ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่199 วางกลยุทธ์
ตอนที่199 วางกลยุทธ์
นี่หรือคือคนที่เรียกว่าจนตรอก? หยางหมิงในตอนนี้ไร้ซึ่งสติใดๆ เขาส่งข้อความมาขู่ว่า จะแฮ็กจ้าวเฉียน? นี่โง่หรือลืมคิด? ไม่ใช่ว่ายิ่งทำแบบนี้แล้วเชือกจะรัดตัวเองแน่นกว่าเดิมอีกเหรอ?
ไม่กี่วินาทีต่อมา หยางหมิงโทรสายมาหาเขาอีกครั้ง และคราวนี้จ้าวเฉียนรับสายโดยไม่เกรงกลัวใดๆ แต่พลันได้ยินเสียงคำรามทำลายข้าวของดังเปรี้ยงปัง นี่ยิ่งทำให้จ้าวเฉียนรู้สึกเพลิดเพลินบันเทิงใจเข้าไปใหญ่
จ้าวเฉียนแสร้งทำเป็นตกใจ เอ่ยถามอย่างใสซื่อขึ้นว่า
“โอะ? นายน้อยหยางกำลังทำลายข้าวของอยู่เหรอครับ? นี่เกิดอะไรขึ้นกันครับ? ใจเย็นๆก่อนน๊า…”
ตามที่จ้าวเฉียนคิดไว้ไม่มีผิด หยางหมิงคำรามอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติ
“อย่าแสร้งทำเป็นใสซื่อนะโว้ย! ทำไมแกถึงโกหกฉัน! ไหนว่าไม่มีข้อมูลของสองคนนั้นสำรองไว้แล้วไง! ทำไมถึงหลุดว่อนโซเซียลขนาดนี้!!”
จ้าวเฉียนอดขำไม่ได้และเอ่ยถามขึ้นว่า
“นายน้อยหยางมีขี้เลื่อยอตกค้างในหัวรึเปล่าครับ? จะบอกว่าครั้งนี้ผมผิด?”
“แน่นอน! ทั้งหมดเป็นความผิดของแก! แล้วไหนว่ามีแค่ข้อมูลของสองคนนั้นในมือ ทำไมมันถึงลามไปยันคดีหนีภาษีของเฟยอวี่กรุ๊ป! มีอะไรทำไมไม่มาคุยกับฉันก่อนหน้านี้ดีๆ?!”
จ้าวเฉียนไม่อยากเปลืองน้ำลายกับคนโง่เง่าแบบนี้อีกแล้ว จึงตอบไปตามตรงว่า
“เอาจริงๆนะ ตอนนี้คุณไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเสวนากับผมด้วยซ้ำ แค่นี้นะครับ รำคาญ”
จ้าวเฉียนกดวางสายทิ้งทันที แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีอีกหนึ่งสายโทรเข้ามา ปรากฏว่าเป็หยางเฉิน
“ฮาโหลคุณเฉิน สบายดีไหมครับ?”
สมแล้วที่สองคนนี้เป็นพ่อลูกกัน เปิดฉากมาหยางเฉินก็กรนด่าสาปแช่งจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อน
“ดี! ดีมาก! ดีจริงๆ! ไอ้หนู แกกล้าเล่มเกมแบบนี้กับฉันใช่ไหม! อยากตายขนาดนั้นเชียว!!?”
“ไอ่ย๊า…เกรี้ยวกราดเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก สันดานเสียเหมือนกันทุกประการเลยครับ ผมขอชมเชย แต่บอกไว้ก่อนนะครับ ผมไม่กลัวพวกคุณแม้แต่น้อย อ่อ…แล้วก็….อย่าลืมไปเคลียร์เรื่องค่าเสียหายกับบริษัทภาพยนตร์ของจ้าวฝู่นะครับ รายนั้นน่าจะเอาคุณหนักไม่เบา!”
หลังจากจ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็วางสายและโทรหาหยางหู่ต่อทันที
“เสี่ยวหู่ รบกวนหน่อย ฝากให้คนไปเฝ้าติดตามหยางเฉิงกับหยางหมิงที ขอแบบตลอด24ชั่วโมงเลยนะ ท่าทางพวกนั้นน่าจะกำลังวางแผนเอาคืนฉันแน่นอน”
“ฮ่าฮ่า…ไม่ต้องห่วงครับคุณชายจ้าว ผมกำลังเตรียมลูกน้องไปดักล้อมบ้านของสองพ่อลูกคู่นั้นอยู่พอดี บังอาจทำคุณชายจ้าว พวกมันไม่มีทางอยู่สุขแน่นอนครับ!”
“ฮ่าฮ่า…เกรงใจเสี่ยวหู่แล้ว มีหวังหลังจบงาน ฉันต้องพานายไปเยี่ยมพ่อแม่ฉันหน่อยแล้ว!”
ตอนนี้จ้าวเฉียนใกล้จะได้รับชมละครฉากใหญ่อย่างสบายอารมณ์ เขาขอดูหน่อยว่า ครั้งนี้เขาจะเอาเฟยอวี่ให้ตายได้หรือไม่
ประธานบริษัทภาพยนตร์ส่งทีมทนายความจากหยานจิ้งไปมาที่เมืองตงไห่โดยตรง เพื่อดำเนินการฟ้องร้องค่าเสียหายกับเฟยอวี่ตามสัญญาที่ระบุไว้ หากภาพยนตร์นี้ไม่สามารถฉายได้ เนื่องจากปัญหาทางด้านนักแสดงของฝั่งเฟยอวี่ ทางเขามีสิทธิ์เรียกร้องค่าชดเชยเป็นสามเท่าจากเงินลงทุนทั้งหมดของโปรเจค
ตอนเซ็นสัญญาเฟยอวี่กรุ๊ป ไม่แม้แต่จะคิดว่าสตีมเมอร์สองคนนั้นจะโดนขุดข่าวฉาวออกมา นั้นจึงทำให้พวกเขาตายใจและเซ็นสัญญายอมรับทุกเงื่อนไขอย่างง่ายดาย
ต้นทุนสร้างจำนวน300ล้านนั้นหมายความว่า เฟยอวี่จะต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นสามเท่าของต้นทุน หรือเท่ากับ900ล้านหยวนโดยไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดๆ
ตามบัญชีรายรับรายจ่ายของสี่ไตรมาตรีปีที่แล้ว เฟยอวี่มีรายรับทั้งหมดอยู่ที่สองพดันล้านหยวน แต่กำไรสุทธิ์ที่หักมาจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดมีเพียง400ล้านหยวนเท่านั้น นั้นหมายความว่า เฟยอวี่กรุ๊ปอาจต้องใช้เวลามากกว่าสองปีถึงตะชดใช้ค่าเสียหายนี้ได้ครบ
หยางเฉิงพยายามเจรจากับทีมทนายของบริษัทภาพยนตร์เป็นการส่วนตัว และบอกไปตามตรงว่า พวกเขาไม่สามารถแบกรับค่าเสียหาบขนาดนี้ได้ไหม จึงเสนอทางออกไปว่าจะจ่ายค่าชดเชยไปตามจริง หรือก็คือต้นทุนการถ่ายทำทั้งหมดจำนวน300ล้าน บวกกับค่าชดเชยแทนคำขอโทษอีก50ล้าน รวมเป็น350ล้านหยวน
ผู้ช่วยของประธานบริษัทภาพยนตร์เองก็มาทำงานร่วมกับทีมทยานเช่นกัน เขาปฏิเสธไปตามตรงว่า
“คุณหยาง นี่กำลังเล่นตลกอะไรอยู่ครับ? กำลังจะละเมิดสัญญาที่ระบุไว้งั้นเหรอ? หนังเรื่องนี้ผมได้เชิญผู้กำกับจากฮอลลีวูดมาด้วย 300ล้านเป็นแค่ค่าประเมินขั้นต่ำครับ อันที่จริงต้นทุนการถ่ายทำทั้งหมด ตามที่ประเมินไว้มันทะลุ400ล้านหยวนด้วยซ้ำ นี่ยังไม่รวมค่าโปรโมทและโฆษณาอีกนะครับ ที่ทางเรายอมจ่ายหนักขนาดนี้ เพราะว่า พวกเราคาดการณ์ไว้แล้วว่า หนังเรื่องนี้จะต้องได้รางวัลจากบ็อกซ์ออฟฟิศ พร้อมกวาดรายได้สุทธิ์2.5พันล้านหยวนจากทั่วโลก แล้วคุณหยางบอกว่าจะชดเชยให้แค่350ล้านหยวน? นี่ไม่ตลกเกินไปหน่อยเหรอครับ?”
หยางเฉิงทราบดี ถ้าภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายอย่างน้อยที่สุดก็สามารถกวาดรายได้มากกว่า2พันล้านแน่นอน นี่ยังไม่รวมค่าขายลิขสิทธิ์ไปทำไลน์สินค้าอื่นๆ และการที่ทางนี้เรียกร้องแค่900ล้านนับว่าเมตตามากแล้ว
แต่900ล้านสำหรับหยางเฉิง เขาไม่มีเงินมากพอจะจ่าย…
“ถ้าอย่างนั้นผมจะโทรถามท่านประธานก่อนแล้วกัน ค่อยว่ากันทีหลังครับ”
หลังจากพูดจบเขาก็ออกไปโทรหาประธานทันที และกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมบอกว่า ท่านประธานเรียกหยางเฉินไปคุย
“ว่าไงครับ หวางเฉินพูด”
หยางเฉินรู้สึกประหม่าอย่างมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับประธานของบริษัทภาพยนตร์แห่งนี้
ประธานคลี่ยิ้มเล็กน้อยเอ่ยถามขึ้นว่า
“เอาล่ะคุณหยาง อยากเสนออะไรลองพูดออกมาดูครับ?”
“เรื่องข้อเรียกร้อง…เออ….ผมขอจ่ายในราคา400ล้านหยวนได้ไหมครับ เดี๋ยวผมจ่ายทีเดียวทั้งก้อนเลย…”
ประธานคนดังกล่าวระเบิดหัวเราะลั่น เอ่ยถามกลับไปว่า
“คุณหยางเองก็ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีแห่งเมืองตงไห่ไม่ใช่เหรอครับ ขอแค่900ล้าน จ่ายไม่ไหวแล้วเหรอครับ?”
หยางเฉินรู้ดีว่า ต่อให้จะพูดอะไรออกไปตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะทำตามคำขอของเขา ใครจะยอมปล่อยเงิน900ล้านหลุดมือไปง่ายๆแบบนี้?
“โอเคครับ ผมจะไม่พูดอะไรไร้สาระอีกแล้ว พวกเราถอยออกมาคนละก้าวและคิดหาแนวทางการแก้ไขด้วยกันเถอะครับ”
ประธานตอบน้ำเสียงเฉียบขาดกลับไปทันที
“ตามสัญญาคือ900ล้านหยวนและไม่มีต่ำกว่านั้น! ถ้าคุณหวางยังคงคุยด้วยยากแบบนี้ สงสัยว่าเรื่องนี้ต้องให้ศาลตัดสินแล้วแหละครับ ทีมทนายผมก็พร้อมแล้ว สามารถยื่นเรื่องต่อศาลได้ตลอดครับ”
“คุณต้อนผมมากเกินไป! ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ก็อย่าตำหนิว่าผมไม่สุภาพ! ผมว่าทางคุณมากกว่าที่จงใจทำสัญญาแบบนี้ แล้วก็ปล่อยข่าวเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย! ผมจะส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”
“ฮ่าฮ่า…ตกลงครับ ผมจะรอให้คุณหยางตรวจสอบจนพอใจ ถึงตอนนั้นคงไม่ใช่แค่900ล้านแน่นอนครับ”
หลังจากพูดจบเขาก็วางสายไปและโทรรายงานให้จ้าวเฉียนฟัง เกี่ยวกับเรื่องที่คุยกับหยางเฉินในวันนี้
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า
“ทำได้ดีมาก ต้อนมันบีบมันให้หนัก ผมต้องการให้เฟยอวี่ล้มละลายชนิดที่ว่าไม่มีโอกาสตั้งต้นกลับมาได้อีกเป็นครั้งที่สอง เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหมครับ?”
“คุณชายจ้าวไม่ต้องกังวลครับ ทางนั้นยิ่งผูกปมตัวเองให้แก้ยากขึ้นทุกที คราวนี้เฟยอวี่เตรียมปิดกิจการแน่นอนครับ ถ้าไม่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เข้ามาช้อนซื้อนะครับ”
คุณประธานเอ่ยปากตอบด้วยความมั่นใจ
เมื่อพูดถึงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จ้าวเฉียนก็พลันนึกถึงหวานฮันซูทันที ตามที่รู้มามันทำงานอยู่ที่บริษัทกองทุนวอลล์สตรีทในอเมริกา คงมีรายใหญ่หนุนหลังอยู่อแน่นอน และจ้าวเฉียนจะไม่ยอมปล่อยให้หวานฮันซูฉวยโอกาสนี้ช้อนซื้อเฟยอวี่กรุ๊ปไปเด็ดขาด
จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง และวางแผนที่จะช้อนซื้อเฟยอวี่กรุ๊ปเข้ากระเป๋าตัวเองแทน แม้ว่าเวลานี้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ผลประโยชน์ที่ได้หลังจากผ่านพ้นวิกฤตนี้ก็ไม่น้อยเลยเช่นกัน แถมเขายังสามารถนำแพชตฟอร์มเฟยอวี่มารวมกับเทียนซูวก็ได้ในภายหลัง นี่มีแต่กำไรกับกำไร
ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงโทรหาหวู่เทียนจือ ประธานบริษัทไห่ฟู่ อินเวสเมนต์ต่อทันที
“คุณหวู่ ผมฝากช้อนซื้อเฟยอวี่กรุ๊ปหน่อย เล็งให้ดีและเข้าซื้อในราคาที่คุ้มที่สุด แล้ววานตรวจสอบด้วยว่า มีผู้ถือหุ้นที่ชื่อหวานฮันซู เข้ามาช้อนซื้อด้วยไหม เจ้าหมอนี่มันมาจากวอลล์สตรีท ฉันไม่อยากให้ต่างชาติเข้ามายุ่งเรื่องในประเทศ”
อู่เทียนจือกล่าวตอบอย่างมั่นอกมั่นใจว่า
“วางใจผมได้เลยครับคุณชายจ้าว หากต้องการลงทุนในบริษัทนี้เช่นกัน ผมจะรีบช้อนซื้อมาโดยเร็วและคุ้มค่าที่สุด ถ้าได้คาวมยังไงเดี๋ยวผมจะรายงานอีกทีนะครับ ผมในฐานะบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ของจีน ไม่มีทางปล่อยให้อเมริกามารุกล้ำแน่นอนครับ!”
ภายใต้สถานการณ์ ณ ตอนนี้ หวู่เทียนจือเองก็กำลังคิดหนักเกี่ยวกับภัยร้ายจากต่างชาติที่กำลังเข้ามามีส่วนได้เสีย และหากินกับทางประเทศจีนเช่นกัน และเขาในฐานะบริษัทนักลงทุนรายใหญ่ของจีน จำเป็นต้องปิดกั้นบริษัทนักลงทุนยักษ์ใหญ่จากฝั่งอเมริกาอย่างวอลล์สตรีทเช่นกัน เพื่อกันเงินไหลออกจากประเทศ ซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่ทุกบริษัทต้องช่วยกันผลักดัน
ทุกอย่างถูกจัดวางกลยุทธ์เสร็จสรรพ จ้าวเฉียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่เหลือต่อจากนี้เขาก็เตรียมรอชมละครฉากใหญ่อย่างสบายใจ แค่รอให้หยางหู่, หวู่เทียนจือและคนอื่นๆดำเนินการให้เสร็จ จากนั้นก็ถึงคราวเขาลงมือเก็บบริษัทเหล่านี้เข้ากระเป๋ารวดเดียว