ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่296 โทรมาใหม่ถ้าอีกฝ่ายไม่เล่นตามกฎ
ตอนที่296 โทรมาใหม่ถ้าอีกฝ่ายไม่เล่นตามกฎ
ในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยอยู่นั้นเอง จู่ๆหยางเหวินซงก็มีสายโทรศัพท์จากหลินเซียะเช่นกัน และหลังจากโทรศัพท์เสร็จสรรพสีหน้าการแสดงออกของเขาเป็นพิมพ์เดียวกับหวั่นหลิวฉีกับเจี้ยงต้าฟาไม่มีผิด เขารีบเรียกลูฏน้องยกพวกกลับทันที ทิ้งท้ายเพียงข้ออ้างปล่อยให้ทุกคนยืนงง
จากนั้นบรรดาหัวหน้าแก๊งคนอื่นๆเองก็ทยอยขอตัวพร้อมข้ออ้างต่างๆนาๆ จนในที่สุดเหลือเพียงพวกคนงานและลูกเรือของตระกูลหัวเท่านั้นที่พร้อมต่อสู้
หวางอวี่จุนหัวเราะพลางกล่าวติดตลกขึ้นว่า
“อ้าว! เกอดอะไรขึ้นกันครับเนี่ย? ที่แท้พวกเขาก็มากินลมลมวิวทะเลกันเฉยๆ อย่าว่าแหละครับ ทะเลของหยานจิ้งขึ้นชื่อที่สุดแล้ว ฮ่าฮ่า…”
สีหน้าการแสดงออกของหัวเซินซวนแปรเปลี่ยนไปทันควัน ใบหน้ามืดทมิฬอัดแน่นไปด้วยความโกรธ
“อย่าเพิ่งภูมิใจไป! แค่คนของตระกูลหัวมันก็มากพอที่จะทำลายพวกแกได้แล้ว!”
หวางอวีจุนระเบิดหัวเราะอีกคราอย่างมีชัย โต้กลับอย่างคร้านจะใส่ใจว่า
“ประธานหัว บางทีเรื่องมันคงผ่านไปนานจนคุณลืมไปแล้ว แต่ผมจะรื้อฟื้นกลับมาให้เอง จำเมื่อห้าสิบปีต่อได้ไหม? ตอนที่ลูกเรือของตระกูลหัวถูกพวกเราท่าเรือเถียงตงปิดล้อมเอาไว้? ตอนนั้นพ่อของคุณ หัวเซียงตงต้องคุกเข่าขอร้องให้สงบศึก ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ท่าเรือหัวกับท่าเรือเฉียนตงก็ไม่เคยปะทะกันอีกเลย? แต่ตอนนี้เหตุการณ์อาจต้องซ้ำรอยแล้ว!”
เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว หัวเซินซวนยังจำได้ไม่ลืมเลือนถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
ในเวลานั้นเขาเพิ่งอายุได้สิบขวบ แต่กลับต้องโดนกลุ่มคนนับหลายร้อยตีกรอบล้อมไว้ไม่ให้หนีไปไหน และตั้งแต่นั้นมา นั่นเปรียบเสมือนปมในวัยเด็กที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งจิตใจเสมอมา เมื่อหวางอวี่จุนขุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็เผยร่องรอยสีหน้าความหวาดกลัวออกมาทันที
แม้เรื่องนี้จะผ่านมาห้าสิบปีแล้ว แต่หัวเซินซวนยังคงหวั่นใจเกรงกลัวไม่ลืมเลือน
ส่วนพวกสมาชิกตระกูลหัวที่เหลือกลับไม่รู้เรื่องราวความอัปยศเมื่อห้าสิบปีก่อนเลย แต่ละคนจึงปั้นหน้างุนงงไม่รู้เลยว่าหวางอวี่จุนกำลังพูดเรื่องอะไร?
หัวฉีเฉินเอ่ยถามพ่อของเขาทันทีด้วยน้ำเสียงเจือสงสัยว่า
“พ่อ เกิดอะไรขึ้นเมื่อห้าสิบปีก่อน?”
หัวเซินซวนพยายามข่มกลั้นความกลัวลงในจิตใจและส่ายหัวกล่าวว่า
“ไม่มีอะไร แกโทรเรียกหลินเซียะให้ออกมายุติปัญหาเดี๋ยวนี้”
หัวฉีเฉินพยักหน้ารีบหยิบมือถือโทรหาหลินเซียะโดยไว
หลินเซียะยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า
“คุณหัวมีอะไรรึเปล่าครับ?”
หัวฉีเฉินรีบรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้อย่างรวดเร็ว และขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยออกหน้ามาแก้ไขปัญหา
แต่หลินเซียะกลับแสยะยิ้มและกล่าวตอบไปว่า
“ผมได้รับโทรศัพท์จากท่าเรือเฉียนตงแล้ว พวกเขาบอกว่ากำลังเปิดรับสมัครคนอยู่ แต่จู่ๆก็ถูกพวกคุณก่อกวน แถมพวกเขาเองก็ยังบอกกให้ทางผมมาเจรจากับคุณ นี่ก็พอดีเลย อันที่จริงผมก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเท่าไหร่หรอกนะ แนะนำให้เลิกไปก่อกวนวฝ่ายอื่นจะดีกว่า เหตุการณ์ในตอนนี้ลองคิดให้ดีสิครับว่า สุดท้ายแล้วใครผิด? ใครกันแน่ที่ควรรับผิดชอบ? ผมคงไม่ต้องพูดอะไรให้มากความหรอกนะครับ”
หัวฉีเฉินรีบตอบกลับไปทันที
“ผู้ว่าหลิน เรื่องนี้พวกเราถูกต้อง! อย่าไปฟังพวกมันเป่าหูนะครับ คนของเรากำลังก่อม็อบเพื่อเรียกร้องถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายใน แล้วจู่ๆพวกท่าเรือเฉียนตงก็ชุบมือเปิปมาขโมยคนของเราไปหน้าตาเฉย! แค่นี้ก็ชัดเจนพอแล้วนะครับว่าใครผิดใครถูก!”
ไม่ว่าหัวฉีเฉินจะอธิบายไปดีแค่ไหน แต่สุดท้ายหลินเซียะก็เข้าข้างฝ่ายจ้าวเฉียนอยู่ดี เขาจึงกล่าวตอบไปว่า นี่เป็นเรื่องปกติของบริษัทคู่แข่งกัน การแย่งกำลังคนกันไปกันมาถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่อย่างนั้นจะมีค่าสมองไหล[1]เพื่ออะไร?
หลินเซียะไม่อยากจะเสียเวลาพล่ามกับหัวฉีเฉินมากไปกว่านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดความกล่าวโดยสรุปไปว่า
“ผมเข้าใจความรู้สึกคุณหัวดีนะ แต่ถึงแบบนี้ท่าเรือเฉียนตงก็เล่นตามเกมตามกฎหมายที่กำหนด ผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินความผิดให้พวกเขาได้ แต่ถ้าพวกเขาฝ่าฝืนกฎหมายเมื่อไหร่ ก็โทรแจ้งผมได้เลย แค่นี้ก่อนนะครับ ผมติดประชุมอยู่”
หลินเซียะไม่แม้แต่ให้โอกาสหัวฉีเฉินอธิบายตอบโต้ใดๆเลย ทันทีที่พูดจบเขาก็กดวางสายไปทันที
หัวฉีเฉินเก็บมือถือของตนลงกระเป๋าไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก และหันมารายงานให้พ่อตัวเองฟังว่า
“พ่อ อีกฝ่ายไม่เต็มใจช่วยเลย”
หัวเซินซวนเอ่ยถามด้วยความขุ่นเขืองว่า
“ทำไม? ไม่ใช่ว่าเขาเองหรอกเหรอที่ต้องการให้สองตระกูลปองดองกัน?”
หัวฉีเฉินรีบตอบกลับไปว่า
“เขาบอกว่า อีกฝ่ายเล่นตามเกมไม่ได้ฝ่าผืนข้อกฎหมาย เขาไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่อีดกฝ่ายเริ่มทำผิดก่อน ค่อยโทรหาเขาใหม่”
หัวเซินซวนทั้งโกรธหลินเซียะที่ทำตัวเมินเฉยต่อสถานการณ์ และยังโกรธหัวฉีเฉินที่ทำอะไรไม่ได้เลย เขาตำหนิติเตียนขึ้นว่า
“นี่มันบ้าอะไรกัน! ใครจะไปสนว่าอีกฝ่ายเล่นตามเกมรึแปล่า! นี่มันเรื่องของสองตระกูล มันไม่ใช่แค่เรื่องรับสมัครคน! ทำไมแกถึงไร้ประโยชน์ขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นแบบนี้ไปฉันจะกล้าฝากอนาคตของตระกูลหัวให้แกได้ยังไง! แค่จะเรียกคนมาช่วยยังทำไม่ได้!”
หัวฉีเฉินยามนี้เหงื่อตกท่วมทั้งตัวไปหมดแล้ว เขารีบขอโทษพ่อโดยเร็ว
“พ่อผมขอโทษ ผมจะรีบโทรหาเขาใหม่เดี๋ยวนี้เลย”
ในเวลานั้นเอง หวางอวี่จุนก๋หัวเราะขึ้นคำโต กล่าวขัดจังหวะว่า
“ประธานหัว เลิกทำให้ลูกชายตัวเองต้องอับอายขายขี้หน้าไปมากกว่านี้เถอะครับ ผู้ว่าหลินก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่า พวกผมเล่นตามเกม แล้วจะไปโยนความรับผิดชอบให้คนอื่นได้ยังไง ควรโทษตัวเองนะครับที่ดูแลคนงานตัวเองไม่ดีเอง ดังนั้นหัดพึ่งพาตัวเองได้แล้วครับ”
คำพูดประโยคนี้ของหวางอวี่จุนจี้จุดกระแทกใจหัวเซินซวนอย่างแรง ตราบใดที่ท่าเรือเฉียนตงไม่เริ่มก่อน พวกเขาคงไม่ต้องมานั่งลำบากกันขนาดนี้
ภายใต้สถานการร์ ณ ปัจจุบันกล่าวได้ว่า ตระกูลหัวจตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของจริง หากไม่จัดการกับพวกท่าเรือเฉียนตง มีหวังพวกคนงานได้ลาออกไปหมดแน่ แต่ถ้าเปิดฉากโจมตี พวกเราจะมีปัญญารับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไหวหรือไม่?
หัวเซินซวนในขณะนี้รู้สึกอับอายอย่างยิ่งที่ซื้อใจคนงานของตัวเองไม่ได้ ถึงได้ไปทรยศไปเข้าร่วมกับพวกท่าเรือเฉียนตงแทน
เฉินหมิงหยูกล่าวขึ้นด้วยคาวมโกรธเคืองว่า
“พวกนายเมื่อกี้ยังหันหลังให้ฉันอยู่เลย พอตอนนี้จะมาขอร้องให้รับทำงาน? จะว่าได้ไหมมันก็ได้แหละ แต่ฉันรู้สึกผิดหวังจริงๆ ยังไงซะตอนนี้เราขอเก็บเรื่องนี้ไปคิดดูก่อนอีกที!”
พวกคนงานที่กลับลำเดินย้อนไปหาเฉินหมิงหยูเพื่อสมัครงาน แต่ละคนล้วนรู้สึกผิดอยู่ในใจและพยักหน้าตอบไม่กล้าโต้เถียง บางคนเอ่ยถามไปว่า มีเกณฑ์รับสมัครอะไรรึเปล่า?
เฉินหมิงหยูสั่งให้พวกลูกน้องแจกแบบฟอร์มสมัครงานให้คนละแผ่นและป่าวประกาศกับทุกคนไปว่า
“ใครที่มีความจริงใจจะทำงานกับบริษัทของเราจริง ก็กรอกดแบบฟอร์มที่แจกให้และใส่ลงในกล่องกระดาษตรงหน้า เราจะเลือกคนที่เหมาะสมเท่านั้นเข้ามาทำงานด้วย”
พวกคนงานที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบแห่เข้าไปหาพวกลูกน้องของเฉินหมิงหยูทันที เพื่อขอแบบฟอร์ม
“ผมขอใบหนึ่ง!”
“ผมเองก็อยากได้เหมือนกัน! แจกให้ผม แจกให้ผม!”
เมื่อเห็นคนงานของตัวเองแย่งใบสมัครงานของท่าเรือของฝ่ายศัตรู หัวเซินซวนยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ ถ้าเขาสูญเสียคนงานพวกนี้ไปมันจะต้องส่งผลร้ายต่อท่าเรือตระกูลหัวอย่างมหาศาล โดยเฉพาะกับค่าชดเชยที่ต้องจ่ายให้กับ กรมการคลังสินค้าจีน และลูกค้าที่มาจ้างวานข่นส่งอีกจำนวนหลายพันรายการ และทั้งหมดที่ว่ามานี้ตระกูลหัวจำต้องรับค่าความเสียหายแก่เพียงผู้เดียว
แถมกัดฟันชำระค่าเสียหายพวกนี้ไปแล้วก็ใช่ว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม มีแนวโน้มสูงมากที่ลูกค้ารายใหญ่ทั้งหลายจะหันไปใช้บริการเจ้าอื่น ที่ซวยไปกว่านั้นคือ อุตสาหกรรมการเดิมเรือในปัจจุบันค่อนข้างซบเซาอย่างมาก มีหลายบริษัทข่นส่งทางเรือที่ต้องปิดตัวลง และถ้าตระกูลหัวสูญเสียลูกค้ารายใหญ่พวกนี้ไป พวกเขาก็มีสิทธิ์ต้องปิดกิจการลงเช่นกัน ชะตากรรมของตระกูลหัวในขณะนี้อยู่ใกล้คำว่าล้มละลายเข้าไปทุกทีแล้ว
เมื่อคิดถึงผลร้ายแรงเหล่านี้ได้ หัวเซินซวนจึงกัดฟันกล่าวกับหัวฉีเฉินทันทีว่า
“บอกคนงานไปว่า พวกเราจะเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการให้!”
หัวฉีเฉินตื่นตกใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยิน เขารีบเกลี้ยกล่อมพ่อของเขาโดยไวว่า
“พ่อ ถ้าทำแบบนี้ เราจะมีค่าใช้จ่ายรายปีเพิ่มอีกหลายสิบล้านเชียวนะ!”
หัวเซินซวนสวนกลับไปทันทีว่า
“ยังมีสมองคิดอยู่รึเปล่า?! จะเลือกจ่ายเพิ่มสิบล้าน หรือจะให้ท่าเรือตระกูลหัวของเราต้องล้มละลาย! คิดสิคิด! ฉันผิดหวังในตัวแกจริงๆ!”
ความมั่นใขของหัวฉีเฉินถูกลดมอนไปอย่างมากเมื่อได้ยินคำว่า ผิดหวัง ดังออกมาจากปากพ่อตัวเอง และตอนนี้เขาไม่แม้แต่กล้าปริปากกล่าวอะไรทั้งสิ้น เพราะกลัวว่าเขาจะพูดจาไม่เข้าหูพ่อ ถ้ายิ่งพูดแล้วยิ่งผิดก็สู้หุบปากไปเลยดีกว่า
[1]เงินพิเศษซื้อใจกำลังคน เพื่อกันไม่ให้บริษัทคู่แข่งแย่งไปได้