ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่300 แรกพบเข้าโรงแรม
ตอนที่300 แรกพบเข้าโรงแรม
เมื่อเห็นจ้าวเฉียนกดวางสายไป โจวเหว่ยซูก็เร่งเอ่ยถามทันทีว่า
“เป็นยังไงบ้าง? เธอยอมตกลงไหม?”
จ้าวเฉียนไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของเขา จึงปิดปากเรียบครุ่นคิดอยู่สักใหญ่เพื่อหาข้ออ้างไม่อยากให้โจวเหว่ยซูซักถามถึงเรื่องของเขากับอู่ซินเยอะเกินจำเป็น
เมื่อเห็นจ้าวเฉียนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา โจวเหว่ยซูก็เริ่มปั้นสีหน้ากังวลและรีบถามกลับไปทันทีว่า
“เกิดอะไรขึ้น? เธอไม่ว่างเหรอ?”
จ้าวเฉียนอธิบายตอบไปว่า
“เปล่า แค่เธอไปกินข้าวกับคุณไม่ได้ เพราะติดถ่ายตอนช่วงกลางดึก แต่ถ้าไปเจอหน้าทักทายกันน่ะไม่มีปัญหา”
ตราบเท่าที่ได้พบเจอไอดอลที่ตัวเองคลั่งใคล้แค่ได้คุยกันสักประโยคก็ฟินจิกหมอนแล้ว แต่นี่ถึงขนาดได้พูดคุยถ่ายรูปและขอลายเซ็น แม้จะไม่ได้ทานข้าวด้วยกันนี่ก็ดีเกินจินตนาการแล้ว
โจวเหว่ยซูยิ้มตอบทันทีว่า
“ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวฉันจะไปหาเธอด้วยตัวเอง แล้วฉันต้องไปกองถ่ายที่ไหน?”
จ้าวเฉียนตอบกลับไปว่า
“คุณไปเจอได้เลยที่สนามรถแข่งหวานจิ้ง บอกไปว่าเป็นเพื่อนของจ้าวเฉียน แม้ฉันจะเป็นเจ้านายเธอก็จริง แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ทำให้กองถ่ายล่าช้าได้เพราะเรื่องแค่นี้หรอกนะ ดังนั้นรีบเจอรีบกลับ อย่าให้การถ่ายทำเกิดปัญหาเด็ดขาด เข้าใจไหมครับ?”
ขอเพียงได้เห็นอู่ซินตัวจริงเสียงจริง ไม่ว่าอะไรก็ต้องยอม โจวเหว่ยซูเร่งพยักหน้าและเอ่ยปากสัญญาทันที เธอรีบโบกมือลาจ้าวเฉียนและวิ่งไปยังห้องล็อกเกอร์ผู้หญิง เปลี่ยนเสื้อผ้าและขึ้นรถเหยียบคันเร่งบึ่งไปยังสนามรถแข่งในทันใด
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางเดินหันหลังกลับไปออกกำลังกายต่อ
ประมาณครึ่งชั่วโมงถัดมา โจวเหว่ยซูก็กลับมาที่ฟิตเนสอีกครั้งพร้อมสีหน้ามีความสุขเกินพรรณนา
นี่เป็นเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้ว และฟิตเนสก็ใกล้ถึงเวลาปิด ดังนั้นเธอจึงไม่ได้กลับไปเปลี่ยนชุดออกกำลังกายต่อ แต่เดินไปหาจ้าวเฉียนที่ลู่วิ่งโดยตรง
“อิอิ…ขอบคุณมากเลยนะคะคุณจ้าว เพื่อแสดงความขอบคุณ ฉันขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงมื้อค่ำนะคะ หวังว่าคืนนี้…คุณจ้าวนะว่าง”
โจวเหว่ยซูรีบเชิญชวนจ้าวเฉียนไปทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข
จ้าวเฉียนใช้ความพยายามอย่างมากว่าจะเข้าใกล้และตีสนิทกับเธอขนาดนี้ แล้วมีหรือที่จะปฏิเสธ?
อย่างไรก็ตามแต่ จะล่อแมวน้อยต้องมีลูกเล่นถ้าม่อสาวสวยต้องมีลูกล่อลูกชน
จ้าวเฉียนปั้นหน้าเศร้าเล็กน้อย พยายามอ้างไปว่าไม่สะดวกไป
โจวเหว่ยซูรีบเกลื้ยกล่อมออดอ้อนทันที
“โถ่ว…คุณจ้าวนี่ก็ดึกแล้ว ควรหาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองบ้างนะคะ นี่ฉันจริงจังมากเลยนะ อยากเลี้ยงมื้อค่ำคุณจริงๆ แทนคำขอบคุณ ฝ่ายหญิงอุตส่าห์ออกหน้าชวนก่อนเลยนะคะ…ปฏิเสธกันลงคอเหรอ?”
จ้าวเฉียนแสร้งปั้นหน้าลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ก็ได้ครับ ปกติผมชอบเคลียร์งานให้เสร็จภายในวันนั้นๆ แต่ค่อยยกยอดไปทำต่อพรุ่งนี้แล้วกัน ถ้าอย่างงั้นคืนนี้พวกเราไปทานดินเนอร์กันนะครับคุณโจว”
“ดีแล้วค่ะ งั้นไปกันเถอะ”
หลังจากโจวเหว่ยซูกล่าวตบ เธอก็นั่งรอจ้าวเฉียนเปลี่ยนเสื้อผ้าและรีบออกไปทันที
ทั้งสองเพิ่งพบกันครั้งนี้เป็นคราแรก จ้าวเฉียนไม่มีทางเข้าเรื่องธุรกิจแน่นอน อนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้เธอเกิดความสงสัย
ตลอดมื้ออาหาร ทั้งสองยกหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอู่ซินและดาราดังคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน
กล่าวกันตามตรง โจวเหว่ยซูเป็นสาวสวยที่ดีมีเสน่ห์มากคนหนึ่ง ถ้ามีคนเข้ามาสนับสนุนเธออย่างจริงๆ จังๆ เธอสามารถกลายมาเป็นดาราดังได้เลย
และสิ่งที่สำคัญที่สุดของบริษัทเฉียนเก๋อคือ การเฟ้นหาดาวรุ่งที่มีศักยภาพเพียงพอมาปั้นให้เป็นดาวเด่น บางทีดาราดาวรุ่งคนต่อไปถัดจากอู่ซินอาจจะเป็นเธอคนนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้?
ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“คุณโจว อย่างที่ผมพูดไปตอนแรก สนใจจะเป็นดาราไหมครับ?”
เมื่อห้าปีที่แล้ว ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโจวเหว่ยซูคือการเป็นดารา
แต่เธอไม่มีใครสนับสนุนเธอเลย แถมเกรดการเรียนก็ไม่ดี พรสวรรค์ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย เธอจึงไม่สามารถสอบเข้าคณะนิเทศศาสตร์ได้
ต่อมา โจวเจียงเฉินพ่อของเธอ ก็หมายมั่นปั้นมือให้เธอเข้ารับสืบทอดบริหารบริษัทเมล็ดพืชการาจต่อ จึงส่งเธอไปเรียนเศรษฐศาสตร์ นั้นทำให้เธอค่อยๆ ลืมเลือนความฝันอันยิ่งใหญ่นั้นไป
เมื่อจ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นมาแบบนี้ มันก็เป็นดั่งตัวจุดประกายไฟภายในใจของเธออีกครั้ง
อย่าว่าแต่คนมีพรสวรรค์น้อยอย่างเธอเลย แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถพัฒนากลายเป็นดารามากความสามารถได้ ถ้าเจ้าของค่ายสังกัดชื่นชอบในตัวเธอ และชายที่นั่งอยู่ต่อหน้าโจวเหว่ยซูในขณะนี้ก็เป็นถึงเจ้าของเฉียนเก๋อ ค่ายที่ดาราที่เธอชื่นชอบสังกัดอยู่!
โจวเหว่ยซูกล่าวตอบทันทีว่า
“คงจะเป็นเรื่องดีมากถ้าฉันได้เป็นดารา ใครบ้างไม่อยากเป็นดาราล่ะ? แต่ฉันไม่เคยลงเรียนการแสดงมาก่อนเลย ตลอดชีวิตที่ผ่านมามีแต่ต้องดูแลธุรกิจของพ่อ ไม่รู้สิ…บางทีฉันก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ การจะเป็นดาราได้ต้องสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน แต่ฉันไม่ใช่แบบนั้น”
คำพูดของโจวเหว่ยซูดูค่อนข้างจริงจัง ไม่ว่าเธอจะพูดสิ่งนี้ออกมาจากใจจริงหรือต้องการให้จ้าวเฉียนเห็นใจก็ตาม แต่มันไม่ใช่คำพูดที่คนธรรมดาทั่วไปที่นึกจะพูดก็พูดออกมาได้ คล้ายว่าต้องเป็นคนที่ผ่านโลกมาแล้วในระดับนึง
ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อคำสั่งออเดอร์ของบริษัทเมล็ดพืชการาจแล้ว จ้าวเฉียนจะต้องเกลี้ยกล่อมให้เธอลอง
จ้าวเฉียนกล่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“เมื่อก่อนผมก็เคยคิดแบบนั้นนะ เฉพาะคนที่สมบูรณ์แบบเท่านั้นถึงจะสามารถเป็นดาราได้ แต่พอมาเปิดบริษัทเกี่ยวกับแวดวงบันเทิงดูจริงๆ มันกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย ตราบเท่าที่คนที่จะปั้นไม่ขี้เกียจหรือปิดกั้นตัวเองเกินไป ต่อให้เป็นคนธรรมดาไม่มีพรสวรรค์อะไรโดดเด่นก็สามารถกลายมาเป็นดาราได้ ขอเพียงบริษัทมีเม็ดเงินสนับสนุนมากเพียงพอ แม้นี่อาจจะดูโหดร้ายไปบ้าง แต่มันเป็นความจริง บางคนไม่มีอะไรเลยแต่ทำไมถึงกลายมาเป็นดาราขึ้นแท่นอันดับหนึ่งได้? แล้วทำไมบางคนมากพรสวรรค์แต่ได้เล่นแต่บทตัวประกอบ? พอจะเข้าใจที่กล่าวไปนะครับ? ซึ่งในกรณีของคุณ โอกาสมันอยู่ตรงหน้าแล้ว ทำไมถึงไม่ลองสักตั้งล่ะครับ?”
เปลวไฟแห่งความฝันของโจวเหว่ยซูถูกจุดขึ้นอีกครั้งโดยคำพูดกระตุ้นของจ้าวเฉียน
ก็จริง…โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วทั้งที ทำไมฉันถึงไม่ลองดูล่ะ?
แม้ว่าสุดท้ายอย่างกรณีเลวร้ายที่สุดเธออาจไปไม่ถึงฝัน แต่อย่างมากก็แค่เสียเวลาเล่นไปสองสามปีเท่านั้น ในทางตรงข้าม…แล้วถ้าทำสำเร็จล่ะ?
ถ้าเธอทำได้สำเร็จ…สิ่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล?
โจวเหว่ยซูพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและกล่าวว่า
“เข้าใจแล้วค่ะ! ฉันขะลองทำตามความฝันดูสักครั้ง! แล้วฉันควรทำยังไงบ้าง? เริ่มจากอะไรก่อน?”
เรื่องเส้นทางบันเทิงต่อจากนี้ของโจวเหว่ยซู จ้าวเฉียนคงต้องยกหน้าที่ให้หยวนมี่ไปจัดการวางแผนต่อว่า จะปั้นเธออย่างไรให้ดัง? ส่วนคำถามที่ว่า ควรทำยังไงบ้าง เริ่มจากอะไรก่อน เขาคงต้องตอบตามความรู้ที่มีไปก่อนว่า
“สิ่งแรกเลยนะ ก่อนจะพูดหรือทำอะไรต้องคิดให้ดี เพราะทุกอากัปกิริยาหลังจากนี้ทุกคนจะเริ่มจับจ้องมาที่ตัวคุณ หากเคยมีประวัติไม่ดีในอดีต ต้องหาข้อแก้ตัวเตรียมไว้เผื่อนักข่าวขุดขึ้นมาถามเป็นประเด็น แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลมากขนาดนั้น เพราะทางเราจะส่งคนไปลบประวัติเสียพวกนั้น เรามีทีมงานมืออาชีพคอยรับมือกับเรื่องพวกนี้ไว้แล้ว แค่อย่าหามาเพิ่มก็แล้วกัน”
โจวเหว่ยซูพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอชูแก้วไวน์ขึ้นและกล่าวว่า
“มาเถอะคุณจ้าว ให้เกียรติชนแก้วกันสักครั้ง ถ้าในวันใดวันหนึ่งฉันโด่งดังขึ้นมาแล้ว ฉันจะไม่มีวันลืมผู้มีพระคุณอย่างคุณจ้าวแน่นอน ขอบคุณสำหรับโอกาสที่มอบให้ในวันนี้มากค่ะ”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นและหยิบแก้วขึ้นชนกับเธอ ทั้งสองกินดื่มกันต่ออย่างมีความสุข
โจวเหว่ยซูในตอนนี้มีความสุขอย่างมากจนดื่มไปแก้วแล้วแก้วเล่าโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นไม่นานจ้าวเฉียนก็เริ่มรู้สึกเมาเล็กน้อย แต่เธอก็ยังชนแก้วกับเขาไม่หยุด
จ้าวเฉียนรีบโบกมือปฏิเสธไปทันทีพอเห็นว่าเธอจะมาชนแก้วอีกแล้ว
“คุณโจว ผมว่าคุณดื่มเยอะเกินไปแล้วนะครับ ถ้าชนแก้วกันต่อมีหวังพวกเราขับรถกลับบ้านกันไม่ไหวนะครับ”
แต่ใครจะไปรู้ว่าตอนที่โจวเหว่ยซูเมาแล้วจะน่ากลัวแบบนี้ เธอแสยะยิ้มแปลกๆ กล่าวว่า
“ถ้ากลับไม่ได้…ก็ไม่ต้องกลับ! สั่งมาจนกว่าจะพอใจได้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันจ่ายเอง… แถวๆ นี้มีโรงแรมอยู่ใกล้ๆ ดังนั้นไม่เมาไม่กลับ! ดื่มเถอะเร็วเข้า ดื่ม ดื่ม…”
ทันทีที่พูดจบโจวเหว่ยซูก็ตะโกนเรียกบริกรสั่งไวน์แดงเพิ่มอีกสองขวด พลางชักชวนให้จ้าวเฉียนดื่มต่อไป
ทั้งสองแทบไหลตกเก้าอี้หลังจากกระดกแก้วสุดท้ายหมด ต่างฝ่ายต่างประคองกันเดินโยกเยกพยายามหาทางกลับหลังเช็คบิลเสร็จ
พอเดินออกมาจากร้านอาหารได้สำเร็จ จ้าวเฉี่ยนก็หยิบมือถือออกมาจะโทรหาคนขับรถให้มารับ แต่ทันใดนั้นโจวเหว่ยซูก็ชิงคว้ามือถือจากมือเขาไป และกล่าวทั้งๆ ที่เมาว่า
“โทรหา…คน…คนขับทามมาย… มาเร็ว มา…ตามฉันมา…เดี๋ยวฉันพาคุณไปหาที่พักผ่อนนน…”
คล้อยหลังกล่าวจบ โจวเหว่ยซูก็กระชากแขนจ้าวเฉียนออกไป
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงโรงแรม โจวเหว่ยซูเงยหน้าขึ้นมองจ้าวเฉียน ยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“เข้าไปนอนกันเถอะ ไปนอนกาน… ฉันขอพูดตามตรงเลยนะ…คุณหล่อมากเลย อย่าว่าแต่ผู้หญิงจะตกหลุมรักเลย แม้แต่ผู้ชายด้วยกันยังตกหลุมรักด้วยซ้ำ ฮ่าฮ่า…”
จ้าวเฉียนได้ยินแบบนั้นก็พูดไม่ออกเช่นกัน ดูเหมือนว่าเวลาเธอเมาจะไม่เบาเลยจริงๆ
ด้วยนิสัยของจ้าวเฉียนแล้ว เขาไม่มีทางพาสาวที่เพิ่งพบกันครั้งแรกเข้าโรงแรมแน่นอน แม้เธอจะสวยหรือเซ็กซี่แค่ไหนก็ตาม
แต่สภาพของเขาในตอนนี้มันเมาเกินควบคุม แค่จะเดินให้ตรงยังยากแล้ว ทางแก้ไขเดียวที่เขานึกออกคือการเปิดห้องโรงแรมและนอนจนกว่าจะส่างเมา
ทั้งสองกอดคอเดินเข้าโรงแรมไปด้วยกัน
ทันทีที่เข้ามาในห้องพัก จ้าวเฉียนก็รีบเดินเข้าไปในห้องน้ำและรูดซิบยิงกระต่ายชุดใหญ่
แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาขาดสติเนื่องจากเมาหนักจึงลืมปิดประตูห้องน้ำ และทันใดนั้นโจวเหว่ยซูก็เดินตรงเข้ามา!
“คูณจ้าวว…อยากให้ฉันช่วยอะไรไหม?”
โจวเหว่ยซูเข้าจู่โจมในทันใด โดยการโผเข้าสวมกอดจ้าวเฉียนจากด้านหลัง กล่าวทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ