ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่280 เช็คหนึ่งล้าน
ตอนที่280 เช็คหนึ่งล้าน
หัวเซินซวนถอนหายใจเฮือกแรงด้วยความโกรธและตะคอกขึ้นว่า
“ฉันเคยบอกแกไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า อย่าส่งเธอไปเรียนที่ต่างประเทศ! หัวคิดแบบชาติตะวันตกมันไม่เหมาะกับเรา! แต่ตอนนี้แกก็ไม่ฟัง แล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ? สไตล์เสรีชนในจีนมันดีอย่างที่คิดไหม!?”
หัวฉีเฉินยิ้มแห้งเล็กน้อย เอ่ยตอบอย่างเก้อเขินว่า
“พ่อ อย่ากังวลเรื่องนั้นไปเลย ผมควบคุมเธอได้ ผมจะหาผู้ชายจากตระกูลใหญ่ให้มาแต่งงานกับเธอ”
หัวเซินซวนถ่มน้ำลายลงพื้นท่าทีดูแคลน กล่าวตอบไปว่า
“ด้วยนิสัยที่เอาแต่ใจ ใช้ชีวิตตามอารมณ์ของเธอ ใครแต่งงานด้วยต้องชิบหายกันหมด! ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันแล้ว ไปลองถามหมอดีกว่าว่ามีวิธีใดสามสามารถช่วยเซียงชานได้บ้าง ระหว่างนี้ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นรีบมารายงานฉันทันที เข้าใจไหม?”
หัวฉีเฉินพยักหน้าและหันหลังจากออกไป
หัวเซินซวนนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน ตอนนี้เขาได้ค้นพบสิ่งหนึ่งแล้วคือ ตระกูลจ้าวไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นแค่ผิวเผินจริงๆ และนี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ตระกูลหัวต้องตัดสินใจแล้วว่า จะยอมจำนนแต่เพียงเท่านี้หรือเดินหน้าสู้ให้ตายไปข้างกับตระกูลจ้าว
ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ย่อมต้องเตรียมตัวเตรียมใจก่อนเสมอ ดังนั้นหัวเซินซวนจึงรีบโทรแจ้งบริษัทการท่าเรือของตระกูลหัวทันที โดยบอกพวกเขาว่าอย่าเพิ่งเดินเรื่องออกไปไหนในช่วงนี้ และเรียกระดมลูกเรือทั้งหมดเพื่อเตรียมตัวอยู่ตลอดเวลา
หากท้ายที่สุดนี้จำเป็นต้องต่อสู้อย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ กำลังสำคัญที่สุดของฝ่ายตระกูลหัวก็คือลูกเรือพวกนี้
อีกด้านหนึ่ง พอจ้าวเฉียนออกจากโรงพักมาได้ เขาก็โทรหาหัวเซินซวนทันที
หัวเซินซวนเอ่ยถามคำแรกด้วยความประหลาดใจว่า
“นึกยังไงถึงโทรหาฉัน?”
จ้าวเฉียนหัวเราะคำหนึ่ง เอ่ยตอบไปว่า
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากจะบอกว่า ตอนนี้ผมออกจากโรงพักมาได้แล้ว คุณทำได้แสบมาก และนี่ก็ทำให้ผมโกรธมากจริงๆ หลังจากนี้ผมจะตามล่าพวกคนสกุลหัวให้ถึงที่สุด ดังนั้นเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี ผมลอบโจมตีพวกคุณได้ตลอดเวลา นี่ถือว่าเตือนแล้วนะครับ”
หัวเซินซวนพ่นลมหายใจถอนออกมาเฮือกใหญ่ ตอบกลับทันทีโดยไม่มีเกรงกลัวว่า
“คิดว่าจะทำให้ฉันตกใจได้งั้นเหรอ! พวกเราตระกูลหัวจำเป็นต้องกลัวไอ้เด็กเหลือขออย่างแกไหม? มาเลย! ฉันรอให้แกเริ่มก่อน นี่ถือว่าต่อให้แล้ว!”
จ้าวเฉียนหัวเราะก่อนวางสายไป ในเวลาเดียวกัน หวานเจียงก็พาบอดี้การ์ดส่วนตัวของเธอที่แม่จ้าวเฉียนเป็นคนจัดแจงให้มา
หวานเจียงเอ่ยถามทันทีด้วยความประหม่าว่า
“เป็นยังไงบ้าง? ปลอดภัยดีใช่ไหม?”
จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า
“แน่นอน ไม่มีใครทำอะไรฉันได้อยู่แล้ว กลับบ้านกันเถอะ”
หวานเจียงพยักหน้าแต่ระหว่างขึ้นรถ จู่ๆ เธอก็กล่าวขึ้นว่า
“ฉันต้องกลับตงไห่แล้วจริงๆ บริษัทเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย ฉันต้องรีบกลับไปจัดการ”
จ้าวเฉียนขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้นโดยไว
“เกิดอะไรขึ้น ปัญหาใหญ่ไหม?”
หวานเจียงส่ายหัวและกล่าวว่า
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น แค่เกิดอุบัติเหตุระหว่างการถ่ายทำ มีนักแสดงคนหนึ่งพลัดตกแม่น้ำจมน้ำตาย ฉันต้องรีบกลับไปจัดการน่ะ”
แม้คำพูดของเธอจะดูเลือดเย็นเกินไปหน่อยก็ตาม แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ถึงชีวิตตัวเองย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่จริงๆ กองถ่ายหนังมีข่าวอุบัติเหตุคนตายตั้งเยอะแยะ ซึ่งทางบริษัททำหนังเองก็ทำประกันไว้ให้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
หวานเจียงอยู่ที่นี่ต่อไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่ดี แถมเดิมทีจ้าวเฉียนก็ต้องการให้เธอกลับไปคุมบริษัท ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบไปว่า
“โอเค งั้นเธอกลับไปก่อนเลย ถ้าทุกอย่างจบแล้ว ฉันจะรีบตามเธอไป”
หวานเจียงพยักหน้าและนั่งรถกลับไปพร้อมจ้าวเฉียน เพื่อจัดกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับ
จ้าวฝู่กับอวีกุ้ยเฟิงรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยพอได้ยินว่า หวานเจียงกำลังจะกลับตงไห่
“เสี่ยวเจียง ฉันเลี้ยงลูกมาไม่ดีเอง ถึงหมอนี่จะปากหมาไปบ้าง แต่ทั้งหมดเขาก็ทำไปเพราะหวังดี อย่าโกรธเลยนะ”
อวีกุ้ยเฟิงรีบกล่าวปลอบโยน
หวานเจียงถึงกับหลุดขำ และรีบกล่าวตอบไปว่า
“คุณแม่จ้าวเฉียนเข้าใจผิดแล้วค่ะ หนูไม่ได้กลับเพราะทะเลาะกับจ้าวเฉียน แต่ตอนนี้บริษัทประสบอุบัติเหตุเล็กน้อย แล้วหนูจำเป็นต้องรีบกลับไปแก้ไขโดยเร็วที่สุด”
อวีกุ้ยเฟิงคลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้า เหลือบไปเห็นจ้าวเฉียนที่มองแรงใส่ เธอหัวเราะแก้เขินและยิ้มตอบไปว่า
“อ้าวเหรอ ฮ่าฮ่า…ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัยนะ ระหว่างทางถ้ามีปัญหาอะไรก็รีบโทรหาจ้าวเฉียน นี่เป็นครั้งแรกที่หนูได้เจอกับครอบครัวของเรา นี่จ๊ะ…ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ”
หลังจากพูดจบ อวีกุ้ยเฟิงก็ยื่นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านหยวนให้แก่หวานเจียง แม้เงินจำนวนนี้จะไม่มาก แต่นี่ก็สื่อให้เห็นแล้วว่า พวกเขาพึงพอใจในตัวหวานเจียงอย่างมาก
หวานเจียงลังเลอยู่สักครู่ใหญ่ เธอไม่สามารถรับเงินจำนวนมากขนาดนี้ได้
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หยิบไปสักที อวีกุ้ยเฟิงก็กล่าวถามขึ้นว่า
“เอ่อ…มันน้อยเกินไปรึเปล่า?”
หวานเจียงรีบโบกมือปัดโดยไว อธิบายไปว่า
“ไม่เลยค่ะ! ไม่เลย! อย่าเข้าใจหนูผิดนะคะ นี่มากเกินกว่าที่หนูจะรับได้จริงๆ ค่ะ อีกอย่างจ้าวเฉียนก็ยังไม่ตัดสินใจที่จะคบหากับหนูอย่างจริงๆ จังๆ ดังนั้นหนูก็ถือเป็นคนนอก ไม่กล้ารับจริงๆ ค่ะ”
จ้าวฝู่ยิ้มและกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือซะว่า เป็นของขวัญแทนคำขอบคุณที่มาฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับพวกเราล่ะกัน ถ้าหนูไม่รับพวกเราคงไม่สบายใจเช่นกัน รับไปเถอะนะ”
จ้าวเฉียนหยิบเช็คยัดใส่มือหวานเจียงโดยตรง และยิ้มกล่าวว่า
“รับไว้เถอะ ถือซะว่าเป็นคำขอบคุณที่ยอมมาเจอครอบครัวฉัน”
หวานเจียงขมวดคิ้วย่น พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ใส่จ้าวเฉียนและกล่าวว่า
“ฉันมีเงินเหลือกินเหลือใช้อยู่แล้วย่ะ แล้วอีกอย่างที่ฉันไม่อยากรับเช็คใบนี้เพราะเกรงใจพ่อแม่ของนายไม่ใช่นายสักหน่อย!”
อวีกุ้ยเฟิงรีบขยิบตาให้ลูกชายของเธอโดยไว ซึ่งจ้าวเฉียนเองก็เข้าใจได้ในทันทีและหันมากล่าวกับหวานเจียงต่อว่า
“ถ้าอย่างนั้น…ถือเป็นคำขอบคุณในฐานะแฟนของฉันก็แล้วกัน เงินนี้ถือเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ครอบครัวฉันมีให้เธอ ถ้าไม่รับเอาไว้ก็ถือว่าปฏิเสธครอบครัวของฉันทางอ้อม”
“นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่ายังไม่ได้ตัดสินใจคบหากับฉัน? ฉันไม่ใช่แฟนของนายสักหน่อย แล้วฉันจะรับเช็คใบนี้ได้ยังไง?”
หลังจากพูดจบหวานเจียงก็คืนเช็คให้แก่จ้าวเฉียนอีกครั้ง เธอบอกลาทุกคนและหันหลังกลับไปทันที
จ้าวฝู่รีบตีศอกใส่ลูกชายตัวเองทันทีและกล่าวว่า
“ไอ้ลูกชาย แกรีบไปส่งเธอที่สนามบินเดี๋ยวนี้เลย ไม่ว่ายังไงเช็คใบนี้ต้องอยู่ในมือเธอให้ได้!”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและรีบวิ่งตามหวานเจียงออกไปทันที
ซึ่งทางหวานเจียงเองก็จงใจเดินให้ช้า เพื่อเปิดโอกาสให้จ้าวเฉียนวิ่งตามเธอให้ทัน
ไม่นานจ้าวเฉียนก็ตามทันในที่สุด รีบช่วยเธอลากกระเป๋าเดินทางและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า
“คนสวย ให้ฉันช่วยถือกระเป๋านะ จะปล่อยให้นางฟ้าแบกสัมภาระขึ้นเครื่องโดยลำพังได้ยังไงจริงไหม?”
หวานเจียงเหลือบมองพลางตอบกลับพร้อมสายตารังเกียจว่า
“ปากหวานเชียวนะ แสร้งทำเป็นคนดีรึไง? ใครกันที่บอกฉันว่า เธอไม่ใช่สเป็กของฉันเลย และเธอต้องมาที่หยานจิ้งรับบทเป็นแฟนกัน เหอะ เหอะ…นายนี่มันปลอมเปลือกจริงๆ!”
จ้าวเฉียหัวเราะคิกคักตอบกลับไปว่า
“ผู้หญิงนี่แปลกจริงๆ แหะ พอพูดจริงก็หาว่าหลอก แต่โกหกดันหลงว่าจริง แล้วเธอคิดว่าตอนนี้ฉันพูดจริงหรือหลอกกันล่ะ?”
“จริงหรือหลอกนายนั้นแหละควรรู้ดีอยู่ในใจ! ไม่ต้องมาพูด ฉันไม่อยากฟังแล้ว น่าเบื่อ!”
หลังจากพูดจบ หวานเจียงก็เร่งฝีเท้าเดินลงจากภูเขา จ้าวเฉียนทำได้เพียงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เดินลากกระเป๋าตามลงไป
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงที่จอดรถบริเวณตีนเขา จ้าวเฉียนเรียกคนขับรถให้ไปส่งที่สนามบิน
ทั้งสองไม่พูดคุยกันสักคำระหว่างทาง จนกระทั่งพวกเขามาถึงสนามบิน ขณะที่หวานเจียงจะเดินเข้าเกจ เธอก็หันหลังมากล่าวกับจ้าวเฉียนว่า
“ระวังตัวด้วย คิดให้ดีก่อนจะลงมือทำอะไร เข้าใจไหม?”
จ้าวเฉียนยิ้มและพยักหน้าตอบกลับไปว่า
“ฉันรู้ดีหน่า หลังจากกลับไปทำงาน มีเวลาว่างก็หัดออกกำลังกายดูแลสุขภาพตัวเองด้วย ถ้าฉันจัดการปัญหาตรงนี้เสร็จเมื่อไหร่ จะรีบกลับไปหาเธอทันที รอฉันหน่อยนะ…”
หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็ยัดเช็คลงในมือของหวานเจียงอีกครา
และครั้งนี้หวานเจียงก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เธอยิ้มและพยักหน้าตอบ เดินตรงเข้าไปกอดจ้าวเฉียนก่อนจะเดินลากกระเป๋าเข้าเกทไป
จ้าวเฉียนมองดูเธอเดินจากไปจนรับสายตา เขาหมุนตัวกลับสีหน้าจากยิ้มแย้มกลายมาเป็นมืดทมิฬลงทันใด ต่อจากนี้ถึงเวลาที่เขาต้องชำระแค้นกับตระกูลหัวแล้ว!