ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 99: สิ่งที่ไม่คาดคิด (1)
บทที่ 99: สิ่งที่ไม่คาดคิด (1)
บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท
ผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยอะไร ไม่ว่าจะอายุน้อยหรืออายุมากต่างก็กำลังเคลื่อนไหวไปมาเพื่ออบอุ่นร่างกายของตัวเอง มีบางครั้งที่เขาเห็นกระดิ่งทองแดงหรือยันต์เปล่งประกายสีขาวอ่อน ๆ ของพลังที่แท้จริงของพวกมันออกมา
ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้น เขาประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันและเริ่มยืดแขนเพื่อดัดข้อนิ้วของตัวเอง
จงฟังให้ดีเจ้าพวกอ่อนหัด! วันนี้ ฉันจะทำให้พวกนายได้เห็นพลังของอัจฉริยะที่แท้จริง ผู้ที่ปัดเป่าเขตไล่ล่าทั้งเก้าเขตได้ภายในคืนเดียว!
และขณะที่เขากำลังยืดกล้ามเนื้อของตัวเองนั้น เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง “คุณฉิน”
เมื่อฉินเย่หันหลังกลับไปเขาก็พบว่าเป็นซู่เฟิงนั่นเองที่ยืนอยู่ด้านหลังตน ซู่เฟิงดีดนิ้ว
“มีอะไรหรือเปล่า?”
คนตรงหน้าไม่ตอบ กลับกัน ซู่เฟิงมองไปรอบๆก่อนจะเอ่ยและขยับตัวเข้าใกล้ฉินเย่พร้อมกระซิบเสียงเบา “คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมวันนี้ทุกคนถึงดูกระตือรือร้นนัก?”
และก่อนที่ฉินเย่จะได้ตอบอะไร เขาก็เอ่ยต่อว่า “มันก็เป็นแค่การแข่งขันจัดอันดับ และมันก็ย่อมไม่เป็นไรอยู่แล้วหากคุณทำพลาดไป แต่คุณคิดว่าทำไมทุกคนถึงมาที่นี่ในวันนี้?”
“แน่นอน มันก็ต้องเป็นเพราะว่าการจัดอันดับครั้งนี้มีความเกี่ยวโยงกับการแจกจ่ายทรัพยากรการฝึกตนน่ะสิ” ฉินเย่ขมวดคิ้วและมองหน้าซู่เฟิง “คุณคงไม่ได้มาหาผมเพียงเพื่อที่จะบอกให้ผมรู้ในสิ่งที่สามารถเห็นได้ชัดอยู่แล้วหรอกนะ?”
ซู่เฟิงยิ้มและส่ายศีรษะไปมาพร้อมกับกระซิบว่า “นั่นมันแค่มุมเดียวเท่านั้น สาระสำคัญที่ผมอยากจะบอกก็คือ: มันยังมีกฎข้อบังคับที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่เบื้องหลังการดำเนินงานของสำนักฝึกตนแห่งแรก สถานที่แห่งนี้อาจจะดูเหมือนกับเป็นสรวงสวรรค์ แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้ต่างอะไรกับแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์เลยสักนิด แม้ว่าจะเป็นรูปแบบที่อ่อนกว่ามากก็ตาม”
“ยกตัวอย่างเช่น มันมีระบบรวบรวมคะแนนและคะแนนทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละภาคการศึกษา หรือข้อเท็จจริงที่ว่าคะแนนพวกนั้นจะได้รับมาจากงานที่ได้รับมอบหมายและงานที่สำเร็จลุล่วง หรือวิธีการที่พวกผู้บริหารคอยดูการพัฒนาของเหล่านักเรียนแต่ละคนอย่างใกล้ชิดภายใต้การดูแลของอาจารย์แต่ละคน และนอกจากนี้ มันยังมีการประเมินการปฏิบัติงานในแต่ละวัน รวมไปถึงการเรียนการสอนของครูผู้สอนอีก ทางสำนักไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยสักนิด แต่หากคุณคิดว่าชีวิตของคุณจะดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเมื่อเข้ามาที่นี่แล้วละก็ คุณคิดผิด”
“เหล่าพวกผู้บริหารต่างมีบรรทัดฐานอยู่ในใจ พวกเราเป็นอาจารย์กลุ่มแรก หน้าที่ของเราก็คือการประเมินและให้คะแนนนักเรียน และหน้าที่ของพวกระดับสูงก็คือประเมินและให้คะแนนพวกเราอีกที แต่หัวหน้าสาขา…อาจจะได้รับสิทธิพิเศษภายใต้ข้อบังคับพวกนี้ และการที่คุณจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นอาจารย์ที่มีความสามารถหรือไม่นั้นก็จะขึ้นอยู่กับการสอบปลายภาคของภาคการศึกษาแรก เชื่อเถอะ ในหมู่คนที่คุณเห็นในตอนนี้จะค่อย ๆ หายไป และคุณก็จะได้เห็นพวกหน้าใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ”
สิทธิพิเศษภายใต้ข้อบังคับพวกนี้อย่างนั้นหรือ?
คำพูดของคนตรงหน้านั้นสามารถสื่อได้หลายความหมาย ฉินเย่จึงหรี่ตาลงและถามต่อว่า “อย่างเช่น?”
“อย่างเช่น…อาจจะมีส่วนลดเพิ่มเติมสำคัญการแลกคะแนนจากทางสำนัก”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาเข้าใจถึงเป้าหมายที่แท้จริงของสำนักฝึกตนมากขึ้นแล้ว
ทางสำนักได้เปิดเผยเพียงภาพรวมเท่านั้น พวกเขาได้ละทิ้งรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ เพื่อให้เหล่าอาจารย์ได้ตัดสินใจและคิดต่อด้วยตัวเอง พวกที่เลือกจะสร้างความวุ่นวายจะไม่มีทางเข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิ์และอำนาจที่แท้จริงที่มาพร้อมกับการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ได้
“ที่คุณมาบอกเรื่องนี้กับผมก็เพราะสำนึกผิดเหรอ?” เขายิ้มให้กับซู่เฟิง “นี่คือคำขอโทษสำหรับข่าวปลอมก่อนหน้านี้?”
หัวใจของซู่เฟิงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทันที
นายรู้หรือเปล่าว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่สมควรพูดมันออกมา? ทำไมนายถึงต้องพูดมันออกมาด้วยเนี่ย? ต้องการจะตบหน้าฉันหรือไง? นายนี่…รู้หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นคนที่มารยาทแย่มาก ๆ?
“ผมก็แค่มาบอกด้วยความหวังดีเท่านั้น ช่วยจำไว้ด้วยว่าทีมเปลวเพลิงทั้งหมดเองก็อยู่สาขาเดียวกับคุณ และตอนนี้เราก็มีกันแค่ห้าคนเท่านั้นในสาขา” ซู่เฟิงพึมพำ
“แล้ว?”
“คุณฉิน พวกเรารู้ดีว่าคุณแข็งแกร่ง แต่พวกเราก็จะพยายามเต็มที่เช่นกัน ดังนั้นคุณไม่จำเป็นจะต้องเห็นแก่หน้าของพวกเรา” ซู่เฟิงเอ่ยขึ้นและเดินจากไป
ฉินเย่เพียงยักไหล่เบา ๆ
นายคิดมากเกินไปแล้วที่รัก ทำไมฉันจะต้องเห็นแก่หน้าของนายด้วย? ฉันน่ะเป็นพวกขี้เหนียว…ไม่สิ เรียกว่าคนที่มีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว ฉันจะไปใช้อำนาจในหน้าที่การงานของตัวเองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวได้อย่างไรกัน?
“ไม่ต้องห่วง หากเป็นไปได้ ผมจะเคลื่อนไหวเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
09.00 น. ร่างสองร่างก้าวขึ้นมาบนเวทีอย่างช้า ๆ ทั้งคู่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อำนวยการสวี่อันกั๋วและรองผู้อำนวยการหลี่เทา
สวี่อันกั๋วมองไปรอบ ๆ อย่างใจเย็น จากนั้นจึงปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของขั้นนักล่าวิญญาณของตนออกมา ทันใดนั้น บรรยากาศโดยรอบทั้งหมดพลันตกอยู่ในความเงียบ….
“เยี่ยมมาก ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่” รอยยิ้มที่ลึกซึ้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่เทา “ดูเหมือนว่าพวกคุณจะฉลาดไม่น้อย”
“ครั้งนี้จะไม่มีความหรูหราใด ๆ ไม่มีพิธีการ ไม่มีการกล่าวทักทาย และไม่มีเสียงเชียร์ของผู้ชม ทุกท่านสามารถผ่านคลายได้เนื่องจากมันเป็นเพียงการแข่งขันภายในเท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องจริงจังจนเกินไป สิ่งเดียวที่พวกคุณต้องทำก็คือปฏิบัติตามกฎของการแข่งขัน เอาล่ะ ดูเหมือนว่าทุกคนจะอบอุ่นร่างกายของตัวเองแล้ว ดังนั้น…ผมขอพูดถึงกฎข้อบังคับทั้งสองข้อของเราเสียก่อน….”
“ข้อแรก เราไม่ต้องการให้มีการบาดเจ็บร้ายแรงใดๆเกิดขึ้นที่นี่” หลี่เทาลูบเคราของตนและฉีกยิ้มกว้าง “ข้อที่สอง พวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ไปประลองกันเป็นการส่วนตัว ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม การจัดการประลองส่วนตัวถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามภายในสำนักแห่งนี้ พวกเราไม่ต้องการที่จะให้พวกคุณเก็บความเก็บงำความเสียใจเอาไว้เพียงเพราะการแข่งขันเล็ก ๆ ในวันนี้ เพราะมันอาจจะส่งผลต่อหน้าที่การงานของพวกคุณในอนาคต ผู้อำนวยการสวี่ครับ…”
เขามองไปยังสวี่อันกั๋วและยิ้มออกมา “เรามาเริ่มกันเลยดีไหมครับ?”
สวี่อันกั๋วจึงหันไปพยักหน้าให้กับอีกฝ่ายพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า “เริ่มกันเลยเถอะ ตาแก่คนนี้ทนรอไม่ไหวแล้ว ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นอัจฉริยะขั้นนักล่าวิญญาณที่อายุต่ำกว่า 35 ปีและยังเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ S ด้วย ผมเองก็อยากจะเห็นความสามารถของเด็กรุ่นใหม่ด้วยตาของตัวเองเช่นกัน”
หลังจากเอ่ยจบ ทั้งสองก็เดินไปลงจากเวทีด้วยกัน ทว่าขณะที่พวกเขาเดินลงไปถึงขั้นสุดของบันได สวี่อันกั๋วก็เอ่ยขึ้นว่า “อ้อ…แล้วอีกอย่างหนึ่ง”
“พวกเราได้ออกใบเชิญสำหรับการลงทะเบียนสอบของนักเรียนกลุ่มแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การลงทะเบียนครั้งแรกไม่ได้เปิดเป็นสาธารณะ กลับกัน คำเชิญพวกนี้จะพุ่งเป้าไปที่นิกายต่าง ๆ ผู้สืบทอดสายเลือด และช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ สำหรับนิกายต่าง ๆ และตระกูลของผู้สืบสายเลือด พวกเขาเพียงต้องแสดงจดหมายรับรองจากนิกายและตระกูลของตนเอง ผู้ฝึกตนผู้ที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับ B ถึง S จะถูกส่งตัวเข้ามาที่สำนักของเรา สำหรับกลุ่มช่างฝีมือ คนกลุ่มนี้มีอยู่จำนวนมาก นอกเหนือจากกลุ่มใหญ่ ๆแล้ว ส่วนที่เหลือจำเป็นจะต้องแสดงหลักฐานเพื่อยืนยันคุณสมบัติและพิสูจน์ว่าพวกเขามีศักยภาพระดับ B เป็นอย่างน้อย และหากพวกคุณมีคนอยู่ในใจ พวกคุณก็สามารถเขียนจดหมายแนะนำพวกเขามาได้เช่นกัน”
ฉินเย่มองคนทั้งสองนิ่ง ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้ง
ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน
นี่เป็นความจริงสากลที่เขารู้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ด้วยช่วงชีวิตที่ยาวนานอย่างเขา มันกลับไม่มีสิ่งใดควรค่าพอสำหรับการต่อสู้เลยสักนิด
หลังจากนั้นการแข่งขันจัดอันดับของสำนักฝึกตนแห่งแรกก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ชายชราสองคนได้จัดการแข่งขันขึ้นมาโดยปราศจากความหรูหราใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่ง สุนทรพจน์เปิดงาน หรือพิธีการเปิดงานใด ๆ
ทุกอย่างดูเหมือนจะแสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่าการแข่งขันในครั้งนี้ไม่ได้มีความสำคัญเลยแม้แต่น้อย และมันก็เป็นเพียงการแข่งขันประจำวันเท่านั้น ซ้ำร้าย มันยังดูเหมือนกับเป็นเพียงการกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมยอมทำไปตามกระแสโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจอะไร
แต่…
ฉินเย่อาจจะเชื่อคำโกหกพวกนั้นหากฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เอ่ย 2-3 ประโยคสุดท้ายออกมา
“นักเรียนที่มาที่นี่จะมีระดับความสามารถที่แตกต่างกันตั้งแต่ระดับ B ถึง S…หากเป็นเช่นนั้นจริง อาจารย์ที่ได้อันดับต่ำที่สุดจะได้รับมอบหมายให้ดูแลนักเรียนคลาส S หรือเปล่า?” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ขณะที่มองไปยังชายชราเจ้าเล่ห์ทั้งสองที่กำลังนั่งพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ด้วยสายตาระแวดระวัง
มันไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ สำหรับกฎเกณฑ์
แม้แต่เหล่าอาจารย์ในโรงเรียนธรรมดาทั่วไปก็รู้ว่านักเรียนที่ได้คะแนนดีมักจะได้รับการดูแลโดยเหล่าอาจารย์ที่มีคุณภาพภายในโรงเรียน และถ้าแม้แต่ในโรงเรียนธรรมดาก็ยังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน แล้วในโลกแห่งการบ่มเพาะที่ดำเนินโดยใช้กฎแห่งความแข็งแกร่ง ที่ที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดคือผู้อยู่รอดจะไม่ยิ่งแย่กว่าหรือ?
“ยังมีช่องว่างในหมู่นักเรียนอีก การเปรียบเทียบระหว่างคลาส A คลาส B คลาส C…เด็กของคลาส S มีแนวโน้มที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแม้ว่าจะใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะในแง่ของการควบคุมลมหายใจ การควบคุมพลังที่อยู่ภายในเส้นลมปราณ หรืออื่น ๆ และสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในปลายภาคเรียนก็คือผลลัพธ์ ยิ่งกว่านั้น มันยังมีการประเมินผลตลอดภาคการศึกษาด้วย หากนักเรียนคนใดไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้อย่างเพียงพอตั้งแต่แรก และไม่สามารถผ่านการประเมินได้ในระยะเวลาที่กำหนด จำนวนทรัพยากรที่เด็กพวกนั้นจะได้รับก็อาจจะลดน้อยลงกว่าเดิม หรือบางที มันอาจจะถึงจุดที่ได้รับเพียงค่าตอบแทนพื้นฐานอย่างเดียวก็เป็นได้ และมันก็จะกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด…แล้วทีนี้จะมาขอให้พวกเราไม่ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงมงกุฎได้อย่างไร? เห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็นการส่งสัญญาณบอกพวกเราว่าการแข่งขันในครั้งนี้เป็นการหาตัวแทนของผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของแต่ละสาขา….”
ทุกอย่างเริ่มปะติดปะต่อกันภายในหัว และเขาก็คิดถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่จะตามมา
ทำไมทางสำนักถึงทำแบบนี้น่ะหรือ?
นั่นง่ายมาก เพราะว่าการแข่งขันในครั้งนี้ไม่ได้วัดเพียงความแข็งแกร่งของครูผู้สอนเท่านั้น แต่…ยังรวมถึงการรับรู้ของตัวอาจารย์แต่ละคนด้วย!
การมีไหวพริบต่อผู้คนและการทำงาน
เพราะสุดท้ายแล้ว ในโลกนี้ก็มีภูตผีปีศาจอีกเป็นล้านล้านตน และมันก็เป็นไปได้สูงที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดและไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้น นอกเหนือจากความกล้าหาญของแต่ละบุคคลแล้ว การมีไหวพริบจึงเป็นลักษณะที่พื้นฐานที่สุดของการจะเป็นอาจารย์ที่ดี มีเป็นผู้ฝึกตนที่มีคุณสมบัติพวกนี้เท่านั้นจึงจะสามารถได้รับความไว้วางใจในการรับมือกับงานใหญ่ในภายภาคหน้า
แต่จะว่าไป ทำไมถึงต้องการคนที่มีความสามารถขนาดนั้นในการรับผิดชอบงานเช่นนี้กัน?
“ดูเหมือนว่านี่จะไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อฝึกฝนนักเรียนใหม่เสียแล้ว พวกระดับสูงตั้งใจที่จะฝึกฝนเหล่าอาจารย์ผู้สอนด้วยเช่นกัน มัน…อาจจะเป็นวิทยาลัยทหารแห่งสาธารณรัฐจีน [1] ของหน่วยสอบส่วนพิเศษและ SRC ก็เป็นได้?”
แล้วเขาควรสู้หรือเปล่า?
ฉินเย่ยิ้มบาง
แน่นอนสิ!
หน่วยสอบสวนพิเศษคือทรัพย์สินคือขุมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของเขา ในการก่อตั้งยมโลกขึ้นมาใหม่! เขาไม่สามารถอยู่ที่เดิมได้นานเกินไป เพราะผู้ที่ทานเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไปจะไม่มีวันตาย ดังนั้นอย่างมากที่สุด..เขาก็สามารถอยู่ที่ที่หนึ่งได้แค่ 5-8 ปีก่อนที่จะต้องย้ายที่ และในเมื่อมันเป็นอย่างนั้น เขาก็ต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด!
แม้ว่าเราจะไม่สามารถขโมยทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ในคลังมาได้ แต่เราก็ควรพยายามอย่างเต็มที่ในการขโมยส่วนเล็ก ๆ ของมันออกมา…ไม่อย่างนั้นเราคงจะต้องผิดหวังในตัวเองแน่ ๆ
หมาฮัสกี้เองก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน!
“การแข่งขันชุดแรกจะเป็นการแข่งขันระหว่างอาจารย์ทั้งห้าจากสาขาการต่อสู้” สวี่อันกั๋วยิ้มออกมาอย่างสดใสขณะที่ประกาศเสียงดัง “สาขาการต่อสู้เป็นหนึ่งในสาขาที่สำคัญที่สุดในสำนักของเรา ทุกสิ่งที่พวกนักเรียนได้เรียนรู้มาจากการฟังบรรยายและหนังสือล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อนไปประยุกต์ใช้ในการต่อสู้จริง นอกจากนี้ เหล่าอาจารย์ในสาขาทุกท่านจะต้องเป็นผู้รับประกันความปลอดภัยของพวกนักเรียนและอำนวยความสะดวกในการหาความรู้เพิ่มเติมมาให้กับพวกเขาด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเราจงใจเลือกอาจารย์ที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากเป็นพิเศษห้าคนนี้มาโดยเฉพาะ”
“อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย คู่แรกจะเป็นการต่อสู้ระหว่าง S9527 อาจารย์ฉินเย่ ปะทะ S8541 อาจารย์หลินฮั่น”
นี่เราได้เข้าร่วมตั้งแต่นัดแรกเลยเหรอเนี่ย?
ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และเดินขึ้นไปบนเวที หลินฮั่นเองก็เดินขึ้นไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน
หลี่เทายิ้ม “อาจารย์หลินมาจากทีมเปลวเพลิง อย่างที่ทุกท่านทราบดี ทีมเปลวเพลิงถูกจัดให้อยู่ในอันดับของทีมที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำภารกิจสำเร็จในบรรดากลุ่มเจ้าหน้าที่ระดับ S ทั้งหมด แต่ผมเชื่อว่าพวกคุณคงจะไม่ได้อยากฟังตาแก่คนนี้พูดพล่ามอะไรไปมากกว่านี้…”
หมอนี่เนี่ยนะ?
มุมปากของฉินเย่กระตุกเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้ที่ไม่สามารถแม้แต่จะเอาชนะภูตผีที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณหลังจากที่ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดไปนานกว่าครึ่งชั่วโมงได้! นี่ผู้ฝึกตนของโลกมนุษย์อ่อนแอขนาดนี้เลยหรือ?
“และอาจารย์ฉินเย่เองก็เป็นที่รู้จักกันในความสำเร็จอันน่าทึ่งที่สามารถทำลายเขตไล่ล่าทั้งเก้าเขตได้ภายในเวลาชั่วข้ามคืน ความเร็วและความแข็งแกร่งของเขานั้นสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงถูกจัดให้อยู่ในระดับ S….”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างก็ส่งเสียงโห่ร้องและพูดคุยกันอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งหมดต่างจ้องไปที่ฉินเย่เป็นตาเดียว
“ถ้าเช่นนั้น… เริ่มได้!”
ด้วยเสียงประกาศที่ดังลั่น ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง พลังปราณระเบิดออกมาจากร่างของหลินฮั่น ขณะที่เขามองยังฉินเย่ราวกับเสือที่ดุร้ายที่กำลังมองเหยื่อ
ฟึ่บ…ด้วยเสียงอู้อี้ที่ดังขึ้นเบา ๆ เหรียญทองแดงนับร้อยเหรียญลอยออกมาจากแขนเสื้อของเขาและหมุนไปรอบ ๆ กลางอากาศและล็อกไปที่เป้าหมายของมัน ซึ่งก็คือฉินเย่
“ผมจะไม่ออมมือนะ” หลินฮั่นเอ่ยลอดไรฟัน “แม้ว่าผมจะรู้ว่าผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ แต่…ผมก็ไม่อยากได้อันดับสุดท้าย”
ฉินเย่ยกยิ้มและดัดข้อนิ้วของตนเองอย่างยั่วยุ
เขาไม่ได้ดูถูกทุกคนที่นี่
แต่พวกนายทุกคนที่นี่…เป็นแค่พวกเหลือขอ!
ในวินาทีนั้นเอง จู่ ๆ ร่างของหลินฮั่นก็หายไปจากที่ที่เคยอยู่ ดวงตาของฉินเย่หรี่ลงเล็กน้อย และทันใดนั้นเขาก็พบว่าหลินฮั่นได้มายืนอยู่ข้าง ๆ ตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลินฮั่นเตะแหวกอากาศ มุ่งเป้าไปที่ไหล่ของเป้าหมาย
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างคนตรงหน้า หลินฮั่นรู้ดีว่ามันไม่มีช่องว่างให้เขาออมมือแต่อย่างใด
ตุบ!!! ครืดดดดดดด..
เสียงปะทะดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงแผ่วเบาของบางอย่างลากไปตามพื้นดิน ฉินเย่ยกแขนขวาของเขาขึ้นสกัดการโจมตีเอาไว้
เงียบ
ทุกอย่างเงียบสนิท
หลินฮั่นงงงวยเป็นอย่างมาก สวี่อันกั๋วและหลี่เทาเองก็อ้าปากค้างและลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที
“ไม่มีทาง….” ซู่เฟิงกะพริบตาถี่รัว “นี่ฉัน…เพิ่งเห็น S9527 ตัวปลอมเหรอ?”
ฉินเย่เองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน
บนเวทีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
และผู้ชมทั้งหมดก็ยังเหมือนเดิม
แต่…เขาเพิ่งถูกทำให้กระเด็นออกมามากกว่าสิบเมตร! รอยลากที่ยาวหลายสิบเมตรปรากฏขึ้นบนพื้น และมือขวาของเขา…กำลังลุกไหม้! เกิดเป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงอย่างเกินจะบรรยาย!
บ้าไปแล้ว… มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…
จู่ ๆ…ความสามารถของพวกมนุษย์แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เดี๋ยวก่อนนะ…นี่บทมันผิดหรือเปล่า? แม้แต่ภูตผีขั้นนักล่าวิญญาณก็ยังไม่สามารถทำให้เขากระเด็นมาได้ไกลขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ? มันไม่มีทางที่มนุษย์พวกนี้จะทำได้! แล้วเจ้าห่วยอย่างคนตรงหน้าที่พยายามดิ้นรนสู้กับวิญญาณพวกนี้จะสามารถทำให้เขากระเด็นมาไกลขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? ความเร็วและแรงของเจ้านี่สูงกว่าพวกวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณพวกนั้นเสียอีก!
หลินฮั่นกะพริบตาปริบ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
“คุณฉิน!!” เขาตะโกนออกมาราวกับเพิ่งโดนดูถูก “ผมรู้ว่าคุณแข็งแกร่ง…แต่คุณไม่จำเป็นต้องออมมือกับผมแบบนี้ก็ได้เลย!!”
“นี่คุณ… กำลังดูถูกผมอยู่เหรอ?”
จากนั้น ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ เหรียญทองแดงที่ลอยอยู่รอบ ๆ ร่างของเขาก็รวมตัวเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นแส้เส้นสีทองที่เปล่งประกายในอากาศและฟาดไปที่เอวของฉินเย่
หัวใจของเด็กหนุ่มในเวลานี้เต็มไปด้วยความขมขื่น เดี๋ยวก่อนนะ…นายอ่านบรรยากาศตอนนี้ไม่ออกเหรอ?!! ฉันพยายามที่สุดแล้วเว้ย!!
ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นได้?!
[1] วิทยาลัยทหารที่เป็นที่รู้จักกันในประเทศจีนในแง่ของสถาบันที่ผลิตผู้บัญชาการทหารที่มีชื่อเสียง