ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่ 154 หยิ่งยโส
ตอนที่154 หยิ่งยโส
หลังจากได้รับการยืนยันจากจ้าวเฉียนแล้ว หยางหู่ก็มั่นใจมากขึ้นอย่างชัดเจน
แก๊งเหล่ยอู่หน้าฉากเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมเกมมีชื่อเสียง แต่สุดท้ายนี้ก็เป็นเพียงแก๊งเล็กๆ ต่อหน้ามหาเศรษฐีระดับประเทศอย่างตระกูลจ้าว
ไม่ว่าฟู่เทียน หัวหน้าแก๊งเหล่ยอู่จะส่งเสียงดังขนาดไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะสร้างคลื่นลูกยักษ์อัดกระทบจ้าวเฉียนได้ในท้ายที่สุด
พนักงานต้อนรับพาจ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนขึ้นมาที่ห้องอาหารหรูหราในชั้นที่เจ็ด และยื่นเมนูให้ทั้งสอง
จ้าวเฉียนไม่ได้อยากกินอะไรเป็นพิเศษ ก็เลยเอ่ยกับเหลียวเซียวหยุนขึ้นว่า
“คุณอยากกินอะไรสั่งตามสบายเลยนะ ผมกินได้หมด”
เหลียวเซียวหยุนเอ่ยตอบกลับไปพร้อมท่าทีหยามเหยียดไปว่า
“นี่แสร้งทำเป็นหน้าใหญ่อยู่รึไง?”
“จะสั่งอะไรก็รีบสั่งไปเถอะน่า รีบกินให้เสร็จจะได้ไปดูหนัง ไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้แล้ว”
จ้าวเฉียนตอบสวนกลับไปเจือหงุดหงิด
เหลียวเซียวหยุนจงใจยั่วยุจ้าวเฉียนชัดเจน เธอจึงกล่าวขึ้นว่า
“นายคงรวยมากเลยมั้ง? มีปัญญาจ่ายจริงๆ ใช่ไหม?”
“ถามอะไรไร้สาระ ในเมื่อผมสามารถหยิบบัตรVIPออกมาได้ เรื่องเงินมันไม่ใช่ปัญหาเลย จะสั่งอะไรก็สั่งเถอะ เสียเวลา”
เหลียวเซียวหยุนหงุดหงิดเช่นกันเมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่าย เธอก็เลยจงใจเลือกแต่อาหารราคาแพง
ตราบใดที่ทานอาหารและดูหนังเสร็จ จ้าวเฉียนจะได้ไปให้พ้นๆ จากเธอสักที แต่ดูเหมือนว่าเขาจะดูถูกเธอมากเกินไป ครั้งนี้ที่สั่งมาเรียกได้ว่า หวังขูดเลืดขูดเนื้อเขาโดยเฉพาะ
“สั่งอะไรมาตั้งเยอะเยอะ จะกินหมดเหรอ? ทำไมคุณถึงทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้? หรือคิดว่าจะใช้โอกาสนี้เอาคืน? แล้วนี่พอใจรึยัง?”
จ้าวเฉียนเอ่ยถามไปอย่างไม่ค่อยพอใจ
เหลียวเซียวหยุนระเบิดหัวเราะทันที เธอถามสวนตอบไปว่า
“อะไร? ไหนว่าจะสั่งอะไรก็ได้? ไม่เห็นต้องสนใจเลยหนิว่าฉันจะกินหมดไหม ก็นายบอกเองว่าจะสั่งอะไรก็รีบสั่ง!”
“อย่างแรกเลยนะ ต่อให้สั่งมามากกว่านี้ผมก็มีเงินจ่าย แต่ประเด็นอยู่ที่ถ้ากินไม่หมดมันเสียดายของ สุดท้ายก็ต้องโยนทิ้งขยะ ไม่สงสารพ่อครัวเลยเหรอ ถ้ามาเห็นเข้าจะรู้สึกยังไง?”
“ไม่สน! ฉันหิว!”
เหลียวเซียวหยุนพับปิดเมนูอย่างรวดเร็วและหันไปหาพนักงานเสิร์ฟให้ส่งรายการอาหารออกไปได้เลย
เนื่องจากเจ้าของบัตรVIPคือจ้าวเฉียน พนักงานเสิร์ฟจึงหันไปถามความเห็นของเขาก่อนส่งออเดอร์
“คุณจ้าวครับ นี่…”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและตอบกลับไปเพียงว่า
“ทำตามที่เธอต้องการไปนั้นแหละ ฝากบอกพ่อครัวด้วยให้เร่งทำอาหาร พวกผมมีนัดดูหนังกันต่อ”
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างงั้นโปรดรอสักครู่นะครับ เราจะรีบเสิร์ฟอาหารโดยเร็วที่สุด”
จากนั้นพนักงานเสิร์ฟก็รีบถอยออกไปทันที
จ้าวเฉียนหยิบมือถือขึ้นมาเล่นตามประสาของเขา ส่วนเหลียวเซียวหยุนก็แอบมองเขาอยู่ตรงข้าม ภายในใจเธอเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยกับความเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็อายเกินกว่าจะขอโทษจ้าวเฉียนไปตรงๆ
ไม่นาน พนักงานเสิร์ฟก็มาพร้อมกับรถเข็นอาหาร ส่งมอบจานหรูมากมายวางไว้บนโต๊ะ โค้งตัวคำนับให้ทั้งคู่ทีหนึ่งก่อนเดินออกไป จ้าวเฉียนตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่พูดไม่จาใดๆ เรียกได้ว่าไม่สนใจเหลียวเซียวหยุนโดยสิ้นเชิง
พอพนักงานเสิร์ฟออกไปพร้อมปิดประตูห้องอาหารจนสนิท เธอก็ลุกขึ้นพรวดโวยวายขึ้นดังลั่นทันที เอ่ยปากถามอย่างโกรธเคืองขึ้นว่า
“นี่จะเอาแต่กินอย่างเดียวเลยรึไง! ไม่คิดจะคุยอะไรกับฉันหน่อยเหรอ!”
“เงียบหน่อย! ผมกำลังกินอยู่นี่ไง ให้เวลาสิบนาที กินทุกอย่างให้หมด จะได้รีบไปดูหนังรีบกลับบ้าน!”
จ้าวเฉียนเอ่ยตอบอย่างเย็นชา
เมื่อกวาดสายตามองไปบนโต๊ะมีแต่อาหารน่าอร่อยมากมาย แต่ตอนนี้เหลียวเซียวหยุนกลับหมดอารมณ์กินโดยสิ้นเชิง
“นี่…นี่ฉันเป็นผู้หญิงนะ! ช่วยเอาใจฉันหน่อยไม่ได้เหรอ? ถึงจะไม่ได้คิดอะไรกับฉันเลยก็ตาม แต่…แต่ช่วยสนใจกันหน่อยสิ! ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งก็ได้! ลองหาเรื่องมาชวนคุย กินข้าวพลางหัวเราะไปด้วยกัน นายทำไม่ได้เหรอ? ถึงฉันจะเป็นคนเอาแต่ใจนะ แต่ฉันรับฟังทุกเรื่องที่นายพูดมาแน่นอน ช่วยทำดีกับฉันด้วยความจริงใจหน่อยได้ไหม!”
จ้าวเฉียนยังคงตั้งหน้าตั้งตากินต่อไปโดยไม่ได้สนใจเธอแม้สักนิด ไม่นานเขาก็กินอาหารบนจานของคนหมด วางตะเกียบ เช็ดปาก และหยิบมือถือขึ้นมาเล่นต่อโดยไม่แม้แต่เหลียวมองเหลียวเซียวหยุนเลยด้วยซ้ำ
เหลียวเซียวหยุน เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเกินพรรณนาได้แล้ว จนในท้ายที่สุดน้ำตาสีใสบริสุทธิ์ก็รินไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้นอย่างเกินจะข่มกลั้นได้ไหว
“นาย…นายคิดจะทำตัวเย็นชากับฉันจริงๆ ใช่ไหม? นายยังต้องการความร่วมมือระหว่างบริษัทกันอยู่รึเปล่า?”
เหลียวเซียนหยุนเอ่ยถามทั้งน้ำตา
จ้าวเฉียนเปล่งน้ำเสียงเย็นเอ่ยตอบไปว่า
“ถ้าคุณยินดีให้ความร่วมมือ ผมย่อมต้องการโดยธรรมชาติ แต่หากคุณไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไรครับ ผมไปหาที่อื่นก็ได้ ยังไงซะการที่ผมมาดิลก็เพื่อทำธุรกิจร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ ไม่ใช่ทำทานทำกุศล ผมได้เงิน คุณได้เงิน วินวินกันทั้งคู่ครับ แล้วยังไง? ยังอยากดูหนังอยู่อีกไหม? ถ้าไม่แล้ว ผมขอตัวกลับบ้านนะครับ ง่วงนอนแล้ว”
เหลียวเซียวหยุนไม่เหลืออารมร์จะกินหรือดูหนังอีกต่อไป เธอตะคอกสวนกลับด้วยความโกรธว่า
“ไม่กินแล้ว! ไม่ดูหนังด้วย! แค่นั่งที่นี่กับฉันจนกว่าจะถึงเที่ยงคืน!”
เหลียวเซียวหยุนเป็นคนหัวรั้น เธอไม่เชื่อว่าจ้าวเฉียนจะอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่คุยกับเธอได้จริงๆ นานเป็นชั่วโมง
แต่ในความเป็นจริงกลับช่างโหดร้ายกว่าที่เธอคิดนัก หลังจากจ้าวเฉียนเล่นมือถือจนแบตหมด เขาก็เดินไปหลับตรงโซฟา และไม่พูดไม่จากับเธอเลยสักคำ
เหลียวเซียวหยุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหนพร้อมเนื้อตัวที่สั่นเทาไม่หยุด น้ำตารินไหลจนนองไปทั่วโต๊ะบริเวณนั้น เธอไม่เคยถูกทำร้ายจิตใจมากขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเมินเฉยได้ขนาดนี้
แต่คนเราช่างแปลกประหลาดยิ่งนักแล ยิ่งคนอื่นไม่สนใจเท่าไหร่เธอกลับยิ่งปรารถนาให้จ้าวเฉียนมาสนใจเธอมากเท่านั้น
เหลียวเซียวหยุนเช็คน้ำตาที่อาบเปื้อนบนแก้มเนียนขาว และลุกขึ้นเดินไปหาจ้าวเฉียน ยกปลายเท้าสะกิดร่างอีกฝ่ายเล็กน้อย
“ลุกขึ้นแล้วมาคุยกับฉัน”
แม้ดูเหมือนว่าเหลียวเซียวหยุนจะเอ่ยปากสั่งเขา แต่น้ำเสียงของเธอกลับอ่อนลงมากราวกับกำลังขอร้องเขาอยู่ ความหยิ่งผยองก่อนหน้าเรียกได้ว่าหายไปจนเกือบหมด
แต่จ้าวเฉียนรู้สึกว่า ไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรต้องคุยกับเธอ เขาไม่แม้แต่ลืมตาและเอ่ยปากตอบไปว่า
“อยากพูดอะไรก็พูดมาเลย ผมนอนฟังอยู่”
“ช่วยคุยกับฉันหน่อยได้ไหม?”
เหลียวเซียวหยุนยังคงเอ่ยกล่าวน้ำเสียงอ่อนขอร้องต่อไป
“แต่ผมไม่อยากคุยกับคุณ”
จ้าวเฉียนตอบปฏิเสธทันควัน
ครั้งนี้เธอร้องไห้ออกมาเสียงดังเกินกว่าจะหักห้ามได้ไหวอีกต่อไป ในเวลานั้นเองเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นพอดี และปรากฏว่าเป็นพ่อของเธอที่โทรมาหา
นี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว แตะลูกสาวของเขาก็ยังไม่กลับมาอีก เหลียวปี้ซ่งจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ เขากลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับตัวลูกสาว
“ลูกพ่อ ทำไมยังไม่กลับบ้าน นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
เหลียวปี้ซ่งเอ่ยถามเสียงดุเนื่องจากเป็นห่วง
“ฮืออ…พ่อ… พ่อ…”
เหลียวเซียวหยุนโศกเศร้าเกินจะกักเก็บอาการได้ไหว เธอจึงระเบิดร้องไห้ออกมาโดยตรง
เหลียวปี้ซ่งที่ได้ยินเสียงลูกสาวตัวเองร้องไห้ก็ตกใจอย่างมาก และนึกถึงเรื่องที่พนักงานโทรเข้ามารายงานตอนเช้าว่า ลูกสาวของเขาออกไปกับชายหนุ่มแปลกหน้าสองต่อสอง นึกขึ้นได้ดังนั้นเหลียวปี้ซ่งเอ่ยถามต่อทันทีว่า
“เกิดอะไรขึ้นลูกพ่อ?!”
“เขา…เขาทำร้ายจิตใจหนู…ฮือออ…มารับหนูทีค่ะพ่อ อยู่…หนูอยู่ที่โรงแรมตงไห่”
เหลียวเซียวหยุนกล่าวทั้งน้ำตา
เหลียวปี้ซ่งได้ยินแบบนั้นก็เดือดจัด ทั้งเขาและแม่ของเธอต่างเลี้ยงดูปูเสื่อลูกสาวคนนี้มาอย่างดี แต่กลับมีไอ้หนุ่มจากไหนไม่รู้ทำให้ลูกสาวของเธอต้องมีบาดแผลทางจิตใจ
“ลูกพ่อรอก่อนนะ! เดี๋ยวพ่อจะรีบไปรับเดี๋ยวนี้แหละ!”
เหลี่ยวปี้ซ่งวางสายและเรียกลูกชายคนโตและบรรดาบอดี้การ์ดประจำตัว ระดมพลกันออกมาไปที่โรงแรมตงไห่โดยเร็วที่สุด
ในไม่ช้า กลุ่มบอดี้การ์ดก็รีบทำลายทางเข้าห้องอาหารและวิ่งเข้ามาปิดล้อมจ้าวเฉียนที่นอนอยู่บนโซฟาทันที
เหลียวเซียวหยุนที่เห็นพ่อกับพี่ชายมาหา เธอก็วิ่งเข้าไปกอดทั้งคู่และระเบิดน้ำตาออกมาในทันใด
“พ่อ…พี่…ฮือออ…”
“โอ้นะลูก ไม่เป็นไรแล้ว… ไม่เป็นไรแล้ว…”
เหลียวปี้ซ่งลูบหัวปลอบโยนลูกสาวตัวเอง ขณะสำรวจทั่วร่างของเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็ไม่พบแม้แต่ความผิดปกติใดๆ
อย่างไรก็ตาม ลูกสาวของเธอไม่มีทางร้องไห้โดยไม่มีสิ่งเร้าแน่นอน เหลียวปี้ซ่งสั่งบอดี้การ์ดให้เข้าล็อกตัวจ้าวเฉียนทันที
เหลียวเซียวหยุนเห็นดังนั้น ก็รีบตะโกนลั่นทันทีว่า
“อย่า! เดี๋ยวก่อน! พ่อเข้าใจผิดแล้ว ทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือกับเขา?”
ในเวลาเดี่ยวกัน ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมตงไห่ก็รีบวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์เช่นกัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ประธานเหลียว มาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงพาคนมามากมายขนาดนี้?”
“คุณผู้จัดการ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับทางคุณ กรุณาออกไปด้วย เรื่องตรงนี้ผมจัดการเอง”
เหลียวปี้ซ่งกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
ลูกสาวถูกรังแกเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าปรีดีอะไรเลย และเขาไม่ต้องการให้คนนอกเข้ามาสอด
ผู้จัดการทั่วไปยิ้มตอบไปว่า
“ผมมาที่นี่เพื่อปกป้องแขกของผมเช่นกัน ในฐานผู้จัดการที่แห่งนี้ แขกทุกคนจะต้องได้รับประสบการณ์ที่ดี ไม่ใช่ปล่อยให้คนของประธานมาทำร้ายแขกของเรา ที่นี่คือโรงแรงตงไห่ และโรงแรมแห่งนี้เองก็มีกฎเช่นกันครับ”
เหลียวปี้ซ่งโมโหอย่างมาก ไม่ว่าโรงแรมตงไห่จะมีภูมิหลังเป็นยังไง หรือมีใครหนุนหลังอยู่ แต่ตอนนี้ลูกสาวของเขาโดนทำร้าย จึงไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น
“คุณออกไปซะ! อย่าเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในครอบครัว! ไม่อย่างนั้นผมจะสั่งคนให้มาจัดการคุณด้วย!”
สีหน้าการแสดงออกของผู้จัดการทั่วไปแปรเปลี่ยนไปทันที เขาตอบน้ำเสียงเย็นสะท้านขั่วหัวใจยิ่งว่า
“ประธานเหลียว ที่นี่เป็นสถานที่ของผม ถ้าคิดจะทำอะไรแขกของผม ก็ข้ามศพผมไปให้ได้ก่อน! ถ้าคุณกล้าลองดี ผมรับประกันเลยว่าเรื่องนี้จบไม่สวย! เชิญออกไปได้แล้วครับ!”
ทันทีที่สุ้มเสียงของผู้จัดการทั่วไปลดลง ด้านนอกห้องอาหารก็อัดแน่นไปด้วยแก๊งอันตธานและบอดี้การ์ดของทางโรงแรมอยู่เต็มไปหมด
บรรดากาศในห้องอาหารแห่งนี้ร้อนแรงดุจสมรภูมิรบในชั่วอึดใจ ศึกต่อสู้ครั้งใหญ่ใกล้จะเปิดฉากขึ้นแล้ว!