ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่131 รู้ไหมว่าต้องทำยังไง
ตอนที่131 รู้ไหมว่าต้องทำยังไง
เครื่องดนตรีเริ่มบรรเลง ทุกคนยังคงดามด่ำอยู่กับบทเพลงและท่วงท่าการเต้นรำ
แตกต่างไปกับชางอี้โดยสิ้นเชิง เธอกำลังคุ้ยถังขยะอย่างไม่หยุดหย่อน เธอคิดว่าตอนนี้ตัวเองเพิ่งทิ้ง‘อนาคตอันสดใส’ลงในถังขยะโดยการโยนนามบัตรของจ้าวเฉียนไปอย่างไม่ไยดีก่อนหน้า
ตอนนี้เธอตระหนักชัดแจ้งแล้วว่า จ้าวเฉียนผู้นี้ทรงอำนาจเพียงใด ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องเอานามบัตรคืนมาให้จงได้
“ผู้อำนวยการชาง กำลังทำอะไรอยู่เหรอค่ะ? เอ่อ…ให้ฉันช่วยไหม?”
นักแสดงหญิงคนหนี่งในระแวกนั้นเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร ไปเต้นเถอะ”
ชางอี้กล่าวปัดตอบทันทีด้วยความหงุดหงิด
“โอ้ สวัสดีค่ะผู้อำนวยการชาง เอ่อ…ไปทำอะไรแถวถังขยะค่ะ? ให้ดิฉันช่วยอีกแรงไหม?”
นักแสดงสาวอีกคนที่ผ่านไปมาเอ่ยถามขึ้น
“ไปเต้นตรงโน้นไป!”
ชางอี้จะไม่ทน เธอตะโกนไล่ออกไป ท่าทีเดือดดุราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“อะ-โอเคค่ะ งั้น…ค่อยๆหาไปนะคะ ใจเย็นๆ…เดี๋ยวก็เจอค่ะ”
นักแสดงสาวคนนั้นเดินจากไปพร้อมท่าทีประหม่า
“โอ้! ผู้อำนวยกาชาง มีอะไรให้ผม…”
“โอ้ย! น่ารำคาญจังโว้ย! ไปเต้นกับพวกเธอเลยไป! น่ารำ….”
ชางอี้เบื่อเต็มทนที่ต้องมาพูดอะไรซ้ำๆซากๆ พอได้ยินเสียงสุ้มเสียงชายคนหนึ่งเอ่ยดังขึ้น เธอจึงเงยหน้าขึ้นด่าสาปแช่งออกไปทันที แต่ทันทีที่ค้นพบว่า เจ้าของเสียงดังกล่าวคือจ้าวเฉียน เธอก็หุบปากแทบไม่ทันและรีบขอโทษออกไปแทน
“โอ้! ประธานจ้าวนี่เอง! ขอโทษค่ะ! ขอประทานโทษด้วยค่ะ! ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ!”
จ้าวเฉียนโบกมือปัดและยิ้มถามขึ้นว่า
“กำลังมองหาอะไรเหรอครับ? ไม่ใช่ว่าคุณเอานามบัตรผมไปทิ้ง พอตอนนี้ก็กำลังหามันอยู่?”
ท่าทีของชางอี้ดูประหม่าในทันใด ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความเขินอาย และโค้งศีรษะต่อหน้าจ้าวเฉียน เธอแบกหน้าขอโทษทันทีว่า
“ดิฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ! พอดี…ก่อนหน้านี้เห็นว่าประธานจ้าวทำให้ลุงห้าขุ่นเคือง เลยคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกันแล้ว… ก็เลย…ก็เลย…ขอโทษจริงๆนะคะ! จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว ประธานจ้าวอย่าโกรธดิฉันเลยนะคะ!”
จ้าวเฉียนร่วนหัวเราะดังขึ้นเล็กน้อย จากนั้นค่อยยื่นนามบัตรคืนให้แก่ชางอี้
“ผู้อำนวยการชาง ดีใจนะครับที่คุณตอบผมตามความจริง ซึ่งผมเองก็ผิดเช่นกันที่ปิดบังตั้งแต่แรก ดังนั้นผมไม่ว่าหรอกครับที่คุณจะโยนนามบัตรทิ้งไปแบบนั้น แต่ถ้าเมื่อครู่คุณโกหก ผมคงไม่ขอร่วมมือกับคุณแล้วเช่นกัน”
ชางอี้รีบหยิบนามบัตรกลับเข้ากระเป๋าทันที เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า
“ประธานจ้าวทราบได้ยังไงว่า นามบัตรใบนี้เป็นของดิฉัน?”
จ้าวเฉียนชี้ไปที่รหัสQRบนนามบัตรและตอบไปว่า
“นามบัตรแต่ละใบจะมีรหัสQRแตกต่างกันไปครับ ทันทีที่คุณหยิบมือถือมาสแกน ข้อมูลส่วนตัวของคุณจะถูกอัปโหลดเข้ามาในมือถือของผมทันที และนามบัตรใบนี้จะผูกกับข้อมูลของคุณทันที แค่ผมคลิกเข้าแอปที่สั่งทำมาเฉพาะจะทราบได้ทันทีว่า นามบัตรแต่ละใบที่ให้ไปเป็นของใครบ้าง แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ ข้อมูลที่เซฟเป็นแค่ข้อมูลพื้นฐานเท่านั้นครับ”
ชางอี้ถึงกับอ้างปากค้างเมื่อได้ฟัง เธอไม่คิดเลยว่านามบัตรบางๆแค่ใบเดียวจะแฝงไปด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงขนาดนี้ แน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถทำของแบบนี้ขึ้นมาได้แน่นอน แม้แต่คนรวยยังไม่ทำกันด้วยซ้ำ ต้องเป็นมหาเศรษฐีที่เงินเหลือจริงๆถึงจะทำอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้
“แล้วคุณจ้าวรู้ได้ไงครับว่า ดิฉันโยนนามบัตรทิ้ง?”
ชางอี้เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พอดีว่าพนักงานทำความสะอาดไปพบนามบัตรนี้เข้าขณะเก็บขยะ แต่เธอสังหรณ์ใจว่า นามบัตรที่ทำจากทองคำขาวคงมีมูลค่าแพง ก็เลยส่งคืนให้ทางพนักงานดูแลงาน ผู้อำนวยการจางตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปดื่มก่อน”
“เข้าใจแล้วค่ะ อย่าดื่มเยอะนะคะประธานจ้าว”
ชางอี้เฝ้ามองจ้าวเฉียนจากไปจนลับสายตาด้วยความเคารพ และรีบหยิบนามบัตรของเขาออกมากอดแน่นอน และครั้งนี้นำเอาเสียบลงในกระเป๋าสตางค์ส่วนตัวทันที นามบัตรใบนี้เปรียบเสมือนตั๋วทองคำเบิกทางสู่อนาคตอันสดใส ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต นามบัตรใบนี้ก็ห้ามหายไปไหนอีกเด็ดขาด
จ้าวเฉียนเดินไปหาหวานเจียงและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขึ้นว่า
“คนสวย เต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหม?”
หวานเจียงยกมือป้องปากขำคิกคัก ก่อนจะยื่นมือออกไปให้จ้าวเฉียนพาเธอออกไปเต้นรำด้วยกัน
ทั้งหยางหมิงและหวานฮันซูโกรธแค้นอย่างมากเมื่อเห็นภาพฉากดังกล่าว
“จ้าวเฉียน ฉันอยากรู้จริงๆนะว่านายเป็นใคร มาจากไหนกันแน่? ไปรู้จักกับคนพวกนี้ได้ยังไง?”
หวานเจียงเอ่ยถามประดับยิ้มสวย
จ้าวเฉียนไม่สามารถเอ่ยตอบไปตามตรงได้ จึงโกหกไปว่า
“ฉันใช้ทั้งเวลาและเงินไปหลายล้านกับหยางหู่ จนกลายมาเป็นเพื่อนกันได้ ไม่สิ…เขาทำไปเพื่อปกป้องลูกค้ารายใหญ่ของตัวเองมากกว่า ดังนั้นฉันก็เลยมีโอกาสทำความรู้จักกับคนอื่นๆไปในตัว”
หวานเจียงพยักหน้าพลางหรี่ตาแคบเล็กน้อยด้วยความสงสัยไม่เสื่อมคลาย เขาตอบไม่ค่อยจะตรงคำถามสักเท่าไหร่ และเค้นต่อยังไง ในเมื่อเขาไม่อยากตอบก็คงไม่ได้คำตอบเช่นกัน เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อทันที สนทนาอย่างสนุกสนานระหว่างเต้นรำบนฟลอร์
ในเวลานี้เอง หยางหมิงก็เดินมาเซียนเชียง เขายังคงยิ้มแย้มเช่นเคย และเอ่ยถามด้วยความเคารพว่า
“ลุงห้า ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ?”
เซียนเชียงทราบดีว่าหยางเฉิงต้องการจะคุยกับเขาเรื่องอะไร จึงพยักหน้าตอบและปลีกตัวออกไปคุยกันสองต่อสอง
หยางเฉิงยิ้มถามขึ้นว่า
“ลุงห้า ไม่ใช่ว่าคุณเคยสัญญากับผมเหรอว่า เช็คสิบล้านใบนี้แลกกับทำให้ไอ้เด็กนั่นพิการ?”
เซียนเชียงเอ่ยตอบน้ำเสียงเย็นกลับไปว่า
“หยางเฉิง ตอนที่นายยังอายุไม่มาก เคยเจอใครบางคนที่เกินมือเราจะควบคุมได้ไหม? ใช่ ฉันรับเงินของนายและให้สัญญาว่าจะจัดการกับเขา แต่ใครจะไปรู้ว่าเส้นสายของเขาจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ เขารู้จักหยางหู่และก็ยังรู้จักเลขาของประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นเจ้าของตึกแห่งนี้ด้วย ถ้านายมาเป็นฉัน นายจะกล้าไหมล่ะ?”
“ในเมื่อทุกคนรู้ความจริงกันหมดแล้ว แต่คุณเองก็ไม่สามารถทำตามสัญญาได้ เอ่อ…คุณก็ควรที่จะคืนเงินผมใช่ไหม?”
หยางเฉิงเอ่ยถามเจือท่าทีกล้าๆกลัวๆ
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เซียนเชียงก็ตวาดสวนกลับไปด้วยความโกรธทันที
“นี่ยังกล้าขอเงินคืนอีกเหรอ? พูดอย่างกับว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเลย? นายคิดผิดหยางเฉิง ฉันพยายามทำทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้มากลับไม่คุ้มเงินสิบล้านที่นายให้มาด้วยซ้ำ! ดังนั้นนี่มันสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว ไม่ว่าฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่นายจะไม่ได้เงินคืน!”
อย่างไรก็ตามนั้นเป็นเงินถึงสิบล้าน หยางเฉิงไม่ยอมมอบให้กับเซียนเชียงไปโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน
“ลุงห้า ถ้าคุณคิดจะทำแบบนี้จริงๆ เรื่องนี้อาจจะหลุดถึงหูทุกคนได้นะครับ นั้นอาจส่งผลกระทบไปถึงชื่อเสียงของคุณที่สั่งสมมานาน”
หยางเฉิงกล่าวขู่ทันที
คู่แววตาของเซียนเชียงหม่นประกายลงในทันใด เขาตอบไปว่า
“อะไรนะ? นี่คุณกำลังข่มขู่ผมอย่างนั้นเหรอ? เอาล่ะ คุณออกไปได้แล้ว และไปป่าวประกาศให้ทุกคนรู้กันไปเลยว่า ผมรับเงินมา! ถ้าไม่ทำผมจะถือว่าคุณไม่กล้า!”
หยางเฉิงเห็นท่าทีที่แสนดุดันของเซียนเชียงก็ถึงกับหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรต่อ แต่เงินสิบล้านเองก็ไม่ใช่น้อยๆ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะโยนทิ้งไปฟรีๆเพียงเพราะความกลัว
“ลุงห้าเป็นที่เคารพนับถือของผมและคนอื่นๆ ผมไม่กล้าล้ำเส้นคุณแน่นอนครับ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าผมต้องยอมให้คุณรังแกเช่นกัน เงินตั้งสิบล้านมันไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ จะชักดาบกันหน้าตาเฉยแบบนี้คงจะไม่ดี?”
เซียนเชียงกระแอมคำโตอย่างเยือกเย็น เขาตอบกลับไปว่า
“ฉันจะไม่พูดจาไร้สาระกับนายอีกแล้ว! ถ้านายไม่กล้าบอกกับทุกคน เฟยอวี่ก็ควรเปลี่ยนที่นั่งประธานได้แล้ว!”
หลังจากพูดจบ เซียนเชียงก็เดินกลับไปยังงานเลี้ยงทันที ปล่อยให้หยางเฉิงยืนกำหมัดแน่นอย่างโกรธเกรี้ยว
ไม่นานนัก เขาก็เรียกบรรดาเพื่อนสนิทมาปรึกษาหารือกัน
คนพวกนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก บรรดาชายชราที่ติดตามหยางเฉิงอยู่ด้านหลังตลอดที่ผ่านมา บางคนถือหุ้นเฟยอวี่ กรุ๊ป ดังนั้นพวกเขาต้องเข้าข้างหยางเฉิงแน่นอน
“คุณหยาง นั้นก็แค่สิบล้านเอง ถ้าปล่อยหุ้นออกไปสู่สาธารณะ อย่างน้อยๆก็ต้องได้กลับมากว่าพันล้านหยวน ไม่จำเป็นต้องมีปัญหากับผู้มีอิทธิพลกับเงินจำนวนแค่นี้เลย”
“แต่ฉันไม่เห็นด้วย ถ้าคูณหยางปล่อยไว้แบบนี้ วันหน้าเซียนเชียงก็จะกลั่นแกล้งพวกเขาได้เรื่อยๆในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้นนายน้อยหยางกับๆไอ้เด็กเหลือขอสกุลจ้าวก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว ใครจะรับประกันได้ว่า มันจะไม่กลับมาแก้แค้นในอนาคต? ถ้าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ นับเป็นความสูญเสียของเฟยอวี่ กรุ๊ปโดยตรงเลยไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นอาจมากกว่าสิบล้านไม่ใช่รึไง?”
“ทำไมเราไม่ร่วมมือกับเพื่อหาผู้มีอิทธิพลเทียบเท่าเซียนเชียงมาจัดการล่ะ? ถ้าอย่างนั้นไม่เพียงแค่ฝ่ายนั้นจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่เราอาจจะได้โอกาสเอาคืนพวกมันกลับ!”
“ฉันว่านี่เป็นความคิดที่ดีเลยนะ คนที่มีอิทธิพลใกล้เคียงกับเซียนเชียงใช่ว่าจะไม่มีสัดหน่อย อาจจะต้องลงทุนกันหน่อย แต่ผลลัพธ์ในอนาคตนับว่าคุ้มค่ามากนะครับ คุณหยางคิดเห็นยังไงบ้าง?”
หยางเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ฟังคำแนะนำของเหล่าชายชรา
แต่ในเวลานั้นเอง จ้าวเฉียนที่เต้นรำกับหวานเจียงเสร็จแล้ว ก็เดินออกไปหาหยางเฉิงและกลุ่มชายชราพร้อมกับแก้วไวน์ในมือ
“ประธานหยาง มาคุยอะไรกันอยู่ตรงนี้เหรอครับ? หาวิธีจัดการผมกันอยู่เหรอ?”
จ้าวเฉียนเอ่ยถามพร้อมน้ำเสียงแสนเย้ยหยัน
หยางเฉิงที่เกลียดจ้าวเฉียนเข้าไส้เป็นทุนเดิม ยิ่งได้ฟังแบบนั้นยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ จึงตอกสวนอย่างเย็นชาไปว่า
“เป็นอะไรของแก? ถ้าพวกเรากำลังหารือเพื่อคิดหาวิธีจัดการแกจริง แล้วแกจะทำไม? ทุบตีพวกเรารึไง? แต่ลองดูก็ได้นะ ถ้ากล้าลงไม้ลงมือกับใครคนใดคนนึงในนี้ แกจบไม่สวยแน่!”
“โอ้จริงเหรอครับ? ผมกลัวจังเลย… แต่จะว่าไป มีบางอย่างน่ากลัวกว่านี้อีกนะครับ สนใจดูไหม?”
จ้าวเฉียนปั่นหน้าไร้เดียงสา ทั้งยังเอ่ยถามไปอย่างกวนๆ
หยางเฉิงจับจ้องอีกฝ่ายอย่างมึนงง พลางเอ่ยถามไปว่า
“อะไรของแก?”
“เอ๋า นายน้อยหยางยังไม่ได้บอกคุณอีกเหรอครับ ก็เรื่องรูปถ่ายในมือถือผมไง?”
“รูปถ่ายอะไร?”
ตอนนี้หยางเฉินเริ่มจะอยากรู้อยากเห็นเข้าจริงๆแล้ว
จ้าวเฉียนไม่รีรอ หยิบมือถือตัวเองออกมาและเปิดภาพถ่ายตอนที่หวงต้าหมิงกำลังเล่นสารเสพติด และมัวกับสาว
หยางเฉิงตกใจอย่างมาก ทันใดนั้นมือข้างนึงก็พุ่งออกไปคว้ามือถือของจ้าวเฉียนทันที
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของจ้าวเฉียนเองก็เร็วไม่แพ้กัน เขารีบเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงโดยตรง
“ทำไมประธานหยางต้องดูร้อนรนขนาดนั้นด้วยครับ? ถึงเอามือถือผมไปได้ แต่ก็ยังมีข้อมูลสำรองเซฟเก็บไว้อีกเยอะแยะเลย ไม่มีประโยชน์หรอกครับ”
ทั่วทั้งใบหน้าของจ้าวเฉียนเต็มไปด้วยความเหยียดหยามขณะเอ่ยกล่าวออกมา
“แกต้องการอะไร?”
หยางเฉินเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด
“ผมเสียใจมากเลยนะครับ ตอนที่คุณเอาเงินล้านฟาดหน้าผม ถ้าประธานหยางยอมขอโทษดีๆ ผมคงสบายใจขึ้นไม่น้อย คงรู้จะครับว่าผมหมายความว่ายังไง?”
หยางเฉินไม่มีทางทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้นแน่นอน เขาตอบกลับไปทันที
“อย่าได้ฝัน! ฉันไม่มีทางขอโทษแก!”
จ้าวเฉียนพนักหน้าตอบว่า
“โอ้งั้นเหรอครับ? งั้นหวังว่าคุณจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเลือกไปในภายหลัง!”
หลังจากพูดจบล จ้าวเฉียนก็หมุนตัวกำลังจะจากออกไปทันที
แทบจะขณะเดียวกับ บรรดาชายแก่ที่ถือหุ้นเฟยอวี่ กรุ๊ปเคียงข้างหยางเฉิง ก็ทนอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป เขารีบวิ่งไปหยุดจ้าวเฉียนทันที
“น้องชาย อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไป…”
“น้องชาย พวกเราคนกันเอง มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า…”