ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่287 เจรจาอีกครั้ง
ตอนที่287 เจรจาอีกครั้ง
จนถึงตอนนี้หัวเซินซวนเพิ่งจะคิดญาติดีกับจ้าวเฉียน แต่มันสายเกินไปแล้ว จ้าวเฉียนเคยย้ำกับหลินเซียะเองงว่า เขาไม่มีทางสานสัมพันธ์คืนดีกับตระกูลหัวอีกต่อไป ถ้าหากเมื่อใดที่ตระกูลหัวร้องขอความปรองดอง ให้ปฏิเสธไปทันที
หลินเซียะจึงกล่าวตอบไปตามตรงว่า
“คุณหัวเกรงว่าจำต้องผิดหวังแล้ว เขาเคยบอกผมล่วงหน้าแล้วว่า ถ้าเมื่อใดที่ตระกูลหัวขอคืนดี ก็ให้ปฏิเสธเป็นคำตอบ ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้”
หัวเซินซวนตอนนี้เริ่มหวาดกลัวขึ้นบ้างแล้วจริงๆ ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องการพบจ้าวเฉียนอีกสักครั้ง
“ผู้ว่าหลิน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปสองตระกูลในหวานจิ้งจะต้องปะทะกันตลอด ในฐานะผู้ว่าเมืองต้องการให้เมืองนี้ตกอยู่ในความวุ่นวายจริงๆ งั้นเหรอ? ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้มันอาจรุนแรงเกินจินตนาการ ผู้ว่าหลินต้องทำอะไรสักอย่าง!”
หลินเซียะเริ่มประหม่าแล้วเช่นกัน ฟังจากสิ่งที่หัวเซินซวนกล่าวไปก็ดูสมเหตุสมผลอย่างมาก ยังไงซะคงเป็นเรื่องดีกว่าที่จะให้ทั้งสองตระกูลเจรจากันอีกสักครั้ง
“เอาล่ะ ยังไงผมจะลองดูแล้วกัน แต่ยังไงก็เถอะ อีกฝ่ายออกตัวบอกล่วงหน้าไปแล้วแบบนั้น ผมคงทำอะไรไม่ได้มาก”
หัวเซินซวนรีบตอบกลับทันที
“ตามนั้นเลยครับผู้ว่าหลิน ถ้าได้ความยังไงก็แจ้งผมมา ตอนนี้ขอตัวลา”
หลินเซียะพยักหน้า จับจ้องแผ่นหลังของหัวเซินซวนที่เดินจากออกไป และหยิบมือถือโทรหาจ้าวเฉียนทันที
ชั่วอึดใจ จ้าวเฉียนกดรับสายโทรศัพท์และเอ่ยถามขึ้นว่า
“ผู้ว่าหลิน เกิดอะไรขึ้น?”
หลินเซียะรู้สึกกระดากปากเล็กน้อยที่ต้องกล่าวออกไปแบบนั้น แต่กระนั้นเขาทำได้เพียงยิ้มและกล่าวขึ้นว่า
“ผมมองว่า…คงเป็นการดีกว่าที่จะให้ทั้งสองฝ่ายลองคุยกันอีกสักครั้ง ยังไงซะการปรองดองกันย่อมดีกว่าทำลายอยู่แล้วจริงไหมครับ? หวังว่าคุณชายจ้าวจะเข้าใจในจุดนี้”
จ้าวเฉียนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ทราบทันทีว่า พวกตระกูลหัวจะต้องเดินทางมาขอร้องหลินเซียะแน่นอน และเขาจำเป็นต้องรักษาใบหน้าไว้เช่นกัน
สถานะของหลินเซียะค่อนข้างละเอียดอ่อน จ้าวเฉียนพอจะเข้าใจในความลำบากใจนี้ดีจึงยิ้มตอบกลับไปว่า
“ในเมื่อผู้ว่าหลินพูดมาขนาดนี้ ผมเองก็ยินดีเจรจากับเขาอีกสักครั้งครับ แต่อย่าให้พวกนั้นทำอะไรอับอายต่อหน้าผม ไม่มีเงื่อนไขหรือข้อเรียกร้องใดๆ กับผม ไม่อย่างนั้นจะไม่มีการเจรจาใดๆ อีกต่อไป”
หลินเซียะรีบตอบกลับไปทันที
“ไม่มีปัญหาครับ ผมจะชี้แจงเรื่องนี้กับพวกนั้นให้ชัดเจน จะต้องไม่มีเรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นเป็นอันขาด”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบตกลงและวางสายไป เขารีบเดินทางไปที่สำนักงานเขต พอตรงเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของผู้ว่า ก็พบหลินเซียะกับหัวเซินซวนนั่งรออยู่ข้างในแล้ว
หลินเซียะรีบลุกขึ้นทักทายทันทีด้วยรอยยิ้มว่า
“น้องเล็ก ขอบคุณมากที่ยังให้หน้าฉันอยู่บ้าง เชิญนั่งก่อน”
จ้าวเฉียนยิ้มและตรงเข้าไปจับมือกับหลินเซียะทันที
“ทั้งหมดเป็นเพราะผมเห็นแก่หน้าผู้ว่าหลินนี่แหละครับ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มาให้เสียเวลา”
หลินเซียะระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุข ผายมือเชิญจ้าวเฉียนให้นั่งลง
หัวเซินซวนในยามนี้ไม่แม้แต่กล้าสบตาจ้าวเฉียนด้วยซ้ำ จึงไม่ได้เอ่ยปากกล่าวอะไรเลย พอเห็นจ้าวเฉียนเหลือบมองมาก็ได้แต่คลี่ยื้มแห้งกลับไป
“จุดประสงค์ที่ผมเรียกทั้งคู่มาในวันนี้เพราะหวังว่า พวกคุณจะลองเจรจากันดูได้ ถ้าการเจรจาครั้งนี้ประสบความสำเร็จไปด้วยดี มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากแก่พวกคุณทั้งสองฝ่าย รวมไปถึงตัวผมด้วย แต่ถ้าการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ผลกระทบหลังจากนี้อาจรุนแรงเกินกว่าจะควบคุมได้อยู่ ดังนั้นเรามาพูดคุยกันด้วยเหตุและผลกันเถอะ”
หลินเซียะชิงกล่าวเปิดประเด็นทันทีอย่างยิ้มแย้ม
หัวเซินซวนแสดงความคิดเห็นของเขาออกไปพร้อมจุดยืนที่ชัดเจนว่า
“ถ้ามีโอกาสเจรจาเปิดใจกันอีกสักครั้ง แน่นอนว่าเรายินดี ณ จุดนี้ต้องขึ้นอยู่กับน้องจ้าวด้วย”
เจ้าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้เห็นได้ชัดเจนว่า เขาพยายามทำราวกับมาด้วยเจตนาดี แต่ในความเป็นจริง ตาแก่นี่แหละหน้าซื่อใจคดโดยแท้ จะเห็นได้เลยว่า ไม่มีความจริงใจออกจากคำพูดของเขาเลย
จ้าวเฉียนยิ้มและลุกขึ้นยืนทันที เขากล่าวว่า
“ผู้ว่าหลิน ถ้ายังจะมาเล่นแง่ใส่กันแบบนี้คงไม่ต้องเจรจาอะไรกันอีกแล้ว คงจะดีกว่าหากเปิดฉากสู้กันให้ตายกันไปข้าง ดูท่าสันติภาพคงไม่ใช่ทางออกของเรื่องนี้”
หลินเซียะตื่นตกใจอย่างยิ่ง ซึ่งหัวเซินซวนเองก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกเช่นกัน
“น้องเล็กใจเย็นลงก่อน ฉันแค่พยายามส่งเสริมให้สามัคคีกดันเข้าไว้ ลองคุยกันดีก่อนสักนิดจะดีกว่านะ”
หลินเซียะรีบร้อนเอ่ยปลอบขวัญ
หัวเซินซวนเองก็รีบอธิบายเช่นกัน
“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้ว ฉันผิดเอง น้องจ้าวใจเย็นก่อน นั่งลงจิบชาสักคำ เรามาพูดกันดีๆ เถอะ”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและนั่งลงอีกครั้ง เบนหน้าหันไปกล่าวกับหัวเซินซวนว่า
“คุณหัวจะมาเจรจาเรื่องอะไรครับ?”
หัวเซินซวนเอ่ยตอบทันทีว่า
“ก็เรื่องหลานฉันนี่แหละ ถ้าต่างฝ่ายต่างสู้ไม่ถอยกันแบบนี้ สุดท้ายไม่ว่าฝ่ายใดล้วนแต่ต้องสูญเสียนะ”
จ้าวเฉียนป้องปากหัวเราะคำหนึ่งและตอบกลับไปว่า
“คุณหัว ลองพิจารณาให้ดีก่อนนะครับ ใครกันที่เริ่มเรื่องนี้ขึ้นก่อน พอเวลานี้บทจะหยุดก็หยุดเองเลยเหรอครับ?”
หัวเซินซวนรีบตอบว่า
“แต่น้องจ้าวก็ตัดมือหลานชายฉันไปแล้ว เขาได้รับกรรมกับสิ่งที่ก่อไปแล้ว จะไม่ให้โอกาสเขาเลยงั้นเหรอ?”
จ้าวเฉียนหัวเราะคำหนึ่ง เอ่ยตอบไปว่า
“เขาสมควรโดนตัดมือไปแล้ว ใครใช้ให้เขาไปทำเรื่องต่ำทรามแบบนั้น นี่ไม่ใช่คำถามที่ผมจำเป็นต้องพิจารณา ตอนนี้มันอยู่ที่คุณแล้วว่าจะมาเจรจายังไง?”
เมื่อเห็นพวกเขากำลังเจรจากันอยู่ หลินเซียะก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นว่า
“ถ้างั้นก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องทะเลาะกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างได้รับผลกับสิ่งที่ก่อขึ้น ที่เหลือก็แค่ช่วยกันทำให้ประชาชนสงบลงเท่านั้น”
พินิจมองจากท่าทางการแสดงออกของหลินเซียะในตอนนี้ เขาดูจะเป็นคนที่กังวลที่สุดแล้วจริงๆ
จ้าวเฉียนที่เห็นแก่หน้าหลินเซี่ยะจึงกล่าวตอบไปว่า
“ผู้ว่าหลินพูดถึงขนาดนี้ ผมคงไม่กล้าปฏิเสธอะไร คุณหัว ตราบใดที่ยินดีจ่ายค่าชดใช้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกอย่างย่อมจบปัญหาได้ครับ”
หัวเซินซวนในขณะนี้ก็เป็นกังวลอย่างมากเช่นกัน เขารีบตอบจ้าวเฉียนกลับไปว่า
“แน่นอน ตราบใดที่จ่ายไหว ไม่ว่าเท่าไหร่ก็ยอม!”
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า
“ถ้างั้นก็คุยกันง่ายหน่อยครับ ค่าซ่อมแซมหลุมศพของคุณย่าเบ็ดเสร็จอยู่ที่หนึ่งร้อยล้านพอดี แล้วผมอยากให้พวกคุณกลับไปประชุมกันในตระกูลก่อน เพื่อพาคนมาขอโทษตระกูลของผม”
เรื่องขอโทษนับเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก จะให้หัวเซินซวนออกโรงไปก้มหัวขอขมาเองยังได้ แต่ค่าชดใช้ตั้งร้อยล้าน นี่ไม่โลภเกินไปหน่อยเหรอ?
หัวเซินซวนเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว
“น้องจ้าว ค่าซ่อมแซมหมุดศพตั้งร้ายล้านเชียวเหรอ? ป้ายสุสานของคุณย่าทำมาจากเพชรรึเปล่า?”
จ้าวเฉียนหัวเราะและกล่าวตอบไปว่า
“อันที่จริงหนึ่งร้อยล้านนี้ มันไม่ใช่แค่ค่าซ่อมแซมหลุมศพหรอก แต่ยังเป็นการลงโทษเพื่อเตือนสติของหลานชายคุณเอง ไม่ให้ทำเรื่องผิดพลาดซ้ำสอง”
จะด้วยเหตุผลใด จู่ๆ มาแบมือขอเงินร้อยล้านมันก็มากเกินไปอยู่ดี เงินตั้งร้อยล้านสามารถนำไปลงทุนอะไรได้อีกตั้งหลายอย่าง จะมาให้กันฟรีๆ กันได้ยังไง?
แต่ถ้าครั้งนี้หัวเซินซวนยังกล้าปฏิเสธล่ะก็ เขาจะไม่มีโอกาสเจรจาเพื่อหาทางออกอย่างสันติภาพอีกต่อไปแล้ว
หัวเซินซวนตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำอะไรไม่ได้นอกจากเหลือบมองไปที่หลินเซียะด้วยความอับอาย
ตอนนี้เหลือเพียงหลินเซียะคนเดียวเท่านั้นที่ยังพอช่วยให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กได้ และการที่หลินเซียะมาอยู่ ณ จุดนี้ก็เพื่อเกลื้ยกล่อม หาข้อสรุปที่ลงตัวที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายเช่นกัน ดังนั้นเขาที่รู้หน้าที่จึงหันไปกล่าวกับจ้าวเฉียนว่า
“ร้อยล้านมันมากเกินไปจริงๆ น้องชาย ลองลดลงมาหน่อยได้ไหม? ถือซะว่าเห็นแก่หน้าผม”
สำหรับจ้าวเฉียน เขาไม่สนใจอยู่แล้วว่าเรื่องนะจะจบลงอย่างสันติวิธีหรือใช้ความรุนแรง เพราะอย่างไรเขาต้องการจะทำลายตระกูลหัวอยู่แล้ว ดังนั้นเงินจึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ที่เรียกราคานี้ออกไปก็เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้ตระกูลหัวเล่นๆ เท่านั้น หลังจากนี้ต่างหากคือของจริง
ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงยิ้มและกล่าวตอบไปว่า
“ถ้าผู้ว่าหลินพูดถึงขนาดนี้ก็ช่วยไม่ได้ ห้าสิบล้านขาดตัว ถ้ายังไม่เห็นด้วย พวกเราคงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว เพราะมันไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปเลย”