ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่297 แผนกดดันสำเร็จ
ตอนที่297 แผนกดดันสำเร็จ
เมื่อเห็นว่าหัวฉีเฉินไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ หัวเซินซวนก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ตะโกนด่าสาปแช่งไปว่า
“นี่แกกำลังคิดอะไรโง่ๆอยู่ใช่ไหม? นี่เรากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่นะ แกไม่มีเวลามางงแล้ว!”
หัวฉีเฉินเร่งเร้ากล่าวตอบไปทันที หยิบถ่อยคำที่หัวเซินซวนพูดไปก่อนหน้าป่าวประกาศโดยไว
“คนงานทุกท่าน โปรดฟังทางนี้! ทางนั้นยื่นข้อเสนออะไรมา พวกเราเองก็สามารถให้ได้เช่นกัน! พวกเราจะให้ทุกคนมีสิทธิ์การรักษาตามข้อกฎหมายที่กำหนด เงินเดือนพื้นฐานแม้ไม่ต้องออกทะเล พวกคุณทุกคนเองก็อุทิศตัวให้ท่าเรือหัวมาตั้งหลายปี ไม่มีความรู้สึกดีๆกับสถานที่แห่งนี้หลงเหลืออยู่เลยงั้นเหรอ?”
เหล่าคนงานที่อารมณ์ค่อนข้างอ่อนไหว พอได้ยินเสียงตะโกนของหัวฉีเฉิน หลายคนก็เริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมาแล้วจริงๆ ถึงอย่างไรท่าเรือตระกูลหัวแห่งนี้ก็เป็นสถานที่คุ้นเคย คงจะดีกว่าแน่นอนถ้าได้กลับไปทำงานที่ตัวเองคุ้นเคยกันมาหลายปี
หวางอวี่จุนเห็นว่าท่าไม่ดี จึงหยิบโทรโข่งขึ้นมาตะโกนว่า
“คุณหัว เลิกสร้างปัญหาให้เราได้แล้ว พวกเราต้องการถูกจ้างอย่างถูกกฎหม่าย แต่คุณก็โกหกพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอตอนนี้มีคนที่เสนอผลประโยชน์ที่ดีกว่าให้พวกเราก็เพิ่งจะเห็นค่ากัน? ถ้างั้นก็ได้! เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำพวกเราเป็นหนึ่งหมื่นหยวนสิ! พวกเรากลับไปแน่!”
“สุดยอด! ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ขอเงินเดือนหนึ่งหมื่นหยวน พร้อมสวัสดิการทุกรูปแบบ!”
“ของมันต้องมี! แต่ถ้าคุณหัวไม่มีให้ พวกเราคงต้องจากกันตรงนี้แล้ว!”
“ไปพวกเรา! ไปกรอกแบบฟอร์มการสมัครกันดีกว่า!”
……….
เหล่าคนงานส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุดหย่อน และทุกคนต่างแสดงความเห็นไปกันทางเดียวคือ ต้องการจะย้ายไปทำงานที่ท่าเรือเฉียนตง
หัวเซินววนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัด หากตระกูลหัวต้องจำนนทำตามเงื่อนไขที่พวกเขาต้องการ แค่ค่าเงินเดือนของคนงานที่ต้องจ่ายเพิ่มก็พุ่งสูงกว่า100ล้านหยวนแล้ว ผนวกกับค่าสวัสดิการและกองทุนเลี้ยงชีพ ตระกูลหัวต้องจ่ายเงินให้พวกคนงานอย่างน้อย200ล้านหยวนต่อปี ซึ่งนี่ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลย
หัวฉีเฉินคตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอายังไง จึงหันมาถามพ่อทันทีว่าจะทำยังไงต่อไปดี?
หัวเซินซวนเหลือบมองไปที่หวางอวี่จุนด้วยสายตาเหยียบเย็น และตอบลูกชายกลับไปว่า
“ตามนั้น! เราจะทำตามเงื่อนไขที่คนงานต้องการ แต่ถึงยังไงต้องมีการคัดกรองคนงานใหม่อีกครั้ง ถ้ามีคุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์ก็ปล่อยทิ้งไป”
หัวฉีเฉินพยักหน้าเชิงสัญญาณว่าเข้าใจในสิ่งที่พ่อของเขาเอ่ยถึง และหันไปป่าวประกาศเสียงดังอีกระลอกว่า
“คนงานทุกท่าน ท่าเรือหัวของเรามีความจริงใจมากพอที่จะทำตามข้อเสนอแนะของทุกคน เงินเดือนการันตีหนึ่งหมื่นหยวน พร้อมสวัสดิการและกองทุนครบคัน! สบายใจว่าเราจะโกงหรือไม่ ผมจะเซ็นสัญญายืนยันให้เดี๋ยวนี้!”
จ้าวเฉียนกำชับเสียงหนักแน่น ไม่ว่ายังไงก็ต้องดึงกำลังคนของท่าเรือตระกูลหัวออกมาให้ได้ ดังนั้หวางอวี่จุนจึงขึ้นเงินเดือนให้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำให้อีกคนละ1,000หยวน ทั้งยังมีเบี้ยเลี้ยงให้ระหว่างออกเดินเรือพิเศษ รายได้แท้จริงของบรรดาคนงานและลูกเรือแต่ละคนจะตกอยู่ที่12,000หยวนต่อเดือน(ประมาณ61,000บาท)
ดังนั้นแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับเงินเดือนขั้นต่ำที่ท่าเรือเฉียนตงมอบให้ ท่าเรือตระกูลหัวยังเป็นรองอยู่2,000หยวนต่อเดือน แถมไม่ใช่แค่นั้น ที่สำคัญมันอยู่ที่เบี้ยเลี้ยงระหว่างเดินเรือของท่าเรืเฉียนตง นั้นหมายความว่า ถ้าลูกเรือและคนงานคนไหนขยันก็จะได้เบี้ยตรงนี้มากขึ้นเท่านั้น ท่าเรือเฉียนตงใจกว้างขนาดนี้ ใครบ้างไม่อยากทำงานให้?!
หัวเฉินซวนโกรธจัดจนเริ่มหายใจหอบเหนื่อยไม่เป็นจังหวะ ตะโกนด่าสาปแช่งไปว่า
“ไอ้สารเลว! แกอยากได้คนงานของฉันขนาดนั้นเลยรึไง! อย่าไปฟังที่มันพูด! มันแค่เสนอปากเปล่าหวังจะโกงคนงานทุกคนทีหลัง!”
หวางอวี่จุนหัวเราะลั่นและกล่าวตอบไปว่า
“คุณหัว คิดจะใส่ร้ายกันหน้าด้านๆแบบนี้เลยเหรอครับ? ผมระบุเพิ่มลงไปแล้วในสัญญาจ้าง ทั้งเรื่องเงินเดือนที่สามารถเพิ่มได้และผลประโยชน์ต่างๆนาๆอีกมากมายครบทุกลายลักษณ์อักษร ทุกคน! ถ้าผมไม่ได้ทำตามที่พูดไว้จริง พวกคุณสามารถถือใบสัญญาจ้างเหล่านี้ไปฟ้องศาลได้ทันที! พวกท่าเรือตระกูลหัวต่างหากกล่าวสัญญาแค่ปากเปล่า ไม่กล้าแม้แต่เขียนระบุลงในสัญญาจ้างแบบพวกเราด้วยซ้ำ เท่านี้ก็น่าจะเห็นแล้วว่า ฝ่ายไหนกันแน่ที่จริงใจกับพวกคุณ?”
หัวเซินซวนถูกกล่าวหาตอบโต้กลับไปทันทีว่า พวกตระกูลหัวไร้ซึ่งความจริงใจ แต่อย่างไรเขาไม่ต้องการโต้เถียงกับหวางอวี่จุน เพียงเพราะรู้สึกว่า อีกฝ่ายคุณสมบัติต่ำเกินไปที่จะสนทนาด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทางเดียวที่ตระกูลหัวจะหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้คือ พวกเขาจะต้องเสนอราคาสู้กับท่าเรือเฉียนตงต่อไป
อย่างน้อยที่สุด พวกขำก็ยังสามารถรักษากำลังคนเอาไว้ได้ และหลังจากออเดอร์เดินเรือชุดใหญ่จบลง พวกเขาค่อยหาข้อแก้ตัวแก้ไขสัญญาจ้างให้กลับมาเป็นแบบเดิมทีหลัง
หัวเซินซวนกล่าวกับหัวฉีเฉินไปว่า
“อย่าไปยอมพวกมัน! สู้ราคาต่อไป! ไม่ว่าพวกมันจะเสนอเท่าไหร่ เราต้องเสนอให้มากกว่า!”
ในตอนนี้ไม่เพียงแค่หัวฉีเฉินที่ไม่เต็มใจ แม้แต่ลูกชายคนอื่นๆของหัวเซินซวนเองก็เริ่มไม่เต็มใจรับได้แล้วเช่นกัน หากยังขืนสู้ราคาแบบนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องสูญเงินไปอีกหลายร้อยล้านหยวนต่อปีเพื่อจ่ายให้กับพวกคนงานเหล่านี้ แล้วประเด็นคือ มูลค่าสุทธิของตระกูลหัวในปัจจุบันมีแค่ประมาณ3,000ล้านหยวน และพวกเขาไม่สามารถรองรับรายจ่ายขนาดนี้ได้ไหวไปตลอด
“พ่อ ผมว่าเรื่องนี้ควรคิดให้ดีก่อนจะเสนอไปนะ รีบร้อนด่วนตัดสินใจไปอาจทำให้เราประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ได้”
หัวฉีหมิงรีบกล่าวแทรกขึ้นทันที
“พี่ใหญ่ ผมเองก็คิดว่าฉีหมิงพูดถูก พี่อย่าเพิ่งใจร้อนไป จุดประสงค์ของพวกมันชัดเจนมาก พยายามขึ้นราคาเพื่อยั่วยุให้พวกเราสู้ พอราคาค่าจ้างถูกปั่นจนสูงเกินจริง พวกมันจะปล่อยให้เรารับภาระแก่เพียงผู้เดียว นี่มันกับดักชัดๆ พี่ใหญ่ต้องตั้งสติ!”
หัวเซินกังเองก็รีบเกลี้ยกลอมเช่นกัน
หัวเซินกัวกล่าวเสริมต่อว่า
“พี่ใหญ่ คนงานยังมีอีกมากให้เราจ้างใหม่ ไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาสูงขนาดนี้เพื่อรั้งชุดเก่าไว้”
หัวเซินซวนเหลือบมองไปทางพวกน้องชายและพวกลูกตัวเองด้วยความผิดหวัง และตอบกลับไปว่า
“พวกแกก็แค่เห็นแก่กำไรเพียงน้อยนิดตรงหน้า ไม่เคยมองการณ์ไกลเลย ถ้าเราไม่รักษาคนงานกลุ่มนี้เอาไว้ รายการขนส่งน้ำมันและเมล็ดพืชที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของเราจะเกิดการล่าช้าขึ้นทันที แล้วพวกแกคิดบ้างไหมว่าค่าชดใช้ที่พวกเราต้องเสียมันมหาศาลกว่ากี่เท่า? นี่ยังไม่รวมถึงการที่พวกเรามีโอกาสเสียลูกค้าอีกมากมายในอนาคต! เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราตระกูลหัวจะเอาอะไรไปรอด?!”
หัวฉีเฉินและคนอื่นๆก้มหน้าก้มตาสลดทันทีด้วยความอับอาย วิสัยทัศน์ของพวกเขาไม่ได้กว้างไกลอย่างที่หัวเซินซวนว่าไว้จริงๆ
แต่จะให้รายจ่ายบานเบอะขนาดนี้ พวกเขาก็ทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆไ
แต่ในเวลานั้นเอง จ้าวเฉียนก็โทรเข้ามาหาหวางอวี่จุน
หวางอวี่จุนรีบกล่าวถามทันทีด้วยความสุภาพว่า
“คุณชายจ้าว มีอะไรจะรับสั่งเพิ่มครับ?”
“สู้ราคาต่อไป รอบนี้เพิ่มเป็นสองพันหยวน”
จ้าวเฉียนสั่งการไปทันที
หวางอวี่จุนพลันรู้สึกมึนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยิน เขาไม่เข้าใจจริงๆว่า ตอนนี้คุณชายจ้าวตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? ไม่ใช่ว่าต้องการบีบให้ศัตรูสู้ราคาเฉยๆหรอกเหรอ? แล้วถ้าอีกฝ่ายไม่สู้ขึ้นมา กลับต้องเป็นพวกเขาแทนที่ต้องรับภาระกว่าหลายร้อยล้านหยวน
“คุณชายจ้าว เดินหมากไปเช่นนี้ราคาเดิมพันไม่สูงเกินไปหน่อยเหรอครับ? เม็ดเงินหมุนเวียนในธุรกิจของเราไม่เพียงพอที่จะจ้างพวกเขาด้วยอัตราที่สูงขนาดนี้”
หวางอวี่จุนพยายามกล่าวโดยอ้อมเพื่อโน้มน้าวใจ
จ้าวเฉียนหัวเราะและกล่าวตอบไปว่า
“อย่ากังวลไปเลย แค่ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ ถ้าพวกมันสู้ราคาต่อหลังเพิ่มไปอีกสองพันหยวน ให้ยอมแพ้ทันที”
หวางอวี่จุนกล่าวตอบกลับไปทันทีว่า
“เข้าใจแล้วครับ!”
ในเวลาเดียวกัน หัวฉีเฉินก็ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“คนงานทุกท่าน พวกเราจะขอสู้ราคาต่อไปเพื่อทุกคน!”
หวางอวี่จุนกดวางสายและป่าวประกาศตามที่จ้าวเฉียนสั่งการไว้ว่า
“ทุกท่าน! เพื่อแสดงความจริงใจของเรา เงินเดือนขั้นต่ำพวกเราขอเพิ่มให้อีกสองพันหยวน! กรอกแบบฟอร์มการรับสมัครและส่งเข้ามาเลย!”
หัวเซินซวนสุดจะทานทนได้ไหวแล้ว ทันทีที่เขาได้ยินแบบนั้นก็พลันกระอักพ่นเลือดสดออกมาคำโต รู้สึกเจ็บบริเวณหัวใจอย่างรุนแรงราวกับเข็มนับร้อยพันกระหน่ำทิ่มแทง และล้มหมดสติลงไปทั้งแบบนั้น
“พ่อ! พ่อ…”
“คุณปู่ คุณปู่…”
“ท่านประธาน!”
ทุกคนรีบนำส่งหัวเซินซวนไปยังโรงพยาบาลทันทีเพื่อเข้ารับการรักษา
หวางอวี่จุนป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดว่า
“ทุกท่าน จะเห็นได้ว่ท่านเตือหัวไม่สามารถสู้ราคากับพวกเราได้ไหวอีกต่อไปแล้ว แค่ตกใจนิดตกใจหน่อย คุณหัวก็โรคหัวใจดกำเริบเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว นี่เหรอคนที่พวกคุณอยากทำงานให้? ไม่เอาน่า มาทำงานกับพวกเราท่าเรือเฉียนตงกันดีกว่า!”
โดยปราศจากอุปสรรคอย่างพวกตระกูลหัว บรรดาคนงานได้แห่เข้ามากรอกใบสมัครส่งให้ท่าเรือเฉียงตงเสร็จสรรพในเวลาอันสั้น
เวลาประมาณหกโมงเย็น หลังจากฝ่ายบุคคลทำหน้าที่คัดกรองกันอย่างหนัก ท่าเรือเฉียนตงก็ประกาศบุคคลที่ได้รับสัญญาจ้างรวมแล้ว600คน ส่วนที่เหลือจำใจต้องกลับไปทำงานที่ท่าเรือหัวด้วยความเศร้าโศกต่อไป
หวางอวี่จุนขมวดคิ้วมองไปยังคนงานชุดใหม่จำนวนกว่า600คน แล้วทีนี้จะจัดการกับเรื่องงบประมาณยังไงต่อ?
หวางอวี่จุนเดินทางมาหาจ้าวเฉียนเพื่อรายงานผลการรับสมัคร เขาเอ่ยถามทิ้งท้ายว่า
“คุณชายจ้าว แล้วพวกเราควรจัดการเรื่องนี้ยังไงดี? เม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบไม่สามารถรองรับพวกเขาได้ไปตลอด”
จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า
“ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ฉันเตรียมมาตรการรองรับไว้แล้ว ตอนนี้นายตามฉันไปพบผู้รับผิดชอบของบริษัทไชน่าปิโตรเคมีกับเมล็ดพืชการาจ พยายามชักชวนให้พวกเขามาสั่งออเดอร์กับเรา”