ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่282 แค้นคืนสนอง
ตอนที่282 แค้นคืนสนอง
หยิงเสวี่ยเฉิงเหลือบมองไปทางหัวเซียงซิ่วอยู่สักครู่ เธอเอ่ยตอบกลับไปว่า
“ฉันต้องบอกเธอไปตามจริงนะว่า นักข่าวอย่างเราเขียนบทความดีๆได้ แต่การจะเอาออกไปเผยแพร่มันค่อนข้างยาก ดังนั้นเธอควรแบ่งเงินอีกสักก้อนเพื่อใช้ในการซื่อช่องสื่อทางอินเตอร์เน็ต วิธีนี้จะช่วยให้มีคนสนใจมากยิ่งขึ้น แต่อย่างที่ว่าไปนั่นแหละ มันต้องใช้เงินเพิ่มในการจ่ายซื้อพื้นที่ลงข่าว”
หัวเซียงซิ่วเตรียมพร้อมมาดีอยู่แล้ว เธอเพิ่มเงินได้อย่างไม่มีปัญหา แม้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นแง่เพื่อบีบให้เธอจ่ายเพิ่มก็ตาม
“โอ้? แล้วราคาเท่าไหร่ล่ะ? เธอพอมีคนรู้จักในนั้นไหม? ช่วยหาให้หน่อย ส่วนเรื่องราคาฉันยินดีจ่าย”
หัวเซียงซิ่วเอ่ยตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
หยิงเสวี่ยเฉิงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เอ่ยตอบกลับไปว่า
“มีหลายคนเลย แต่สำหรับเรื่องราคามันค่อนข้างสูง อย่างในสื่อบนโลกออนไลน์ของหยานจิ้งไทม์ของเรา ถ้าต้องการหน้าหนึ่งเริ่มต้นที่แปดแสนหยวน หรือถ้าจะเอาขึ้นติดเป็นแบนเนอร์รายสัปดาห์เลยจะอยู่ที่หนึ่งล้านห้าแสนเป็นอย่างน้อย ซึ่งฉันแนะนำว่าเอาขึ้นติดสักสัปดาห์กำลังดี”
เมื่อได้ฟังหยิงเสวี่ยเฉิงกล่าวออกไปแบบนั้น หัวเซียงซิ่วก็เริ่มกังวลเล็กน้อย ถ้าไม่รวยจริงๆ คงไม่มีทางซื้อพื้นที่โฆษณาเพื่อโปรโมทได้เลยใช่ไหม?
พอเห็นว่าหัวเซียงซิ่วเริ่มกังวลใจ หยิงเสวี่ยเฉิงก็รีบกล่าวเร่งเร้าว่า
“แม้ราคาจะสูงเกินไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่ามันได้ผลดีจริงๆ จำข่าวที่ครอบครัวขับBMWตายยกคันได้ไหม? ไม่ว่าเธอจะเปิดโทรศัพท์เข้าแอปไหนก็เจอ จำแม่นเข้าหัวเธอเลยไหมล่ะ?”
หัวเซียงซิ่วรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เธอยังจำข่าวสยองตายยกครัวได้ ไม่ว่าเธอจะเปิดเข้าแอปไหนก็เจอแต่ข่าวดังกล่าว จนท้ายที่สุดเธอต้องกดเข้าไปดูคลิปอุบัติเหตุ ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือก
ถ้าเธออุตส่าห์ใช้เงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้สู้เพื่อพี่ชาย แต่ตำรวจยังกล้าปิดบังความจริง ความยุติธรรมของประเทศนี้คงมีปัญหาจริงๆ แล้ว
แต่อย่างไร สุดท้ายเธอก็จำต้องปฏิเสธไป เพราะเธอมีงบทั้งตัวอยู่แค่3ถึง4ล้านหยวนเท่านั้น ซึ่งหากจ่ายให้เพื่อนนักข่าวแต่ละคนไปแล้ว เธอจะไม่เหลือเงินค่าซื้อพื้นที่โฆษณา
หัวเซียงซิ่วเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า
“ฟังดูน่าสนใจก็จริง แต่ฉันคงจ่ายไม่ไหว เธอช่วยหาวิธีต่อรองราคาได้ไหม?”
หยิงเสวี่ยเฉิงหัวเราะพลางเอ่ยตอบไปว่า
“เซียงซิ่ว นี่เธอไม่ต้องการให้พวกเราช่วยจริงๆ ใช่ไหม? ตระกูลหัวของเธอมีเงินหมุนสะพัดกว่าหลายร้อยล้านหยวนต่อวันกับธุรกิจการท่าเรือและอสังหา กับอีกแค่ล้านเดียวทำไมถึงใจแคบจัง?”
หัวเซียงซิ่วถอนหายใจเฮือกหนึ่งและตอบไปว่า
“อันที่จริงแล้ว…แผนการนี้เป็นฉันคิดเพียงคนเดียว แต่ทางครอบครัวกลับไม่เห็นด้วย เลยต้องออกโรงเองคนเดียวแบบนี้ สุดท้ายก็มีปัญหาอยู่ที่เรื่องเงินจริงๆ นั่นแหละ เห็นแก่ที่เราเป็นเพื่อนกันนะ ช่วยฉันหน่อย”
หยิงเสวี่ยเฉิงแทบอาเจียนออกมาเป็นเลือด เธอไม่ยอมเสียแรงมาช่วยคนเพียงเพื่อการกุศลแน่นอน และที่สำคัญการจะซื้อพื้นที่โฆษณามันต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากพอตัวจริงๆ
ในเวลานั้นเอง เหลียวอวีเฟย นักข่าวจากโจจิ้งไทม์ก็กล่าวขึ้นว่า
“ถ้าเธอยังคงยืนกรานเพื่อเรียกคืนความยุติธรรมให้พี่ชายเธอนะ ฉันยังพอมีวิธีช่วยเธอได้ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเธอใจกล้าพอรึเปล่า?”
หัวเซียงซิ่วพยักหน้าตอบทันทีและกล่าวว่า
“แน่นอน แน่นอน ตราบใดที่มันไม่มากเกินตัว ฉันไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว”
เหลียวอวีเฟยพยักหน้าและอธิบายไปว่า
“ฉันเป็นนักข่าวสายการเงินมาก็หลายปีแล้ว ก็เลยรู้จักพวกกู้นอกระบบไม่น้อยเลย แต่สบายใจได้ ฉันจะแนะนำคนที่คิดดอกเบี้ยต่ำที่สุดให้เธอเอง ยืมเงินก้อนนี้ไปใช้ซื้อพื้นที่โฆษณาเถอะ ตราบใดที่สิ่งนี้สามารถเรียกคืนความยุติธรรมแก่พี่ชายเธอได้ ครอบครัวของเธอย่อมต้องเต็มใจจ่ายเงินชดใช้หนี้แทนเธอแน่นอน”
หัวเซียงซิ่วเกิดและเติบโตในอเมริกา จึงได้อิทธิพลแนวคิดจากพวกอเมริกาชนมาโดยตรง ซึ่งโดยธรรมชาติคนอเมริกาไม่ค่อยจะประหยัดเงินเท่าไหร่ ประชาชนโดยส่วนใหญ่ชอบกู้ยืม เอาเงินในอนาคตมาใช้จ่ายก่อน และนั้นเป็นสาเหตุให้เกิดวิกฤตการณ์สินเชื่อซับไพร์ม [1] ขึ้นในตอนนั้น
ยืมเงินในอนาคตมาใช้ในการดำรงชีวิตในปัจจุบัน ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมากของคนอเมริกัน ดังนั้นหัวเซียงซิ่วจึงตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด
เหลียวอวีเฟยพยักหน้าและหยิบมือถือโทรออกไปทันที และตกลงนัดเจอเสี่ยหนี้นอกระบบที่ร้านกาแฟชั้นล่างในอีกหนึ่งชั่วโมง
หัวเซียงซิ่วรีบทักให้ทุกคนกินข้าวกันให้เสร็จโดยไว หลังจากกินเสร็จทุกคนก็รีบบอกลาจากไปโดยปริยาย และเป็นหน้าที่ของเหลียวอวีเฟยที่พาหัวเซียงซิ่วมารอที่ร้านกาแฟชั้นล่าง
ประมาณสิบนาทีต่อทมา ชายวัยกลางคนในชุดทางการก็เดินทางมาถึง
เหลียวอวีเฟยรีบลุดกขึ้นทักทายอีกฝ่ายทันที และพาเขามาแนะนำตัวกับหัวเซียงซิ่ว
เหลียวอวีเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“มาเถอะ ฉันจะแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักนะ นี่คุณโจวกุ้ย จากฟู่หยุนเงินกู้ ส่วนเธอคนนี้คือหัวเซียงซิ่วจากตระกูลหัวที่เป็นเจ้าของท่าเรือและบริษัทอสังหาริมทรัพย์หัว”
โจวกุ้ยยิ้มและยื่นมือออกไปทักทายกับหัวเซียงซิ่วทันที
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณหนูหัว”
หัวเซียงซิ่วเองก็ตอบกลับอย่างสุภาพไปว่า
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะคุณโจว แรกพบก็รู้สึกถูกชะตาแล้ว”
เหลียวอวีเฟยทักทามให้ทั้งสองนั่งลงก่อน และหันไปพูดกับโจวกุ้ยว่า
“คุณโจว คุณหนูหัวเป็นเพื่อนสนิทในสมัยที่ยังเรียนด้วยกัน ตอนนี้เธอต้องการขอความช่วยเหลือด้านการเงิน ผมก็เลยนึกถึงคุณก่อนเลย เรื่องนี้คุณโจวพอจะช่วยได้ไหมครับ?”
โจวกุ้ยยิ้มและตอบไปว่า
“แน่นอนครับ แน่นอน ฮ่าฮ่า…คุณหนูหัว ผมขอเสียมารยาทถามหน่อยได้ไหมครับว่า คุณหนูต้องการเงินเท่าไหร่ครับ?”
“สักห้าล้านมาเผื่อไว้ก่อน”
หัวเซียงซิ่วตอบกลับไปทันทีแทบไม่คิด
โจวกุ้ยพยักหน้าและกล่าวต่อว่า
“ห้าล้านไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยครับ แต่ผมเองก็ต้องการทราบจุดประสงค์ และระยะเวลาที่คุณหนูจะคืน รวมไปถึงวิธีคืนเงินด้วยครับ”
หัวเซียงซิ่วไม่ต้องการให้โจวกุ้ยรู้ว่า เธอต้องการจะใช้เงินก้อนนี้ไปกับอะไร ดังนั้นเธอจึงปั้นน้ำเป็นตัวแถไปว่า
“ฉันกำลังมีโปรเจคงานใหม่น่ะ แต่ยังขาดเงินทุนอีกเล็กน้อย ถ้าโชคดีพอ ประมาณสิบวันก็น่าจะได้คืนแล้ว อย่างช้าสุดก็น่าจะสองเดือน ยังไงฉันจะพยายามหาเงินมาจ่ายคืนรวดเดียว หวังว่าคุณโจยจะลดดอกเบี้ยให้หน่อยนะคะ”
“ได้แน่นอนครับ เดี๋ยวผมลดให้พิเศษเลย แต่ยังไงคุณหนูหัวต้องกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนมาให้ก่อนครับ ผมถึงจะตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยได้”
โจวกุ้ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
หัวเซียงซวิ่วครุ่นคิดอยู่สักครู่ และตัดสินใจที่จะยืมเงินอีกฝ่ายเป็นเวลาสามเดือน
โจวกุ้ยหัวเราะเสียงดังลั่น หยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบและตอบว่า
“สามเดือนก็สามเดือนครับ งั้นผมให้ดอก5% เป็นยังไงครับ?”
หัวเซียงซิ่วไม่เคยต้องยืมเงินใครมาก่อน ดังนั้นเธอจึงพลันคิดไปว่า ดอกเบี้ย5%ที่โจวกุ้ยบอกมาคือ อัตราดอกเบี้ย5%ต่อสามเดือน นั้นเท่ากับ5%ของเงินห้าล้านคือ250,000หยวน แม้จะดูค่อนข้างมาก แต่หลังจากคืนความยุติธรรมให้พี่ชายเธอได้ คนที่จะมาจ่ายคือพ่อกับปู่ของเธอที่เต็มใจมาช่วยแน่นอน ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าเห็นด้วยทันที
โจวกุ้ยดูพึงพอใจเป็นอย่างมากและตอบกลับไปว่า
“โอเค แล้วคุณหนูหัวต้องการเงินเมื่อไหร่ครับ?”
หัวเซียวซิ่วแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะล้างแค้นให้พี่ชายของเธอ แน่นอนว่ายิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
โจวกุ้ยพยักหน้ากล่าวว่า
“ไม่มีปัญหาครับ ถ้าเซ็นสัญญาเรียบร้อย สามารถรับเงินได้ในวันถัดไปได้เลย แต่ยังไงก็ตาม คุณหนูหัวจำเป็นต้องจำนองทรัพย์สินเป็นตัวค้ำประกันไว้ด้วยนะครับ อย่างเช่น รถ, บ้าน หรือของมีค่า หวังว่าจะเข้าใจนะครับ?”
หัวเซียงซิ่วย่อมเข้าใจในเรื่องนี้ดี เพราะขนาดจะกู้ยืมจากธนาคารยังต้องใช้บ้านเป็นหลักประกัน สำหรับเงินกู้นอกระบบคงต้องมีเช่นกัน
เธอจึงตอบตกลงทันทีว่า
“โอเค มีบ้านอยู่สองหลังภายใต้ชื่อของฉัน ทุกหลังเอาไปค้ำประกันได้เลย”
โจวกุ้ยระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุขและตอบว่า
“คุณหนูหัวเป็นคนใจใหญ่จริงๆ ไม่ทราบว่าวันนี้พอมีเวลาว่างไหม ถ้ามีก็รบกวนเดินทางไปบริษัทพร้อมผมได้ เราจะเซ็นสัญญากู้ยืมเงินกันทันที และจะอนุมัติเงินให้ในวันพรุ่งนี้”
“ว่างค่ะ งั้นไปกันเถอะ”
หัวเซียงซิ่วลุกขึ้นและเดินไปจ่ายค่ากาแฟ เธอแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะล้างแค้นแทนพี่ชายของเธอ
แต่ในขณะเดียวกัน โจวกุ้ยกลับแสยะยิ้มแปลกๆ ออกมา ราวกับว่าเขากำลังซ่อนเจตนาอะไรบางอย่างไว้ในใจ
[1] เป็นวิกฤติการณ์ที่เกิดจากสภาวะฟองสบู่แตกในอเมริกา มีประชาชนกว่า70%ผิดนัดชำระหนี้พร้อมกันทั่วประเทศ