ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่237 ต้องเลิกจ้าง
ตอนที่237 ต้องเลิกจ้าง
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดัง กล่าวตอบเพื่อนร่วมงานไปว่า
“อย่าแกล้งผมเล่นแบบนี้สิครับ ทุกคนก็เห็น ตอนนี้ผมเป็นหนี้ตั้งสี่พันล้าน ผมลำบากกว่าพวกคุณอีกนะ”
“คุณจ้าวอย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย ตอนนี้คุณควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปทั้งหมดเพียงลำพัง เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่คุณจะปล่อยหุ้นให้ดิ่งแบบนี้ต่อไป ผมรู้ว่าระดับคุณสามารถฉุดหุ้นขึ้นได้อยู่แล้ว”
“ใช่ๆ อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานคุณนะครับ พวกเราสัญญาจะไม่ซื้อเกินหมื่นหยวนแน่นอน เงินจำนวนเล็กๆน้อยๆแบบนี้มันไม่ส่งผลเสียกับคุณอยู่แล้วจริงไหม? พวกเราสัญญาจะไม่บอกคนอื่นแน่นอน”
“ถูกต้องครับ พวกเราเองก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังแบบนั้น แต่ละคนซื้อกันได้เล็กๆน้อยๆ ถือซะว่าเป็นค่าโบนัสสักก้อนนะครับ”
…….
อันที่จริง ทุกคนต่างทราบดีว่า ราคาหุ้นของฮวาหยินกรุ๊ปตอนนี้อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์กำหนด ตราบใดที่ซื้อเก็บไว้สักนิดสักหน่อย อีกไม่นานพวกเขาย่อมได้กำไรกลับคืนเป็นเท่าตัว
เหตุผลที่คนพวกนี้ต้องการให้จ้าวเฉียนอธิบายแผนการดำเนินงานต่อไปก็เพื่อให้รู้จุดเข้าซื้อที่ต่ำที่สุดและขายออกไปเมื่อราคาอยู่จุดสูงสุด ถ้าทำได้ตามแผนพวกเขาจะกอบโกยกำไรจากที่ลงทุนไปมากเท่าหรือสองเท่าตัวได้เลย
ซึ่งจ้าวเฉียนเองก็ไม่อยากมีเรื่องขัดแย้งกับคนพวกนี้เพียงเพราะเศษเงินเล็กๆน้อยเช่นกัน เขาจึงตอบไปว่า
“ตอนนี้ผมยังไม่ทราบแผนเหมือนกัน เพราะผมให้อีกคนดำเนินงานแทน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรับประกันได้เลยคือ ณ ราคาหุ้นปัจจุบันของฮวาหยินกรุ๊ปเป็นจุดเข้าซื้อที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว หลังจากนี้อีกไม่นานเตรียมรีบาวด์ขึ้นได้เลย”
“ว้าว! ต้องแบบนี้สิครับคุณจ้าว! ขอบคุณมากเลยครับ!”
“ประธานใหญ่ส่งสัญญามาให้ขนาดนี้แล้ว พวกเราเตรียมเข้าซื้อตอนนี้ได้เลย ส่วนจะขายหมู[1]หรือเปล่า อันนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถตัวเองล้วนๆ ขอให้ทุกคนโชคดีนะจ๊ะ”
“ก็จริงอย่างที่เธอว่า คุณจ้าวบอกขนาดนี้แล้วก็ควรเข้าซื้อทันที ส่วนที่ว่าจะขายตอนราคาวิ่งไปไกลขนาดไหน อันนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคลแล้ว ตาดีได้มากตาร้ายได้น้อย!”
….
จ้าวเฉียนหันไปหัวเราะกับทุกคนอย่างสนุกสนาน ก่อนจะขอตัวไปหาหวู่เสี่ยวหัว
พอเข้ามาถึงห้องทำงานของหวู่เสี่ยวหัว เธอก็รีบลุกขึ้นทักทายทันทีและกล่าวว่า
“คุณชายจ้าวอยากดื่มอะไรเป็นพิเศษไหมค่ะ?”
จ้าวเฉียนส่ายหัวพลางตอบไปว่า
“ไม่ดีกว่า ผมมาคุยเรื่องธุรกิจนิดหน่อยน่ะ ช่วยเอาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของเหลียวปี้เอ๋อร์มาให้ผมหน่อย หลังจากนี้ผมรับช่วงต่อเอง”
หวู่เสี่ยวหัวรีบดำเนินการโดยไว และส่งข้อมูลผู้ถือหุ้นและอื่นๆให้กับจ้าวเฉียน
จ้าวเฉียนนำทุกอย่างจัดลงใส่ซองเอกสารและตรงไปที่บริษัท Renewable Resources Utilization Development Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทของเหลียวปี้เอ๋อร์นั้นเอง
เหลียวปี้เอ๋ออยู่ที่นั่นพอดี และเมื่อรู้ว่าจ้าวเฉียนมาหาเธอก็สั่งให้พนักงานต้อนรับนำเขาเข้ามาโดยไว
เหลียวปี้เอ๋อร์เอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“ทำไมนายเพิ่งมาตอนนี้ ฉันรอนายอยู่นานแล้ว จนคิดไปว่านายเอาเงินทุนของบริษัทไปใช้จ่ายเล่นแล้วนะเนี่ย”
จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคักเล็กน้อยและเอ่ยตอบไปว่า
“ก็จำเป็นต้องให้เวลาคุณเหลียวได้เตรียมตัวไม่ใช่เหรอครับ?”
เหลียวปี้เอ๋อร์ยิ้มตอบกลับไปว่า
“ยังมีอะไรต้องเตรียมอีด? ฉันแจ้งกับพนักงานทุกคนไปแล้วว่า ตอนนี้ฟู่ไห่ อินเวสเม้นส์คือเจ้าของที่นี่คนปัจจุบัน”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบกลับไปว่า
“งั้นเรามาคุยกันเถอะครับ”
แต่เรื่องแรกที่จ้าวเฉียนเปิดประเด็นขึ้นมากลับไม่ใช่เรื่องบริษัทเธอ เขาเอ่ยปากถามขึ้นว่า
“เรื่องบริษัทของคุณ ทุกอย่างเรียบร้อยดีเหลือแค่เซ็นลงนามเป็นอันเสร็จสิ้นครับ แล้วที่ผมมาในวันนี้ อยากจะให้คุณเหลียวช่วยอะไรหน่อยน่ะครับ”
“โอ้? ว่ามาสิ”
เหลียวปี้เอ๋อร์ตอบ
จ้าวเฉียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ผมต้องการเข้าลงทุนในบริษัทหัวโหย้วด้วยชื่อของตัวผมเองครับ แต่คุณเหลียวเองก็น่าจะทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ชายของคุณดี เขาไม่มีทางขายหุ้นให้ผมแน่นอน ดังนั้นก็เลยอยากให้คุณช่วยซื้อแทนผมที จากนั้นค่อยโอนหุ้นมาให้ผมต่อ ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมไม่ให้คุณเสียเวลาช่วยผมโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน ผมจ่ายค่าหุ้นที่คุณซื้อต่อจากพี่ชายคุณเป็นสองเท่าเลยครับ”
เหลียวปี้เอ๋อร์ตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น เธอรีบเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“จ่ายให้ฉันเป็นสองเท่า? นี่นายประเมินหัวโหย้วสูงเกินไปหน่อยรึเปล่า? ถึงอยากได้ขนาดนั้น?”
จ้าวเฉียนหัวเราะและเอ่ยตอบกลับไปว่า
“เดิมทีผมมีบริษัทด้านสื่อบังเทิงอยู่แค่แห่งเดียว แต่ไม่นานมานี้ผมเพิ่งทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเข้าควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปมา ดังนั้นถ้าผมกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองหรือแม้แต่อันดับหนึ่งของหัวโหย้วได้ ผมจะสามารถปรับโครงสร้างเกมใหม่ โดยการนำสื่อบังเทิงและลิขสิทธิ์นิยายดังในมือเข้ามาผสมผสานได้ ถ้าโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จด้วยดี ผมจะสามารถทำกำไรได้เป็นก่อเป็นกำ ดังนั้นหัวโหย้วถือได้ว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักของแผนการในครั้งนี้ เข้าใจที่ผมจะสื่อใช่ไหมครับ?”
เหลียวปี้เอ๋อร์ที่ได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจหนักเข้าไปใหญ่
“หรือนาย…นายเป็นคนที่คว่ำฮวาหยินกรุ๊ปงั้นเหรอ?”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบเบาๆ
เหลียวปี้เอ๋อร์ถึงกับระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นพร้อมปรบมือให้ทันที และเอ่ยถามต่อว่า
“เอาล่ะ ถ้าฉันช่วยทำให้นายซื้อหุ้นส่วนหัวโหย้วมาได้ นายจะให้อะไรแก่ฉันบ้าง?”
“ผมพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ? คุณต้องใช้เงินเท่าไหร่เพื่อซื้อหุ้นในมือพี่ชายคุณล่ะ? ถ้าคุณใช้เงินไป200ล้าน ผมก็จะซื้อต่อคุณในราคา400ล้าน ประโยชน์ขนาดนี้ยังไม่พออีกเหรอครับ? จากที่วิเคราะห์มา มูลค่าแท้จริงของบริษัทหัวโหย้วอยู่ที่500ล้านหยวน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ผมสามารถจ่ายได้เช่นกัน”
ข้อเสนอนี้ฟังดูน่าสนใจอย่างมาก แต่มนุษย์ทุกคนล้วนมีความโลภ ไม่เว้นแม้แต่เหลียวปี้เอ๋อร์ ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถามต่อว่า
“ถ้าอย่างนั้น…ฉันขอแบ่งหุ้นส่วนสักนิดเก็บไว้เองได้ไหม? ฉันแค่อยากถือกินปันผลด้วยเท่านั้น”
จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบกลับไปทันทีว่า
“ไม่ได้ครับ เพราะสัดส่วนที่พี่ชายคุณถืออยู่มันมีไม่มาก ผมต้องการขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองไม่ก็อันดับหนึ่งของหัวโหย้ว นอกเสียจากคุณสามารถตามเก็บหุ้นจากรายอื่นเพิ่มเติมได้ ถึงตอนนั้นผมจะลองเก็บไปพิจารณาดูอีกทีหนึ่ง”
เหลียวปี้เอ๋อร์ชะงักค้างไปครู่หนึ่ง อย่างไรก็ตามแต่ นี่เป็นบริษัทของพี่ชายเธอ ดังนั้นเธอในฐานะน้องสาวจำเป็นต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป
จ้าวเฉียนไม่ได้พูดกดดันเธอเช่นกัน และนั่งรอเธอตัดสินใจอย่างเงียบๆ
ผ่านไปหลายนาที เหลียวปี้เอ๋อก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่นายต้องการลงทุนเพราะบริษัทนี้อยู่ในแผน หรือต้องการแก้แค้นพี่ชายฉันเฉยๆ?”
จ้าวเฉียนหัวเราะพลางตอบกลับไปว่า
“คุณเหลียว ในเมื่อเรามีโอกาสได้พูดคุยกับตามตรง ผมเองก็ไม่คิดจะโกหกคุณอยู่แล้ว แต่ลองคิดตามนะครับ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ผมถึงขนาดทุ่มเงินจำนวนหลายพันล้านเพื่อครอบครองฮวาหยินกรุ๊ปในมือ ซึ่งคุณน่าจะทราบดีว่าผมพูดความจริง ถ้ายังไม่เชื่อก็ลองไปเช็คมูลค่าแท้จริงของฮวาหยินกรุ๊ปได้ แผนขั้นต่อมาคือการค้นหาบริษัทเกมเพื่อผลิตตัวเกมที่ดีและมีคุณภาพตามความต้องการออกมา ถ้าคุณเหลียวไม่ยอมร่วมมือกับผม ผมก็แค่หาบริษัทเกมแห่งอื่นแค่นั้นครับ”
เหลียวปี้เอ๋อร์ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าตอบทันทีและกล่าวว่า
“ถ้าอย่างงั้นฉันจะลองดู แล้วนายต้องการหุ้นส่วนเท่าไหร่?”
จ้าวเฉียนชูมือเลขสี่ออกมา
“ไม่น้อยกว่า40%”
เหลียวปี้เอ๋อร์ส่ายหัวตอบทันทีว่า
“ไม่มีทาง พี่ชายของฉันมีหุ้นส่วนในมือแค่80% ด้วยนิสัยของเขา เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะขายให้ฉันครึ่งหนึ่ง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณเหลียวก็พยายามซื้อให้ได้มากที่สุดแล้วกัน ตกลงไหมครับ?”
จ้าวเฉียนเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง
เหลียวปี้เอ๋อร์พยักหน้าและตอบกลับไปว่าไม่มีปัญหา เธอจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อซื้อหุ้นมาในครั้งนี้
จ้าวเฉียนฮัมเพลงท่าทางอารมณ์ดี และหยิบซองเอกสารออกมา เปิดสัญญาการเข้าควบคุมบริษัทของเธอพร้อมเงื่อนไขต่างๆที่หลังจากนี้เธอจำเป็นต้องปฏิบัติตาม
เหลียวปี้เอร์หยิบขึ้นมาตรวจสอบอย่างรวดเร็ว ในขั้นต้นเธอไม่มีปัญหาเรื่องแนวทางและกลยุทธ์หลังจากนี้ แต่ข้อควรปฏิบัติบางข้อมันก็ยากเกินกว่าเธอจะยอมรับเช่นกัน อย่างเช่น การเลิกจ้างพนักงานบางส่วน
“หลังจากที่นายเข้ามาควบคุมบริษัทจะทำการเลิกจ้างพนักงานบางส่วนออกไปทันที แล้วนายไม่กลัวว่าพนักงานจะร่วมตัวกันประทวงเหรอ? อย่างน้อยก็ประกาศให้พวกเขาเตรียมตัวหางานใหม่ก่อนดีกว่าไหม?”
เหลียวปี้เอ๋อร์กล่าวขึ้น
จ้าวเฉียนส่ายหัวพร้อมเอ่ยตอบน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“สิ่งแรกที่ควรจัดการทันทีคือการเลิกจ้าง ไม่มีที่ว่างสำหรับการเตรียมตัว ออกคือออก และพนักงานทุกคนในบริษัทจำเป็นต้องผ่านการคัดกรองตามข้อกำหนดที่ผมให้ไว้เท่านั้น ใครไม่ตรงตามคุณสมบัติจะถูกเลิกจ้าง ผมสามารถจ่ายเงินจ้างพวกเขาออกได้ตามกฎหมาย หรือก็คือ เงินเดือนพิเศษชดเชยหนึ่งเดือน บวกกับค่าครองชีพประจำวันในระหว่างที่พวกเขาหาเงินใหม่ ”
เหลียวปี้เอ๋อร์ไม่เข้าใจได้เลยว่าทำไมจ้าวเฉียนจำเป็นต้องทำแบบนี้ เธอเอ่ยถามขึ้นต่อว่า
“ทำไมนายถึงยอมจ่างเงินมากขนาดนี้เพื่อเลิกจ้างพนักงาน? ถึงบริษัทผลัดเปลี่ยนเจ้าของ แต่งานมันต้องเดินหน้าทุกวันนะ ถ้าพนักงานเกินครึ่งไม่ผ่านคุณสมบัติขึ้นมาและนายไล่ทั้งหมดออกไป แล้วจะหาใครมาทำแทนระหว่างประกาศหารับสมัครใหม่? หรือต้องการไล่คนออกเพื่อประหยัดเงินทุนไว้?”
จ้าวเฉียนอธิบายตอบกลับไปว่า
“การเลิกจ้างไม่ใช่ทำเพื่อประหยัดเงิน แต่ทำเพื่อให้บริษัทมีที่ว่างสำหรับคนที่มีศักยภาพมากกว่า สาเหตุหลักที่บริษัทของคุณแย่ลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีมานี้ มันไม่ใช่เพราะธุรกิจของคุณไม่ดี แต่เป็นเรื่องทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่มีประสิทธิภาพพอ ดังนั้นแล้วปัญหาหลักที่ผมมองเห็นในขณะนี้คือ พนักงาน”
เหลียวปี้เอ๋อร์ที่ได้ฟังดังนั้นยิ่งมึนงงหนักกว่าเดิม พนักงานเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมือเก๋ามีประสบการณ์มากมาย ผ่านบริษัทมาแล้วมากมายกว่าหลายปี บางคนกว่าสิบปีก็ยังมี ดังนั้นทำไมจ้าวเฉียนถึงบอกว่าปัญหาหลักกลับอยู่ที่พวกเขากัน?
[1]การที่เราขายหุ้นเมื่อได้กำไรออกมาเร็วเกินไป ซึ่งราคาหุ้นตัวนั้นยังขึ้นต่อไปจากราคาที่คุณขายอีกมากมาย