ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่227 ตอนนี้ฉันคือผู้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ
ตอนที่227 ตอนนี้ฉันคือผู้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ
ในรุ่งขึ้น จ้าวเฉียนตื่นขึ้นมาแต่เช้า รอให้หวู่เสี่ยวหัวและพ่อของเขาโทรมาหา
เมื่อใกล้เวลาอาหารกลางวัน จ้าวฝู่ก็ต่อสายโทรมาหา
“ฮาโหล ไอ้ลูกชาย พ่อติดต่อหาผู้เชี่ยวชาญได้แล้ว แถมยังจัดเที่ยวบินที่เร็วที่สุดสู่เมืองตงไห่ให้เรียบร้อย พวกเขาเป็นทีมศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดจากต่างประทศ เตรียมรออยู่ที่โรงพยาบาลเขต1ได้เลย แถมยังวานให้คนของฉันเดินทางไปเยี่ยมผู้อำนวยการเป็นการส่วนตัว ไม่ต้องห่วงเลยไอ้ลูกชาย พวกเขาทุกคนจะตั้งใจทำให้ดีที่สุดแน่นอน”
จ้าวเฉียนตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้ฟังแบบนั้น และรีบกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็วว่า
“ขอบคุณมากครับพ่อ ไม่ต้องกังวล ผมจะพาเธอกลับไปเยี่ยมในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์แน่นอน”
จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ยิ้มตอบกลับไปว่า
“กูดี ฉันบอกกับแม่และปู่ไว้แล้วนะ ถ้าพาเธอมาไม่ได้ แกก็ไม่ต้องกลับมา พวกฉันอยากเจอลูกสะใภ้โว้ย ไม่ค่อยอยากเจอหน้าแกเท่าไหร่ ฮ่าฮ่าๆๆ…”
“เออ….โอเคครับพ่อ ต่อให้ตายผมจะลากเธอมาให้ได้ครับ โชคดีครับ ไม่กวนพ่อแล้ว”
พอวางสายเสร็จ เขาก็โทรหาหวานเจียงต่อทันที
หลังจากถูกจ้าวเฉียนดุไปยกใหญ่เมื่อวาน ดูเหมือนตอนนี้หวานเจียงจะหวาดกลัวอีกฝ่ายเล็กน้อย
“ฮาโหล มี…มีอะไรเหรอ?”
“ฟังจากเสียงเธอเนี่ย…อย่าบอกนะว่ายังซึมไม่หาย? เอาเถอะ ฉันจะโทรมาบอกเธอว่า ตอนนี้ติดต่อหาผู้เชี่ยวชาญได้แล้วนะ พวกเขาเป็นทีมศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดจากต่างประเทศ น่าจะมาถึงที่นี่ภายในสองวัน เดี๋ยวมีคนเข้ามาจัดการทุกอย่างให้เอง หลังจากที่ทีมศัลยแพทย์มาถึง เขาคนนั้นจะทำการประชุมปรึกษาหารือถึงแผนการรักษาต่อไป ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องอาการป่วยของพ่อคุณแล้ว ตอนนี้ควรหันมาใส่ใจเรื่องบริษัทของคุณเองดีกว่า”
เมื่อได้ยินจ้าวเฉียนกล่าวออกไปแบบนั้น หวานเจียงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใด
“นี่นาย…นายพูดจริงเหรอ?”
หวานเจียงอุทานขึ้น
“ห่ะ? พูดอะไรของเธอ? นี่ฉันเล่นตลกอยู่มั้ง? กลับไปทำงานของเธอซะ บริษัทกำลังแย่อยู่ไม่ใช่รึไง?”
จ้าวเฉียนกล่าวตำหนิใส่
พอหวานเจียงได้ยินแบบนั้นก็เดือดดาลขึ้นทันที
“นี่นายยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ แล้วไอ้ที่บริษัทของฉันตกอยู่ในสภาพแบบนี้มันเพราะใครกันห่ะ?! นี่นายไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่า ระหว่างที่นายแกล้งฉันแบบนี้ มีใครก็ไม่รู้จ้องเก็บหุ้นของเราไปจำนวนมหาศาลมาก! มากจนถึงขั้นที่ว่าสิทธิ์การบริหารของฮวาหยินกรุ๊ปในปัจจุบันอาจไม่ได้อยู่ในมือพ่อฉันอีกต่อไป ฮวาหยินกรุ๊ปถือเป็นสมบัติของพวกเราตระกูลหวานเชียวนะ เพราะนายทำให้บริษัทนี้จากพวกเราไป!”
จ้าวเฉียนทำเป็นไม่สนใจและตอบไปแค่ว่า
“เรื่องนี้จะโทษฉันคนเดียวมันก็ไม่ถูกนะ ทั้งหมดไม่ใช่เพราะความจองหองของเธอเองหรอกหรอที่กล้าท้าทายฉัน? ถ้ารู้ว่าตำแหน่งประธานบริษัทกำลังสั่นคลอน แล้วทำไมถึงไม่เพิ่มขยายส่วนผู้ถือหุ้นซะล่ะ?”
หวานเจียงที่ได้ยินแบบนั้นยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่ เธอเอ่ยปากถามสวนกลับไปว่า
“คิดว่ามันง่ายอย่างที่นายพูดขนาดนั้นเลยรึไง? อุตสาหกรรมสื่อภาพยนตร์มันซบเซาลงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้งบการเงินของบริษัทไม่ดีตามไปด้วย ครอบครัวของฉันเอาเงินฉุกเฉินออกมาใช้นานแล้ว หุ้นของพ่อฉันที่อยู่ในบริษัทถือเป็น80%ของทรัพย์สินทั้งหมดแล้วนะ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาเพิ่มขยายส่วนผู้ถือหุ้นอีก?”
แม้จะได้ฟังดังนั้น แต่จ้าวเฉียนกลับไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกเธอเลย ถ้าไม่มีเงินก็กู้ยืมมาไม่ได้เหรอ? หรือจำนองสินเชื่อจากทรัพย์สินที่มีอยู่มาก็ได้ ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่จะเพิ่มขยายส่วนผู้ถือหุ้น เพียงว่าอีกฝ่ายเลือกที่จะหลีกเลี่ยงก็เท่านั้น
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสมควรพูดตอนนี้ เพราะจ้าวเฉียนกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของฮวาหยินกรุ๊ปไปแล้ว
“จะทำอะไรก็รีบทำซะ ก่อนที่เรื่องนี้จะส่งผลกระทบถึงโครงการความร่วมมือระหว่างเรา ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจนนำไปสู่การละเมิดสัญญาความร่วมมือ ถึงตอนนั้นก็อย่าหาว่าผมไม่ปราณีก็แล้วกัน!”
หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็กดวางสายทิ้งไป
หวานเจียงรู้สึกเครียดจัดจนเริ่มรู้สึกแน่นหน้าอก พฤติกรรมและการกระทำของจ้าวเฉียนนี่มันชุบมือเปิปชัดๆ ฉวยโอกาสตอนที่บริษัทของเธออ่อนแอเพื่อเรียกเงินค่าชดเชย ชายคนนี้มันไร้ยางอายเกินเยี่ยวยาแล้วจริงๆ
หลังจากที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จนถี่ถ้วนแล้ว หวานเจียงก็ไม่สามารถข่มกลั้นอารมณ์โกรธได้ไหวอีกต่อไป เธอรีบโทรศัพท์หาจ้าวเฉียนทันที แต่ดูท่าอีกฝ่ายไม่ต้องการคุยกับเธอ จึงปัดสายทิ้งไป
“ไอ้สารเลวนี่! รอจนกว่าเรื่องพ่อกับเรื่องบริษัทคลี่คลายก่อนเถอะ ขอดูหน่อยว่า ฉันจะจัดการกับนายยังไง!”
ประมาณห้าโมงเย็นวานนั้น หวู่เสี่ยวหัวโทรสายหาจ้าวเฉียน
“ฮาโหลค่ะ คุณชายจ้าว ตอนนี้พวกเราถือหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปที่53%0จากทั้งหมด กลายมาเป็นผู้ครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเรียบร้อยค่ะ”
จ้าวเฉียนยิ้มตอบอย่างมีความสุข เขากล่าวว่า
“ดีมาก เตรียมขายหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปที่ถือทั้งหมดโอนให้ฉัน โดยระบุในสัญญาซื้อขายไปว่า จำหน่ายให้ฉันในจำนวนสี่พันล้าน เพื่อป้องกันทางกรมกำกับตลาดหลักทรัพย์สงสัย แล้วฉันจะใช้หุ้นจำนวน50%ของบริษัทเฉียนเก๋อในการจำนอง”
“รับทราบค่ะ ทางดิฉันจะรีบดำเนินการทันที”
หวู่เสี่ยวหัวกดวางสายไปและทำตามที่จ้าวเฉียนสั่งการอย่างกระชับกระเฉง
แม้นี่จะพฟังดูยุ่งยาก แต่หวู่เสี่ยวหัวนำทีมผู้เชี่ยวชาญของฟู่ไห่รีบจีดเตรียมเอกสารและดำเนินการเสร็จสรรพในชั่วข้ามคืน และนำเอกสารสัญญาให้จ้าวเฉียนเซ็นลงนามในตอนเช้าวันถัดมา
ตามกฎระเบียบแล้ว เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของบริษัทถูกสับเปลี่ยน ทางฮวาหยินกรุ๊ปจำเป็นต้องออกประกาศให้แก่พนักงานทุกคนได้ทราบทันที
ทันทีที่หวานเจียงทราบข่าว เธอก็โกรธจัดจนเนื้อตัวสั่นเทา คว้าโทรสัพท์โทรหาจ้าวเฉียนทันที
“ไอ้สารเลว! นายนี่เองที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด! ฉันก็คิดว่า มีรายใหญ่จากที่อื่นคิดจะเข้าฮุบกิจการฉัน ที่ไหนได้กลับเป็นนายนี่เอง!”
จ้าวเฉียนยิ้นตอบกลับไปเพียงว่า
“อย่าเพิ่งหัวเสียไปสิ ความสัมพันธ์ระหว่างเราเองก็แนบชิดกันขนาดนี้ ไม่ว่าฉันหรือเธอถือครองมันจะไปต่างอะไร?”
หวานเจียงคำรามอัดมือถือทันที
“ไร้สาระ! มันต้องแตกต่างอยู่แล้วไม่ใช่รึไง! ตอนที่พ่อฉันคุมบังเหียน ฮวาหยินกรุ๊ปถือเป็นทรัพย์สินของตระกูลหวาน แต่ปัจจุบันนายเป็นคนถือ แสดงว่าฮวาหยินกรุ๊ปก็คือทรัพย์สินของตระกูลจ้าว! พูดมาขนาดนี้แล้ว ยังกล้าเถียงอีกไหมว่าไม่ต่างห๊ะ!? อีกอย่าง นายกล้ากู้เงินมาตั้งสี่พันล้าน นายมีปัญญาจ่ายไหวรึไง?”
จ้าวเฉียนร่วนหัวเราะคิกคัก ยิ้มตอบไปว่า
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าฉันกล้ายืมก็แสดงว่าฉันมีปัญญาจ่ายแน่นอน นอกจากนี้ประธานฟู่ไห่ที่ฉันขอยืมเงินทุนมาก็ไม่ได้กังวลเลยว่า ฉันจะมีจ่ายไหม กลับกันเลย เขายินดีให้ฉันกู้ยืมด้วยซ้ำ”
ถ้าพูดตามความจริง เจ้าของเงินสี่พันล้านมันไม่ใช่ของทั้งฟู่ไห่หรือหวู่เทียนจือ แต่เป็นของพ่อจ้าวเฉียนเองนั้นแหละ
ในเมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว ต่อหวานเจียงบ่นปากเปียกปากแฉะยังไงก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้อยู่ดี ดังนั้นเธอจึงกล่าวถามขึ้นเพียงว่า
“เอาล่ะ มาพูดกันตรงๆเลยดีกว่า นายต้องการอะไร?”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและตอบกลับไปว่า
“เจอกันที่โรงแรมตงไห่ตอนเที่ยงตรง แล้วสิ่งหนึ่งที่เธอควรจำใส่กะโหลกเอาไว้คือ หนึ่ง ชีวิตของพ่อเธอขึ้นอยู่ในมือทีมแทพย์ที่ฉันติดต่อมา และสอง ฉันคืผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของฮวาหยินกรุ๊ป ณ ปัจจุบัน อย่าทำอะไรโง่ๆจะดีกว่า”
หลังพูดจบ จ้าวเฉียนก็กดวางสายไป
หวานเจียงเดือดจัดถึงขั้นโยนโทรศัพท์ในมือทิ้งลงบนโต๊ะ ยกมือปิดหน้าปิดตา นั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวเก่งอยู่แบบนั้น จนถึงตอนนี้เธอเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า จ้าวเฉียนไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงกล้ากู้เงินจากฟู่ไห่มาตั้งสี่พันล้าน
ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยจนถึงบ่ายสอง หวานเจียงเปิดประตูห้องอาหารดังปัง เดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับจ้าวเฉียนอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
จ้าวเฉียนมองดูนาฬิกาเล็กน้อย พลางอดยิ้มไม่ได้
“คุณหวาน คุณนี่เป็นคนตรงต่อเวลาซะจริง ผมบอกว่านัดกันตอนเที่ยง แต่คุณนี่ช่าง…มาได้ตรงต่อเวลาจริงๆ ขอนับถือ ขอนับถือ…”
หวานเจียงสบถด่าอยู่ในใจ เอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า
“มีอะไรก็รีบบอกมา ฉันไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่กับนาย”
รอยยิ้มเมื่อครู่ของจ้าวเฉียนหายวับไปในพริบตา เคาะโต๊ะอยู่สองสามคราเป็นจังหวะ เปิดฉากเอ่ยตำหนิขึ้นทันทีว่า
“คุณหวาน หัดรู้จักที่ต่ำที่สูงซะบ้างนะ ตอนนี้ผมอยู่ในฐานะประธานฮวาหยินกรุ๊ป ระวังคำพูดคำจาหน่อย”
หวานเจียงเหลือบมองจ้าวเฉียนอย่างว่างเปล่า สบถตอบแค่ว่า
“แล้วไง? ถ้าไม่ชอบวันหลังก็ไม่ต้องเรียกฉันมา ถ้ายังไม่รีบเข้าเรื่อง ฉันขอตัว”
ท่าทางการแสดงออกของหวานเจียงตอนนี้ดูเย่อหยิ่งอย่างมาก เธอไม่ให้หน้าจ้าวเฉียนเลยแม้แต่น้อย
แต่อย่างไร เหตุผลที่จ้าวเฉียนใช้เงินจำนวนมหาศาลทุ่มซื้อฉวาหยินกรุ๊ปแบบนี้ มันเห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้คำนึงถึงผลกำไรในการลงทุนเลย เพราะความสามารถในการกำไรของฮวาหยินกรุ๊ปอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ และเหตุผลที่จ้าวเฉียนทำแบบนี้ก็เพื่อกลั่นแกล้งหวานเจียง นี่ยิ่งทำให้เธอไม่สามารถอ่อนข้อให้จ้าวเฉียนโดยเด็ดขาด
“หวานเจียง ผมจะเตือนครั้งสุดท้ายนะ ตอนนี้ผมคืผู้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จในฮวาหยินกรุ๊ป รบกวนพูดจาแบบสุภาพชนเขาหน่อย ไม่อย่างนั้นก็อย่าตำหนิผมแล้วกัน!”
หวานเจียงสูดหายใจเข้าลึกๆและตะวาดสวนตอบไปทันที
“เออ! ฉันจะพูดแบบนี้! มีอะไรไหม!!”