ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่253 แกมีปัญหาแล้ว
ตอนที่253 แกมีปัญหาแล้ว
หวานเจียงเร่งปั่นงานเร็วกว่าก่อนหน้าอย่างชัดเจน จากอ่านเอกสารหน้าหนึ่งใช้เวลาเกือบสองถึงสามนาที แต่ตอนนี้พูดได้ว่าหน้าละนาทีเศษเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเธออยากจะรีบออกไปเที่ยวกับจ้าวเฉียนเต็มทนแล้ว
เห็นอีกฝ่ายเร่งรีบขนาดนั้นจนไฟแทบลุก จ้าวเฉียนก็เอ่ยเตือนขึ้นว่า
“ใจเย็น ใจเย็นแม่สาวน้อย เรายังมีเวลาอีกทั้งวัน ไม่ต้องรีบขนาดนั้น นี่มันเอกสารสำคัญทั้งนั้นเลยนะ ถ้าเกิดปัญหาตามมา เราอาจจะไม่มีเงินมากพอสำหรับสุสานสวยๆของเราทั้งคู่ในอนาคตนะ”
หวานเจียงทำงานไปพลางหัวเราะไป และความเร็วของเธอก็ช้าลงกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย พยามยามตรวจสอบเอกสารอย่างรอบคอบที่สุด
หนึ่งชั่วโมงต่อมา หวานเจียงวางปากกาลงโต๊ะดังปัง ปิดแฟ้มเอกสารเหล่านั้นพร้อมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย
“ไปหาอะไรกินกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”
หวานเจียงกล่าวเรียกจ้าวเฉียนพลางจัดข้าวของเตรียมกลับ
จ้าวเฉียนลุกขึ้นโดยไว หยิบโทรศัพท์ใส่ลงกระเป๋าเสื้อและเดินออกจากห้องทำงานไปพร้อมกับเธอ
แต่ช่างบังเอิญเหลือเกิน หยางเฉิงกับหยางหมิงดันเดินทางมาที่นี่พอดีในเวลานี้ ขณะที่จ้าวเฉียนและหวานเจียงกำลังเดินเข้าไปในลิฟต์เพื่อลง ก็ชนเข้ากับสองพ่อลูกตระกูลหยางที่กำลังขึ้นมาหา
แม้เธอจะไม่ชอบขี้หน้าหยางหมิง แต่หวานเจียงยังคงให้ความเคารพหยางเฉิงอยู่บ้าง เธอยิ้มและทักทายอีกฝ่ายทันที
“สวัสดีค่ะลุงหยาง วันนี้มาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าค่ะ?”
หยางเฉิงไม่คิดที่จะเอ่ยปากตอบคำถามของหวานเจียง แต่เหลือบหางตามองไปยังจ้าวเฉียนและเอ่ยถามขึ้นว่า
“แกมาที่นี่ทำไม?”
พอได้ยินดังงั้น จ้าวเฉียนก็โอบเอวหวานเจียงโดยตรงและยิ้มตอบไปว่า
“คุณหยาง เหตุผลแค่นี้คงชัดเจนพอแล้วใช่ไหมครับ?”
ทั้งสองพ่อลูกตระกูลหยางถึงกับปั้นหน้าน่าเกลียด เดิมทีหวานเจียงควรจะเป็นลูกสะใภ้ตระกูลหยาง แต่ดันถูกไอ้สารเลวนี่ทำลายแผนการทุกอย่างไป!
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องของหนุ่มสาว สถานการร์ของเฟยอวี่กรุ๊แตอนนี้เสี่ยงล้มละลายอย่างมาก ตัวหยางเฉิงเองก็พยายามยืมเงินจากทุกคนแห่งที่ตนรู้จักเพื่อมาชำระหนี้ก้อนโต ซึ่งตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจเลยเช่นกันว่า เฟยอวี่กรุ๊ปจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไปได้หรือไม่
วันนี้สองพ่อลูกตระกูลหยางมาที่ฮวาหยินกรุ๊ปก็เพื่อต้องการจะร่วมมือกับหวานเจียง ไม่ว่ายังไง ความสัมพันธ์ระหว่างหวานหลินกับหยางเฉิงค่อนข้างแนบแน่น ในช่วงก่อตั้งธุรกิจพวกเราร่วมกันบุกน้ำลุยไฟมาก่อน ดังนั้นครั้งนี้ฮวาหยินกรุ๊ปต้องให้ความช่วยเหลือเฟยอวี่กรุ๊ปแน่นอน
หยางเฉินยิ้มและกล่าวกับหวานเจียงว่า
“หลานสาวของลุง ไปนั่งคุยกันในห้องทำงานกันก่อนดีกว่านะ”
หวานเจียงส่ายหัวและตอบกลับไปอย่างไร้เยื้อใยว่า
“ลุงหยาง ถ้ามีอะไรก็พูดกันตรงนี้เลย หนูต้องไปทานดินเนอร์กับจ้าวเฉียน ไม่ไม่ใช่เรื่องด่วนจริงก็คุยกันตรงนี้แหละค่ะ”
หยางหมิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับทนไม่ได้ เจตนาถอนหายใจใส่อย่างแรงและกล่าวขึ้นว่า
“พวกเรามาที่นี่เพราะจะถามเรื่องลิขสิทธิ์นิยาย‘เทพอสูรบรรพกาล’ ทั้งๆที่พวกเราตกลงกับลุงหวานไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมจู่ๆถึงยกเลิกสัญญากลางคันล่ะ?”
หวานเจียงขี้เกียจจะอธิบายใดๆเพิ่มเติม ดังนั้นเธอจึงยื่นมือออกไปโอบเอวจ้าวเฉียนตอบ และกล่าวว่า
“ถ้าจะถามถึงคำอธิบาย แค่นี้ก็คงพอแล้วนะ?”
หยางหมิงเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะเยาะจ้าวเฉียนไม่ได้และเอ่ยขึ้นว่า
“เหอะ เหอะ…ฉันไม่คิดเลยว่า แมงดาอย่างแกจะไต่เต้าหลอกผู้หญิงจนได้ดิบได้ดีขนาดนี้ ส่วนฝ่ายผู้หญิงก็ยังโง่ให้มันหลอก! จ้าวเฉียน ฉันถามจริงๆเถอะ แกคิดว่าจะเอาชนะฉันได้จริงๆเหรอ?”
ในแง่ของความร่ำรวย เป็นความจริงที่ทั้งสองเป็นถึงทายาทตระกูลเศรษฐี จะต่างกันก็ที่คนหนึ่งระดับเมือง ส่วนอีกคนระดับประเทศ คงไม่ต้องถามนะว่ามันเทียบกันได้ไหม
ซึ่งในสายตาจ้าวเฉียนเอง เขาไม่เคยเห็นหยางหมิงเป็นคู่แข่งของเขาแม้สักนิด นั้นเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่คู่ควรพอ
แต่หยางหมิงผู้โง่เขลาคนนี้กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจ้าวเฉียนเลย และคิดว่าตัวเองมีดีกว่าจ้าวเฉียนอย่างไม่ต้องสงสัย
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบไปอย่างไม่แยแสว่า
“เอาชนะ? ผมไม่ได้มองว่าพวกเรากำลังแข่งขันอะไรกันด้วยซ้ำ คุณไม่มีสมบัติมากพอที่จะคู่ควรเป็นคู่แข่งของผม เสี่ยวเจียง เราไปหาอะไรทานกันเถอะ อ่อ…ส่วนเรื่องที่เฟยอวี่กำลังหาเงินมาใช้หนี้ ผมแนะนำให้พวกคุณสองคนลองไปขายตัวดูนะครับ เผื่อจะได้เงินมาจุนเจือบ้าง ตราบใดที่ผมกับเสี่ยวเจียงยังไม่ได้เลิกรากัน ก็อย่าหวังขอความร่วมมือกับฮวาหยินกรุ๊ป”
หลังพูดจบ จ้าวเฉียนก็เดินชนไหล่ของทั้งคู่จนเซถอยออกไป และควงแขนลงลิฟต์ไปกับหวานเจียง
สองพ่อลูกตระกูลหยางหน้าแตกชนิดหมอไม่รับเย็บ ที่มาในวันนี้เพื่อขอความร่วมมือโดยเฉพาะ แต่ใครจะไปคิดว่าจะถูกจบกลับมาจนหน้าสั่นปานนี้
หยางหมิงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัด กัดฟันดังกรอดพูดกับพ่อว่า
“พ่อ! ผมยอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้จริงๆ! มันต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำกับพวกเราอย่างสาสม! สิ่งนี้มันยิ่งตอกย้ำว่า เราไม่ควรขายลิขสิทธิ์โปรเจคต่างๆในมือเพื่อใช้หนี้ แต่เราควรเปิดรับกองทุนที่หวานฮันซูเสนอมา!”
แต่หยางเฉิงไม่ต้องการให้พวกต่างชาติเข้ามาแทรกแซงในบริษัทของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอเมริกา มีหลายต่อหลายบริษัทแล้วที่เสียรู้ความหัวหมอของอีกฝ่าย ขอขยายส่วนผู้ถือหุ้นเรื่อยๆจนเจ้าของเดิมต้องเสียสิทธิ์การบริหารไป หยางเฉิงรู้สึดว่า ยังไงก็ได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน
ถ้ามันสุดจะแก้ไขได้แล้วจริงๆ หยางเฉินก็แค่ขายลิขสิทธิ์โฌปรเจคต่างๆในมือเฟยอวี่กรุ๊ปไปบางส่วน อย่างน้อยๆเขาก็ยังสามารถควบคุมและบริหารต่อไปได้ เพื่อให้มั่นใจว่าเฟยอวี่กรุ๊ปยังเป็นของสกุลหยาง
ดังนั้นหยางเฉิงจึงเอ่ยปากเตือนลูกชายไปทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง เขาไม่แนะนำการเปิดรับเงินทุนของต่างประเทศ นั้นจะเป็นทางเลือกสุดท้ายของท้ายสุดเท่านั้นที่จะนำมาใช้
หยางหมิงพยักหน้าตอบอย่างจนใจ ทั้งๆที่เขาทราบดีอยู่แล้วว่าพ่อต้องปฏิเสธแน่นอน แต่อย่างไร เขาไม่เห็นด้วยกับความคิดของพ่อเลยสักนิด หยางหมิงรู้สึกเพียงว่า พ่อของเขาเป็นคนมีทิฐิมากเกินไป และสิ่งนี้จะทำลายบริษัทที่ตัวเองพยายามสร้างขึ้นมาจนไม่เหลือดี
เมื่อใดที่หยางหมิงเข้าสานต่อเฟนอวี่กรุ๊ปต่อจากพ่อ เขามีแผนที่จะขยายสาขาไปยังต่างประเทศอยู่แล้ว ตราบใดที่มันคุ้มค่าพอให้ลองเสี่ยง แล้วทำไมต้องกังวลเรื่องศักดิ์ศรีด้วยล่ะ? ถึงเฟยอวี่กรุ๊ปในอนาคตจะไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นของสกุลหยางได้เต็มปาก แล้วมันยังไงล่ะ?
หวานเจียงติดตามจ้าวเฉียนขึ้นรถจากัวร์ของเขาไป วันนี้เธอไม่มีอารมณ์ขับรถเองเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงอยากติดรถจ้าวเฉียนไปเพื่อความสะดวกสบายของตัวเธอเอง
หลังจากขับรถออกไปเข้าสู้ถนนเส้นหลัก จ้าวเฉียนก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร ขับรถด้วยความเร็วคงที่ไปเรื่อยๆ ขณะนั้นเองจู่ๆเขาก็เอ่ยถามเชิงติดตลกขึ้นว่า
“ไม่ทราบว่าคุณหวานคิดอีท่าไหนครับ ถึงเลือกที่จะปฏิเสธให้ความร่วมมือกับเฟยอวี่กรุ๊ปไป? ไม่คำนึงถึงความรู้สึกคุณพ่อที่กำลังป่วยหนักเลยเหรอครับผม?”
หวานเจียงป้องปากหัวเราะคิดคักและเอ่ยตอบไปว่า
“นี่นายอย่ายั่วโมโหฉันนะ ตั้งใจขับรถไปเลย นายใช้เงินตั้งสี่พันล้านเพื่อเอาคืนฉัน แล้วถ้าฉันยังเลือกไปร่วมมือกับเฟยอวี่กรุ๊ป นายไม่ฆ่าฉันเลยรึไง? หมาบ้าอย่างนายมันทำอะไรเหนือความคาดหมายอยู่แล้ว และอีกเหตุผลสำคัญคือ ฉันก็ไม่อยากร่วมมือกับคนพวกนั้นอยู่แล้ว ถึงจะทำร้ายความรู้สึกพ่อไปสักหน่อยก็เถอะ”
จ้าวเฉียนร่วนหัวเราะตอบเล็กน้อย และถามต่อว่า
“เหตุผลแค่นี้? ไม่ใช่ว่าที่ตัดสินใจฉีกสัญญาความร่วมมือกับเฟยอวี่เพราะคนสำคัญอะไรแบบนั้นบ้างเหรอ?”
ชั่วพริบตาหนึ่ง หวานเจียงเหมือบมองจ้าวเฉียนด้วยความเขินอาย เธอรู้ดีว่า ที่เขาถามแบบนี้เพราะต้องการอะไร แต่เธอไม่มีทางพูดในสิ่งที่เขาต้องการจะได้ยินแน่นอน
“อะแฮ่ม…ก็นายช่วยชีวิตพ่อฉันเอาไว้ ซึ่งเขาเองก็ตำหนิฉันไม่ได้เช่นกันที่เลือกฉีกสัญญากับเฟยอวี่ สุดท้ายนี้นายเป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเรา นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้”
จ้าวเฉียนถึงกับกลอกตามองบนไปรอบหนึ่ง เขาอุตส่าห์พูดตะล่อมให้เธอตอบในคำตอบที่เขาอยากจะได้ยิน แต่ที่ไหนได้เธอกลับเปลี่ยนเรื่อง พูดอะไรก็ไม่รู้หน้าตาเฉย ยามนี้รู้สึกหัวเสียอย่างมาก เจาพูดตัดพ้อขึ้นว่า
“หึ! ฉันไม่มีอะไรจะคุยแล้ว! ฉันจะตั้งใจขับรถ!”
ทันใดนั้นเอง หวานเจียงก็ยื่นมือออกมาหยิกแก้มจ้าวเฉียนเบาๆ เธอกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“ไม่น่าเชื่อแหะ ตอนนายโมโหก็น่ารักไม่เบา”
“น่ารักแล้วมันมีประโยชน์อะไรล่ะ? ถ้าอีกฝ่ายไม่รัก!”
จ้าวเฉียนตอบเสียงหวนปั้นหน้าหงุดหงิด
หวานเจียงยิ้มตอบกลับไปว่า
“แล้วนายรู้ได้ไงว่าอีกฝ่ายเขาไม่รัก? อาจจะเป็นเพราะนายขี้แกล้งเกินไปไง คนอื่นเขาเลยหมั่นไส้ไม่อยากบอกรัก อีกอย่างนะของแบบนี้มันต้องใช้ใจสัมผัส ไม่จำเป็นต้องบอกรักกันต่อหน้าสักหน่อย”
ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะเอ่ยปากตอบ จู่ๆจ้าวฝู่ก็โทรสายเข้ามา เขารีบรับสายทันทีว่า
“ฮาโหลพ่อ มีอะไรรึเปล่า? ตอนนี้กำลังขับรถขอแบบสั้นๆได้ใจความ”
จ้าวฝู่กล่าวน้ำเสียงโกรธเคืองตอบไปว่า
“หึ! จะให้พูดสั้นๆได้ไง! แกมีปัญหาแล้วรู้ไหม!”
จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบจอดรถข้างทาง และปิดฟังก์ชั่นบลูทูธในรถ เขาหยิบมือถือออกมาคุยนอกรถแทน
จ้าวฝู่ที่จู่ๆก็โทรหาเป็นการส่วนตัวแถมยังบอกว่าเขากำลังมีปัญหาแบบนี้ นี่หมายความได้ว่า เขากำลังมีปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวก่อนเรื่องอื่นใด ในอีกด้าน พอเห็นจ้าวเฉียนเดินลงจากรถไปคุยโทรศัพท์ เธอก็พลันรู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที