ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่ 163 ในที่สุด
ตอนที่163 ในที่สุด
อันที่จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลับบริษัท จ้าวเฉียนก็เดาได้แล้วว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น จางหยางต้องโวยวายอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องบริษัทเหล่ยอู่ เพื่อระดมเสียงของทุกคนขับไล่เขาออก
ในไม่ช้าจ้าวเฉียนก็กลับมาถึงที่บริษัท ตามคาดไม่มีผิด ทุกคนอย่างมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
จ้าวเฉียนไม่คิดที่จะอธิบายอะไรใดๆ กับเพื่อนร่วมงานเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปในห้องทำงานของฟางนี่โดยตรง
จางหยางกับหวังเฉียงรออยู่ในห้องทำงานของฟางนี่อยู่แล้ว ทันทีที่เห็นจ้าวเฉียนเดินเข้ามา พวกเขาก็ลุกขึ้นพร้อมชี้หน้าด่าทันที
“กว่าจะมาได้นะแก ฉันรออยู่นานแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีกต่อไป แกถูกไล่ออก!”
จางหยางระเบิดอารมณ์ใส่ด้วยความโกรธเคือง
หวังเฉียงยังคงบ่นต่อว่า
“ฉันกับผู้จัดการจางทุ่มทั้งแรงกายแรงใจขนาดไหนรู้ไหมกว่าจะได้คู่ค้ารายนี้มา!จนในที่สุดก็ได้เซ็นสัญญากับอีกฝ่าย แต่เพราะปัญหาส่วนตัวระหว่างแกกับลูกเขา ทำให้พวกเขาปฏิเสธความร่วมมือไปเฉยเลย!สร้างปัญหาให้ขนาดนี้ จะไม่ให้พวกเราโมโหได้ยังไง ครั้งนี้พวกฉันไม่ได้สร้างปัญหาเองด้วย กลับเป็นแกทีที่ผิดเต็มๆ!”
ท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนดูไม่รีบไม่ร้อนใดๆ เขายังคงเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบกลับไปว่า
“ผมไม่จำเป็นต้องบอกผู้จัดการจางกับรองผู้จัดการหวัง นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม และผมสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”
“ฮ่าฮ่า…ตลกจังนะ จะเอาอะไรมาแก้ปัญหา? ใช้เงินตบหน้าเพื่อเรียกเขากลับมารึไง? ได้!แต่น้ำหน้าอย่างแกมีเงินเหรอ? หรือจะหลอกอะไรอีกล่ะ? ต้องใช้เงินมากขนาดไหนเพื่อเรียกความร่วมมือกลับคืนมา? น้ำหน้าอย่างแกไม่มีวัน!”
จางหยางตะคอกใส่อย่างดูถูกดูแคลน
หวังเฉียงเย้ยเยาะต่อว่า
“ถ้าพวกเขายินดีกลับมาร่วมมือกับเราจริงเพียงเพราะเงิน ไม่ต้องถึงมือแกหรอก แต่ผู้จัดการจางคนเดียวก็แก้ปัญหาได้แล้ว อ่อลืมไป นี่เป็นถึงคุณชายจ้าวไม่ใช่เหรอ? ขอเงินสัก2-3ล้านหน่อย เดี๋ยวพวกฉันจะลองไปแก้ปัญหาดู!”
จ้าวเฉียนพูดทุกอย่างที่ควรพูดออกไปหมดแล้ว และไม่อยากเสวนาเรื่องไร้สาระกับพวกเขาอีกต่อไป เขาเหลียวสายาไปทางฟางนี่และกล่าวว่า
“ประธานฟาง นี่หมายความว่ายังไงครับ?”
ฟางนี่ย่อมโกรธเป็นธรรมดา มีเนื้อชิ้นอร่อยกำลังจะเข้าปากเธอแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับบินจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา ไม่มีใครสามารถยอมรับได้หรอก
แต่เธอก็รู้ดีถึงความสำคัญของจ้าวเฉียนที่มีต่อบริษัท ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าโมโหใส่เขา
“ฉันเชื่อในความสามารถของนายนะ ถ้าบอกว่าสามารถแก้ปัญหาได้ มันก็น่าจะแก้ได้จริงๆ อย่างไรก็ตามแต่ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนโกรธมากจริงๆ นายควรออกไปอธิบายให้ทุกคนฟัง แล้วให้พวกเขาตัดสินว่าจะเอายังไงต่อ”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและหันหลังกลับ เตรียมจะออกไป แต่จางหยางกลับโผล่กล่าวขึ้นมาพร้อมท่าทีไม่พอใจว่า
“เสี่ยวนี่ นี่คุณหมายความว่ายังไง? สถานการณ์แบบนี้ใช่ว่าคุณจะไม่รู้นะ มันไม่มีวันแก้ปัญหาได้อยู่แล้ว แต่ทำไมยังโง่เชื่อใจมันอีก นี่ยังมีคุณสมบัติเป็นเจ้าคนนายคนอยู่ไหม!”
ฟางนี่ไม่สนใจอะไรใดๆ จางหยางแม้สักนิด เธอเดินตรงเข้าไปผลักร่างเขาและออกไปพร้อมกับจ้าวเฉียน
“ทุกคนมารวมตัวกันหน่อย จ้าวเฉียนมีเรื่องจะประกาศให้ทุกคนฟัง”
ฟางนี่ตะโกนเสียงดังลั่นออฟฟิศ
บรรดาพนักงานรีบเร่งรวมตัวกันทันที รอให้จ้าวเฉียนอธิบายให้พวกเขาฟัง
จ้าวเฉียนกล่าวน้ำเสียงดังฟังชัดว่า
“ไม่ต้องกังวลไป ปัญหานี้ผมสามารถแก้ไขได้แน่นอน แยกย้ายกลับไปทำงานให้สบายใจเถอะ”
นี่คือสิ่งที่จ้าวเฉียนพูดออกมาจากใจ และทุกคนต่างทราบดีว่านี่มีความเป็นไปได้เช่นกัน แต่อย่างไรพวกเขายามนี้ยังคงโกรธไม่หาย และเกินกว่าจะยกโทษให้เขาได้จริงๆ
“จ้าวเฉียน นายปฏิบัติกับทุกคนเหมือนกับคนโง่ ไม่คิดจะพูดอะไรสักอย่างเลย”
“ถูกต้อง!เราเองก็ไม่อยากจะทำแบบนี้เหมือแนกันนั้นแหละ แต่ก็คงรู้เหตุผลดีไม่ใช่เหรอว่าทำไม? คิดเอาเองแล้วกันว่ามันสมควรไหม!”
“แม้พวกเรายังเชื่อใจนายอยู่ แต่นายไม่เคยแชร์ปัญหาอะไรกับเราเลย พอมีเรื่องขึ้นมา นายก็บอกแค่ว่าจะแก้ปัญหาให้ โดยที่เราไม่รู้สาเหตุเลยด้วยซ้ำ นี่มันปัญหาใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ ทำให้ประธานบริษัทกับลูกเขาขุ่นเคือง แล้วครั้งนี้นายจะแก้ปัญหายังไงล่ะ?”
“ทุกคนลงมติเป็นเอกฉันท์แล้วว่า นายต้องออกไปจากบริษัทแห่งนี้ หรือยังไม่ได้ยินอีก?”
“จ้าวเฉียน อย่าตำหนิพวกเราเลยนะ นี่เป็นทางออกเดียวที่อีกฝ่ายเสนอมา พวกเขาจะยอมกลับมาร่วมมืออีกครั้งทันทีที่นายออก”
“พวกเรารู้สึกขอบคุณจากใจเลยที่ให้ความช่วยเหลือบริษัทตลอดมรา แต่ปัญหานี้มีแค่ทางแก้เดียวเท่านั้นจริงๆ ถือซะว่าทำเพื่อบริษัทเป็นครั้งสุดท้ายนะ”
“ทางนั้นยังบอกมาด้วยว่า ตราบใดที่โปรเจคที่สร้างออกมามีคุณภาพพอ ทุกปีเขาจะสร้างเกมกับเราอย่างน้อยสองโปรเจค ความร่วมมือกับบริษัทนี้มีความสำคัญต่อบริษัทเราจริงๆ ขอโทษ…”
…..
บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างแสดงความรู้สึกที่มีออกไปจนหมด โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาคาดหวังให้จ้าวเฉียนยอมออกแต่โดยดี เพื่อแลกกับบริษัทเหล่ยอู่ยอมคืนความร่วมมือกลับมา
ฟางนี่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เธอเฝ้ามองอย่างเงียบงัน แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่า เธอล้วนเห็นด้วยกับทุกความคิดเห็นของพนักงาน แต่เธออายเกินกว่าจะพูดออกมา
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นและกล่าวไปว่า
“ผมสามารถบอกได้เลยจากคำพูดของทุกคนว่า อยากให้ผมออกไปเพื่อสังเวยกับความร่วมมือที่จะกลับคืนมา ก็เลยหาวิธีเกลี้ยกล่อมเพื่อขับไล่ผมนี่เอง ได้สิครับไม่มีปัญหา ถึงเวลาเลิกงานพอดี หวังว่าหลังจากนี้บริษัทจะมีแต่ความสุข ขอให้โชคดีครับ”
จ้าวเฉียนตรงกลับไปยังโต๊ะของตัวเองและเก็บข้าวเก็บของตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนยังคงยืนนิ่งหน้าชา ลังเลเกินกว่านะทำอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
“ประธานฟาง คุณต้องพูดอะไรหน่อยนะ!”
“ใช่แล้วครับ!บริษัทนี้เป็นของคุณนะ อย่างน้อยก็พูดอะไรหน่อยเถอะ!”
“ใช่แล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกมาพูดกับจ้าวเฉียนแล้ว!”
พนักงานทุกคนรู้ดีว่าสถานะของจ้าวเฉียนใบริษัทนี้สูงขนาดไหน ถูกจ้าวเฉียนประชดประชันไปซะขนาดนี้ ถ้าไม่ให่ฟางนี่พูดเพื่อบรรเทาความกดดันลงหน่อย บรรยากาศคงไม่คลี่คลายลงแน่นอน
เพื่อขับไล่จ้าวเฉียนออกไป หวังเฉียงไม่พลาดโอกาสนี้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน เขาก้าวขึ้นมาพูดกับฟางนี่ทันทีว่า
“ประธานฟาง ไม่ว่าคนๆ หนึ่งจะมีความสำคัญกับบริษัทเพียงใด แต่ก็เทียบไม่ได้กับทุกคนใบริษัท ถ้าประธานฟางเอาแต่เข้าข้างเขาอยู่แบบนี้ มันจะบ่อนทำลายความศรัทธาของพนักงานบริษัททุกคนไปนะครับ ผลสุดท้ายอาจทำให้บริษัทของพวกเราพังไม่เป็นท่า ประธานฟางต้องตัดสินใจให้ดีนะครับ”
“ใช่แล้วประธานฟาง คุณเข้าข้างเขามากเกินไป”
“คิดให้ดีนะคะ…”
ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกดดันฟางนี่เพื่อให้บังคับให้เธอไล่จ้าวเฉียน เธอไม่สามารถเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของทุกคนได้ และจำต้องเดินหน้าออกไปพูดอะไรกับจ้าวเฉียนสักหน่อย
จางหยางแอบดีใจอยู่เบื้องหลังทุกคน แสยะยิ้มชื่นบนมุมปาก คราวนี้จ้าวเฉียนหนีไม่พ้นอีกแล้ว สุดท้ายมันก็ไล่ออกไปจากบริษัทแห่งนี้เสียที
ไม่ว่าฟางนี่จะรู้สึกอับอายแค่ไหน ต่าเธอก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของทุกคนได้ เธอตรงมาพูดกับจ้าวเฉียนว่า
“จ้าวเฉียน นายเองก็คงรู้นะว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้มันหมายความว่ายังไง แล้วทุกคนในตอนนี้มองเธอเป็นยังไง เรื่องนี้มันไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้แล้วจริงๆ ฉันขอโทษ…มันจำเป็นจริงๆ ในอนาคต ถ้ามีโอกาสฉันจะเชิญนายกลับมาอย่างแน่นอน”
ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะลืมไปเสียแล้วว่า บริษัทแห่งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปเมื่อปราศจากตัวเขา เหลือทิ้งแค่เพียงความทรงจำท่าจะตราตรึงพวกเขาไปอีกนานแสนนานในก้นบึ้งหัวใจ จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า
“ประธานฟางเป็นหัวหน้าที่ดีกับผมเสมอมา หากแม้แต่คุณเองก็ตัดสินใจแบบนี้ ผมเองก็ไม่มีอะไรจากคัดค้านแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผมขอพูดอะไรสักหน่อยนะ ก่อนที่ผมจะเข้าบริษัทมาฟังทุกคนขับไล่ผมออก ผมเพิ่งเซ็นสัญญากับบริษัทหัวโหย้วมา นี่ถือเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายสำหรับคุณก็แล้วกัน”
จ้าวเฉียนโยนซองเอกสารลงบนโต๊ะและลุกขึ้นออกไปจากออฟฟิศโดยตรง
ฟางนี่มองดูเอกสารบนโต๊ะ จู่ๆ เธอก็ร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกผิดอย่างหาที่เปรียบไม่ เธอตะโกนโวยลั่นขอโทษจ้าวเฉียนไล่หลังไม่หยุดไม่หย่อน
“ฉันขอโทษ….ฉันขอโทษ…ฮืออ…ฉันทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ อย่าโกรธฉันเลยนะจ้าวเฉียน…ฮืออ..ฮืออ…”
ก่อนที่จ้าวเฉียนจะผลักประตูออฟฟิศจากไป เขาหันมามองเธอเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ คงถึงเวลาที่ผมต้องไปจริงๆ แล้ว ถ้ามีมีเวลาว่า เดี๋ยวผมชวนไปจิบชาสักรอบ”
ขณะพูดจบจ้าวเฉียนก็กำลังจะเดินจากไป
แต่จางหยางกลับพุ่งตัวมาขวางเส้นทางจ้าวเฉียนอย่างรวดเร็วและกวาว่า
“โอ้ กำลังจะจากไปแล้วเหรอ น่าเศร้าจริงๆ นะ ไม่น่าเลย…ไม่น่าเลย…”
จ้าวเฉียนเพียงยิ้มตอบและไม่ได้สนใจอะไรเขาอีกเลย
แน่นอนว่า หวังเฉียงเองก็ไม่มีทางพลาดโอกาสเยาะเย้ยจ้าวเฉียนครั้งสุดท้ายแน่นอน เขาวิ่งติดตามจางหยางเข้ามา และกล่าวซ้ำเติมไปว่า
“อย่าท้อแท้ไปเลยไอ้เพื่อนรัก คนมากพรสวรรค์อย่างนายพราวประกายส่องแสงได้ทุกที่แม้แต่ในถังขยะ! ฮ่าฮ่าๆๆ …ฉันเองก็คิดถึงแกไม่น้อยเลยวะ แม้ว่าเราจะไม่กินเส้นกันอยู่บ้าง แต่ก็แวะมาหากันได้ทุกเมื่อนะ ถ้านายหน้าด้านพอ!ฮ่าๆๆ …”
เจวียงหยวนตะโกนซ้ำสามว่า
“ในที่สุด ฉันก็เป็นคนที่หัวเราะคนสุดท้าย ฮ่าฮ่าๆๆ …”
จ้าวเฉียนไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนพวกนี้เลย แค่ยิ้มและกล่าวตอบไปว่า
“ผมกลับไปนอนเล่นที่บ้านสักสองสามวัน แล้วจะรอจนกว่าพวกคุณหมอบคลานมาขอความช่วยเหลือจากผมอีกนะครับ ถึงตอนนี้คงไม่ง่ายแบบครั้งก่อนแน่นอน หุหุ…”