยมทูตหัววัวหัวม้า ยืนคุมอยู่ที่นี่ด้วยพร้อมกับถืออาวุธของพวกเขา?
เมื่อทั้งคู่เดินไปตามสะพาน ยายเมิ่งก็ใช้นิ้วของนางไต่ไปตามราวสะพาน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ นางก็ถอนหายใจออกมาอ่อนล้า “ลองมองลงไปด้านล่างสิ”
ฉินเย่จึงยืนหน้าออกไปมองอย่างระมัดระวัง สิ่งเดียวที่เขารู้สึกในตอนนี้ก็คืออยากให้คอของตัวเองยาวขึ้นสักหนึ่งเมตร
“…ความกล้าหาญที่ควรจะมีของจ้าวนรกหายไปไหนหมด?” ยายเมิ่งเอ่ยเสียงดัง
“ข้ากลัวความสูง” ฉินเย่เอ่ยตอบอย่างไร้เดียงสา
หญิงชรามึนงง นี่นางแต่งตั้งใครมาเป็นผู้ดูแลสูงสุดของนรกกัน?
กลัวทั้งความตายและความสูง แถมยังเจ้าเล่ห์มากแผนการ นี่เจ้าช่วยหาข้อดีของเจ้าสักข้อมาทำให้ทุกอย่างมันสมดุลกันได้หรือเปล่า?
ด้วยมือที่จับราวสะพานแน่น ฉินเย่ก้มหน้าลงไปมองด้านล่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าเต็มปอด
ด้านล่างของพวกเขา…มันคือดินแดนรกร้างอย่างสิ้นเชิง
มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน กระท่อมและบ้านเรือนที่ทรุดโทรมถูกสร้างขึ้นแบบลวก ๆ แถมยังมีเศษซากโคมไฟสีแดงที่ดับแล้วที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกที่ ในขณะเดียวกันมันยังมีก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนที่ร่วงลงเหนือพื้นดินอย่างต่อเนื่องราวกับดาวตก แถมฉินเย่ยังเห็นซากศพขนาดใหญ่นอนตายอยู่ไกล ๆ ด้วย!
เขาไม่สามารถบอกได้เลยว่ามันคือศพของอะไรหรือว่าใหญ่ขนาดไหน แต่เขาสามารถบอกได้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตที่คล้ายงูที่กระดูกสันหลังงอกออกมาจากหมอกหนาและทอดยาวออกไป ทุกอย่างที่อยู่ด้านล่าง…ดูราวกับเมืองใหญ่ที่ถูกอสรพิษขนาดใหญ่ทำลายล้าง
นิ้วมือของยายเมิ่งกำราวสะพานของสะพานไน่เหอแน่นขณะที่เอ่ยเสียงด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นานมากแล้ว…แม่น้ำแห่งความหลงลืมก็เคยไหลอยู่ภายใต้สะพานเส้นนี้เช่นกัน มันถูกรู้จักในชื่อของน้ำพุเหลือง”
“แต่ตอนนี้มันไม่มีอะไรเหลือแล้ว เจ้ารู้หรือเปล่าว่าสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับงูที่เจ้าเห็นเรียกว่าอะไร?” นางหลับตาก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “มันคือราชันอัคคีแห่งทิศทักษิณ หรืออีกชื่อหนึ่งคือจู้หรง [1] ถ้าเจ้าย้อนอดีตกลับไปสัก 500 ปี เจ้าจะเห็นเทียนที่กำลังลุกไหม้อยู่หนึ่งเล่ม แสงของมังกรประทีป ส่องสว่างไปทั่วทุกที่ และมันก็เป็นแหล่งกำเนิดแสงสว่างเพียงแห่งเดียวของนรก แต่มันกลับตายไป และตั้งแต่นั้นมาแสงสว่างก็ดับลงเช่นกัน…นรกกลายเป็นอย่างที่เจ้าเห็นอยู่ในตอนนี้…”
หรือว่า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมทุกอย่างถึงถูกล้อมรอบไปด้วยหมอกดำหนาในตอนแรกที่เรามาถึง?
ฉินเย่อ้าปากเล็กน้อย มองดูกลุ่มหมอกรอบ ๆ อย่างตกตะลึง ผู้กรรเชียงเรือจากไปแล้ว ยายเมิ่งกลับเดินทางไปที่โลกมนุษย์ แม้แต่จู้หรงเองก็ตายไปแล้วเช่นกัน!
สายลมพัดผ่านไปทั่วดินแดนนำมาซึ่งเสียงกรีดร้องอันโหยหวนของเหล่าวิญญาณและร่องรอยแห่งการทำลายล้างมาพร้อมกัน
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับนรกเนี่ย?
“เจ้าคงจะสงสัยสินะว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?” หญิงชราเอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “ความจริงก็คือ…ไม่ใช่แค่จู้หรงเท่านั้น แต่ทั่วทั้งนรก…ถูกลบล้างออกไปตั้งแต่ร้อยปีก่อนแล้ว….”
นางโบกมือเล็กน้อย และหมอกตรงหน้าก็ค่อย ๆ สลายตัวไป บางลง….บางลง…หลายนาทีต่อมา ฉินเย่ก็อ้าปากค้าง เดินถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างตกตะลึงขณะที่มองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของสะพานแห่งความจนใจอย่างตื่นตระหนก
“นั่นคือที่ตั้งของนครวิญญาณ มันยังเป็นที่รู้จักในนามศูนย์กลางของนรกด้วย ซึ่งนั่นคือในอดีต” หญิงชราก้มหน้าลงและเอ่ยเสียงสั่น
ฉินเย่แทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็กำลังมองไปยังตำแหน่งที่ตั้งเดิมของนครวิญญาณ แต่สิ่งเดียวที่เขาเห็นตอนนี้คือแหล่งกำเนิดรัศมีแห่งโพธิ์ที่เปล่งประกายเจิดจ้าไปทั่วทุกที่! พระพุทธรูปทองคำลอยอยู่เหนือพื้นดิน!
ฉินเย่ไม่แน่ใจว่ามันใหญ่หรือสูงขนาดไหน แต่พระพุทธรูปตรงหน้าของเขามีรูปดอกบัวสลักอยู่ระหว่างคิ้วทั้งสองข้างและถือไม้อักขระสองห่วงใหญ่ไว้ด้วยมือขวา ปลายสุดของพระพุทธรูปนั้นสูงเสียดฟ้าและฐานก็กว้างเหมือนกับผืนดิน พื้นที่โดยรอบมีดอกบัวสีทองจำนวนนับไม้ถ้วนงอกขึ้นมาเต็มไปหมด แต่พวกมันก็ตายไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอาณาจักรแห่งพระพุทธได้เกิดขึ้นในนรกแล้ว!
นครวิญญาณกลายเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่แบบนี้ได้ยังไง?
นี่มันแปลกชะมัด!
กลุ่มหมอกที่อยู่โดยรอบเริ่มแปรปรวนอีกครั้ง มันค่อย ๆล้อมรอบและปกคลุมพระพุทธรูปเอาไว้ เมื่อภาพตรงหน้าถูกบดบัง ฉินเย่ก็ค่อย ๆ ฟื้นจากความตื่นตระหนกจากสิ่งที่ตัวเองเห็น ทันใดนั้น ราวกับถูกซัดเข้าด้วยความศักดิ์สิทธิ์นั้น เขาก็เอ่ยออกมา “‘หากตราบใดที่นรกยังไม่ว่างเปล่า ตราบนั้นก็จะไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ’ ?”
“นี่มัน…พระพุทธรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ [2]?”
ถ้าหากนรกจะมีพระโพธิสัตว์สักองค์ มันก็จะต้องเป็นพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ หนึ่งในสี่มหาโพธิสัตว์
“ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ผู้สูงส่ง” ผมของยายเมิ่งเริ่มปลิวไสวขณะที่นางมองฉินเย่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าพูดถูก พระองค์ได้ปฏิญาณเอาไว้ว่าจะช่วยดวงวิญญาณทุกดวงให้ได้ก่อนที่ตัวเองจะตรัสรู้…แต่…การที่มีพระพุทธรูปของพระองค์อยู่ที่นี่ มันก็หมายความว่าพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้า…เข้าใจความหมายของมันหรือเปล่า?”
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ วินาทีนั้นแผ่นหลังของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เพราะว่าได้ช่วยดวงวิญญาณทุกดวง และในนรกก็ไม่เหลือดวงวิญญาณอื่นเหลืออยู่อีก พระองค์ถึงตรัสรู้…
แล้วถ้าอย่างนั้น ตอนนี้…ใครจะเป็นคนดูแลนรกกันล่ะ?!
และเหมือนว่าหญิงชราจะรู้ความคิดของฉินเย่ ยายเมิ่งหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเสียงแหบแห้ง “ไม่มีหรอก…มันเป็นแบบนี้มาตลอดร้อยปีที่ผ่านมา และตอนนี้มันก็ไม่เหลือเค้าโครงเดิมของนรกเหลืออยู่อีกแล้ว”
ครืนนน!
ประโยคนี้เป็นเหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาและปัดเป่าหมอกหน้าในหัวของเขาออกไปจนหมด ทุกอย่างที่เขาสงสัยอยู่ในหัวล้วนได้รับคำตอบที่ลงตัว
เพราะพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ตรัสรู้ นรกจึงว่างเปล่า แม้แต่สิ่งมีชีวิตในตำนานอย่างมังกรประทีปและผู้กรรเชียงเรือต่างก็จากไป และเมื่อไม่มีสถานที่ให้ไป มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เหล่าผีร้ายและดวงวิญญาณจำนวนมากจะไปที่โลกมนุษย์ และเป็นเหตุของการเกิดเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหมด
ฉินเย่ไม่สามารถเข้าใจความยิ่งใหญ่ในตอนที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นครั้งแรกได้ แต่มันเห็นได้ชัดแล้วว่าผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในนรก จะต้องทำให้ตราจ้าวนรกได้รับความเสียหาย และกระจัดกระจายเศษส่วนของมันไปทั่วโลกมนุษย์
ภายในหัวของชายหนุ่มตื้อไปหมด ยายเมิ่งเพียงหันกลับมามองสะพานไน่เหอที่ยังคงว่างเปล่าและเอ่ยต่อเบา ๆ “เจ้าควรจะขอบคุณที่มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นนะ เพราะวินาทีที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้ตรัสรู้ พระองค์ยังได้ปลดปล่อยวิญญาณร้ายจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในส่วนลึกของนรกด้วย ดวงวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดได้ถูกพระองค์ปลดปล่อยไปแล้ว อย่างไรก็ตาม…ทั้งจ้าวนรก ฝู่จวิน ตุลาการนรก และนักล่าวิญญาณทั้งหมดเองก็ล้วนได้รับชะตากรรมเดียวกัน ซึ่งมันทำให้มีดวงวิญญาณสะสมเพิ่มมากขึ้น พอปราศจากความช่วยเหลือของนรกและเหล่ายมทูต วิญญาณจำนวนมากล้วนต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนเป็นธรรมดา และภายใต้ปัจจัยหลายอย่าง ดวงวิญญาณส่วนน้อยที่เหลืออยู่ก็จะกลายเป็นวิญญาณร้ายไปในที่สุด”
“วิญญาณร้ายพวกนี้ฉลาดมากพอ พวกมันรู้จักความกลัว มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกมันจะกลัวว่าพวกยมทูตดำขาว ยมทูตปฏิบัติการ ยมทูตหัววัวหน้าม้าจะสร้างนรกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น….ไม่มีสิ่งไหนสามารถหยุดการดำเนินไปของเวลาได้ หลังจากผ่านไปร้อยปี ดวงวิญญาณพวกนี้ก็ไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้อีกต่อไป”
จากนั้นนางจึงหันไปมองหน้าฉินเย่ “ข้าใช้เวลากว่าสิบปีในการตามหาเจ้า หลังจากที่ได้กินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไป ตัวตนของเจ้าจึงถูกปฏิเสธจากทั้งโลกมนุษย์และนรก ถึงแม้ว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ทั้งสองภพได้ก็ตาม หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือจุดเริ่มต้นของเจ้านั้นสูงกว่าผู้อื่นมาก ๆ อย่างเช่นพวกที่สามารถมองเห็นผีหรือสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือธรรมชาติ ดังนั้นเจ้าจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะรับหน้าที่นี้”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉินเย่ก็เตรียมที่จะเอ่ยปฏิเสธ แต่ยายเมิ่งกลับส่ายหน้าและเอ่ยต่อ “เจ้าไม่สามารถปฏิเสธได้ เมื่อข้าจากไป มันจะไม่มีเทพเหลืออยู่ในนรกอีกต่อไป และสิ่งมีชีวิตอย่างเจ้าที่อยู่ทั้งสองภพจะตาย หรือถ้าเจ้าไม่สนใจ…เราก็คงต้องปล่อยให้การถือกำเนิดของวิญญาณร้ายอย่างผีซาดาโกะและผีแม่ม่ายเป็นไปตามเวลาเท่านั้น”
“นรกว่างเปล่าและผีร้ายทั้งหมดก็เดินทางไปที่โลกมนุษย์”
ไร้เสียงตอบรับใด ๆ
ฉินเย่ไม่คิดมาก่อนว่าข้อสรุปของเขาจะห่างจากความจริงไปมาก นี่มันไม่ใช่แค่การหยุดทำงานเฉย ๆ แล้ว ตอนนี้มันไม่มีนรกอยู่อีกแล้วต่างหาก!
แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่…
ดูสิ ทั้ง ๆ ที่พวกท่านมีที่ดินตั้งมากมาย แต่พวกท่านกลับยังเลือกที่จะวางระเบิดไว้กลางบ้านของตัวเอง นี่มันเป็นการทำร้ายตัวเองชัด ๆ เลยไม่ใช่เหรอ?
เอาล่ะ ในที่สุดมันก็ระเบิดแล้ว…ไม่สิ มันไม่สำคัญว่ามันจะระเบิดหรือเปล่า สิ่งที่สำคัญก็คือมันส่งผลกระทบกับชีวิตของเขา ทั้ง ๆ ที่ข้าแค่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ คิดเรื่องของตัวเอง แต่ข้ากลับถูกดึงเข้ามาอยู่ในความหายนะนี้ด้วย พวกท่านคิดว่าข้าจะยังสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อยู่อีกหรือเปล่าเนี่ย?!
โดยเฉพาะตอนนี้ที่ข้าต้องมาเก็บกวาดทุกอย่างที่พวกท่านทำไว้เนี่ย!!
“อืม….แล้วถ้าข้าบอกท่านว่าข้าไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องวิศวกรรมโยธาเท่าไหร่ล่ะ….”
หญิงชราทำหน้าสงสารก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าที่ขรึมขึ้น “ไม่ต้องห่วงโก่วต้าน เพราะเจ้ายังเหลือเวลาในโลกมนุษย์อยู่อีกสามวัน”
พระเจ้า!! #$&#*&(&#$)@#!!
ฉินเย่จึงทำได้แค่ถอนหายใจออกมาอย่างยอมจำนน “แล้วยังไง? ข้าต้องทำอะไร? ท่านจะช่วยข้าใช่หรือเปล่า?”
ยายเมิ่งหัวเราะเศร้า ๆ “ข้าอดทนมานานมากแล้ว มากจนสามารถรอให้ผู้ที่มีความสามารถมากพอ ในการจะสร้างนรกขึ้นมาใหม่อีกครั้งปรากฏตัวขึ้น… และในเมื่อตอนนี้เจ้ามาที่นี่แล้ว….อีกไม่นานข้าก็คงจะจากไปได้สักที…”
สายตาของฉินเย่ที่มองไปยังหญิงชราปรากฏความไม่พอใจทันที แต่สีหน้าของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาระงับความไม่พอใจและกลืนคำพูดทั้งหมดกลับไปทันที ยายเมิ่งปรับสีหน้าของตัวเองก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่ต้องห่วง…การพาคนมายังนรกนั้นเป็นหน้าที่สำหรับพวกใช้แรงงาน แต่เจ้าคือจ้าวนรกคนสุดท้าย ตราบใดที่เจ้าระมัดระวังพอและไม่ไปล้ำเส้นของพวกที่อยู่ระดับเหนือกว่าตัวเองเข้า นรกก็จะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งทันทีที่เจ้าหาสมบัติชิ้นแรกเจอ เมื่อถึงเวลานั้น รากฐานของทุกอย่างก็จะถูกวาง และทุกอย่างก็จะกลับมามั่นคงอีกครั้ง”
“…ท่านแน่ใจใช่หรือไม่ว่าข้าจะปลอดภัย?”
“…ทั้ง ๆ ที่เจ้าคือคนที่กินเห็นเทียนสุ่ยเข้าไป เจ้าช่วยแสดงความกล้าหาญที่จ้าวนรกควรจะมีบ้างไม่ได้หรือไง?”
“…แล้วความกล้ามันสำคัญเท่ากับการเอาชีวิตรอดหรือเปล่าล่ะ?”
ช่างมันเถอะ…ยังไงตอนนี้มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว…
ยายเมิ่งสูดหายใจเข้าลึก ๆ อยู่สองสามครั้งเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ไม่ต้องห่วง…ตอนนี้ พ่อของหวังเฉิงห่าวคือคำใบ้ที่สำคัญที่สุดของเจ้า อย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องระวังให้ดี เศษตราจ้าวนรกแต่ละชิ้นบรรจุกลุ่มก้อนพลัง หยินอันไร้ขอบเขตของนรกที่มีอายุนับพันปีอยู่ หากพูดในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เศษตราจ้าวนรกแต่ละชิ้นจะมีจิตวิญญาณที่ทรงพลังพอ ๆ กับวิญญาณร้ายที่ทรงพลังมากอยู่ พวกมันอาจจะหวาดกลัวข้า แต่พวกมันจะต้องไม่กลัวเจ้าแน่นอน….”
หลังจากเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง นางก็เอ่ยต่อ “และเศษตราชิ้นแรกก็จะนำพาเจ้าไปยังเศษตราชิ้นที่สอง และเศษตราชิ้นที่สอง…ก็จะนำพาเจ้าไปยังชิ้นต่อไป”
ฉินเย่รู้สึกได้ว่าหางตาของเขากระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ไม่ใช่ว่าท่านพูดว่าเราจะร่วมมือกันเหรอ? ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงเกิดแบ่งทีมแบบนี้ล่ะ?
สีหน้าของฉินเย่แสดงออกถึงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็แบมือ…ทันใดนั้นม้วนกระดาษสีทองก็ปรากฏขึ้นมา มันถูกมัดไว้ด้วยเชือกสีแดง และมีพลังหยินหลั่งไหลออกมาจำนวนมาก ฉินเย่รู้สึกได้ว่าขนของเขาลุกชันหลังจากที่ได้เห็นม้วนกระดาษแม้เพียงเล็กน้อย
“คัมภีร์อัญเชิญราชันย์วิญญาณทั้งหก” ยายเมิ่งกำม้วนคัมภีร์ในมือแน่น “รูปแบบการปกครองของนรก หนึ่งจ้าวนรก 10 ศาลลงทัณฑ์ 18 ขุมนรก และราชันย์วิญญาณทั้งหก ทั้งหมดนี้คือเหล่าบุคคลผู้มีชื่อเสียงในนรก และการเอ่ยนามของพวกเขาก็สามารถทำให้วิญญาณหลายดวงหวาดกลัวและหนีไป คัมภีร์ม้วนนี้จะช่วยให้เจ้าสามารถอัญเชิญหนึ่งในราชันย์วิญญาณทั้งหกออกมาได้ แต่มันใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว”
คาถาอัญเชิญเหรอ?
นั่นค่อยเข้าใจง่ายขึ้นมาหน่อย
“ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่มีโอกาสได้มอบมันให้เจ้า” ยายเมิ่งเอ่ยขณะมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “จำเอาไว้ให้ดีเจ้าจะสามารถอัญเชิญราชันย์วิญญาณทั้งหกออกมาได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ ทุกอย่างที่เจ้าต้องรู้เกี่ยวกับนรก รวมทั้งประเภทของดวงวิญญาณ ระดับของเจ้าหน้าที่ในนรก รางวัลสำหรับคุณงามความดี และเรื่องอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนถูกเขียนเอาไว้ในตำราที่ข้าวางเอาไว้ใต้หมอนของเจ้าแล้ว”
ฉินเย่รับม้วนคัมภีร์จากอีกฝ่ายมาถือไว้ในมือ ทันทีที่มือของเขาสัมผัสกับมัน เขาก็มองเห็นประกายแสงสีทองเปล่งออกมาจากร่างของหญิงชรา ก่อนที่มันจะค่อย ๆ จางไปอย่างรวดเร็ว
แสงสีทองนั้นคือสัญลักษณ์แห่งโพธิ์ สีหน้าของยายเมิ่งแสดงออกถึงความสงบ ขณะที่ไล่สายตาไปตามร่างกายของตัวเอง นางก็ถอนหายใจออกมา “ในที่สุดก็ถึงเวลา….”
ราวกับเพิ่งเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ฉินเย่เอ่ย “ท่าน….”
“มนุษย์มีวิถีทางของพวกเขา และดวงวิญญาณก็มีสะพานแห่งความจนใจ คนเป็นและวิญญาณมีทางเดินที่แตกต่างกัน ตัวข้านี้อยู่ในดินแดนมนุษย์มานานเกินไปแล้ว” ในที่สุดสีหน้าของยายเมิ่งก็แสดงออกถึงความใจดี “เด็กน้อยเอ๋ย….อย่าซ่อนตัวภายใต้หน้ากากพวกนั้นอีกเลย เหล่าผู้ที่กินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไปและใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์เป็นเวลานานไม่มีผู้ได้เหมือนเฉกเช่นเจ้า ตำแหน่งจ้าวนรกคนสุดท้ายที่ข้ามอบให้เจ้าก็เป็นการรักษาความปลอดภัยให้ตัวของเจ้าเอง ดังนั้น….จงเลิกหลบซ่อนและเป็นตัวของตัวเองเถิด….”
“กลับไป…กลับไปยังโลกของเจ้า โลกมนุษย์กำลังตกอยู่ในกลียุคครั้งใหญ่ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง การตามหาเศษตราจ้าวนรกไม่เพียงจะเพื่อนรกเท่านั้น….แต่มันยังเพื่อตัวเจ้าเองด้วย…”
ก่อนที่หญิงชราจะเอ่ยจบ นางก็กลายร่างเป็นผีเสื้อสีดำที่กางปีกห่อหุ้มร่างของฉินเย่ก่อนจะบินขึ้นไปบนฟ้า
ฟิ้ว…หน้าผากของชายหนุ่มเริ่มปะทะเข้ากับกระแสลมรุนแรง เขากำคัมภีร์อัญเชิญราชาวิญญาณทั้งหกในมือแน่นขณะที่หันกลับไปมองที่นรก พระพุทธรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า ในขณะที่พื้นดินส่วนที่เหลือกลับรกร้างและถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำ
ในที่สุดเราก็จะได้ไปจากที่นี่แล้วสินะ….
“….ข้าล่ะเกลียดเรื่องยุ่งยากที่สุดเลย” ฉินเย่เอ่ยนิ่ง ๆ พร้อมกับกางม้วนคัมภีร์ออกดู จากนั้นจึงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “มันลำบากจริง ๆ นะ….ทั้ง ๆ ที่ข้าใช้ชีวิตในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาอย่างสงบสุขขณะที่ฝึกฝนร่างกายไปด้วย ทำไมอยู่ดี ๆ ท่านต้องหาเรื่องมาให้ข้าแบบนี้ด้วยเนี่ย?”
“ท่านจะปล่อยให้ข้าใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหน่อยไม่ได้หรือไง”
ฉินเย่เอ่ยพร้อมกับส่ายหน้าอย่างยอมจำนวน ผีเสื้อสีดำยังคงบินขึ้นไปเรื่อย ๆ และยิ่งบินขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ ทัศนียภาพที่ฉินเย่มองเห็นก็ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ เขาหันไปมองนครวิญญาณ ต่อด้วยสะพานไน่เหอ จากนั้นจึงละสายตาไปมองที่สะพานกระดูก และทันใดนั้นเขาก็ต้องตัวสั่นอย่างหวาดกลัว
ผม!…..
เส้นผมจำนวนมากแผ่ออกมาจนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าราวกับน้ำทะเลที่ทะลักออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของเหวแทบจะในวินาทีเดียวกันกับที่ยายเมิ่งหายตัวไป จากนั้นมันก็พุ่งตรงไปที่สะพานไน่เหอ!
[1] จู้หรง มีอีกชื่อ ราชันอัคคีแห่งทิศทักษิณ เทพแห่งไฟเดิมทีมีนามจ้งหลี ต่อมาย้ายไปอยู่เมืองจู้หรง จึงมีอีกชื่อตามที่อยู่ใหม่ เล่ากันว่า จู้หรงใบหน้าเป็นมนุษย์ แต่ร่างกายเป็นสัตว์เมื่อยี่ว์หวงต้าตี้ ส่งมาดูแลเรื่องฟืนไฟในโลกมนุษย์แล้ว ภารกิจประจำที่จู้หรงทำทุกวันคือการขี่มังกรสองตัว ออกตรวจตราอยู่บนท้องฟ้าแต่ก็มีเรื่องต่อว่า ต่อมาจู้หรงก็เบื่องานขี่มังกรบนท้องฟ้า หันมาใช้ชีวมนุษย์ธรรมดา นั่งบำเพ็ญภาวนาบูชาเตาไฟอยู่ในบ้าน หวังชีวิตเป็นอมตะ ไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในโลก
อ้างอิง: (https://www.thairath.co.th/content/491061)
[2] ตี้จ้างหวังผู่ซา หรือพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้รับมอบหมายจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าให้เป็นผู้แสดงธรรมโปรดสัตว์ในกามภูมิ 6 ในช่วงที่พระองค์ปรินิพพานไปแล้วและพระศรีอริยเมตไตรยยังไม่ได้ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
อ้างอิง: (https://th.wikipedia.org/wiki/พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์)