ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่310 ทางเลือกที่สาม
ตอนที่310 ทางเลือกที่สาม
แนวทางความร่วมมือที่จ้าวเฉียนเสนอออกไป ก็เพื่อเป็นแซนบอกซ์ให้จ้านซูวอู่ลองผิดลองถูกโดยที่ไม่ต้องให้เขาเสียตังสักสตางค์ และไม่ต้องมาเสี่ยงขาดทุนกับจ้าวเฉียน ตราบเท่าที่หัวสมองไม่โง่เกินไป ใครๆ ก็เต็มใจรับไว้
แต่ไม่ว่าวิธีนี้จะดีแค่ไหน กลับต้องเปล่าประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูง
“บอสจ้าว อย่าล้อเล่นกันสิครับ ถ้าบอสเอาไปตั้ง90%ส่วนผมแค่10% แล้วผมจะเอาแรงจูงใจจากไหนมาทำงาน คนเราจะแสดงศักยภาพสูงสุดได้เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์กดดันถึงขีดสุด แชร์กันเลยครึ่งต่อครึ่งดีกว่าครับ”
“ครึ่งต่อครึ่งก็ได้ครับ แต่ถ้าแบบนั้นไม่ว่ากำไรหรือขาดทุนต้องถัวเฉลี่ยเท่าๆ กันนะครับ จะได้ยุติธรรมกับผมและคุณชายจ้าน”
“บอสจ้าวพูดมีเหตุผล ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเราสองคนจะแบ่งกำไรเท่าๆ กัน แต่ถ้าเกิดขาดทุนแล้วผมจ่ายไม่ไหว ยังไงบอสจ้าวก็ไปคุยกับพ่อผมเลยครับ”
จ้านซูวอู่พลันแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาราวกับเขากำลังได้เปรียบจ้าวเฉียน
จ้าวเฉียนเคารพในพรสวรรค์และความสามารถของเขาจริงๆ และพยายามมองอีกฝ่ายในแง่มุมที่ดี อยากช่วยผลักดันคนแบบนี้ให้ประสบความสำเร็จ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีความทะเยอทะยานมากไปหน่อย ซึ่งนี่ทำให้จ้าวเฉียนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
แม้จ้าวเฉียนจะต้องไว้หน้าจ้านชุนเล่อบ้างเพื่อออเดอร์ของบริษัทไชน่าติโปรเคมี แต่เขาก็ยังสามารถเลือกที่จะพยายามช่วยเหลือลูกๆ ของเขาให้ดีที่สุดหรือจะช่วยส่งๆ ไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจ้าวเฉียนล้วนๆ
นี่อาจจกล่าวได้ว่าจ้านซูวอู่พลาดโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่จะได้เติบโตในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว เนื่องด้วยความโลภของตัวเขาเอง
จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวตอบไปว่า
“ดูท่าจะสมเหตุสมผลดีครับ งั้นก็ตามที่ว่าเลน ผมจะอัดฉีดเงินลงทุนเอง ส่วนคุณชานจ้านก็รับผิดชอบเรื่องกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจไป ถ้าเกิดพวกเราขาดทุน ผมรับภาระเอง51% ส่วนคุณชายจ้านก็รับแค่49%ไป แบบนี้ยุติธรรมดีไหมครับ?”
จ้านซูวอู่ระเบิดหัวเราะทันทีอย่างมีความสุขยิ่ง หรือกล่าวได้ว่าภายใต้เสียงหัวเราะของเขายังเร้นแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย เพราะภายในใจเขาคิดไปว่า
‘ต่อให้รวยแค่ไหนยังต้องโดนต้อนเข้ามุม ในโลกนี้ผู้มีอำนาจเหนือกว่าผู้มีเงินเสมอ’
“บอสจ้าวนี่ใจกว้างจริงๆ ครับ ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าการทำงานกับบอสจ้าวจะต้องสนุกมากแน่ๆ แล้วไม่ทราบว่าบอสจ้าวจะเริ่มลงทุนก่อนเท่าไหร่ครับ?”
จ้านซูวอู่เอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“เริ่มต้นสักยี่สิบล้านไปก่อนครับ แล้วค่อยๆ เพิ่มทุนไป ผมรับประกันการลงทุนได้เลยเพิ่มปีละไม่ต่ำกว่าสองล้าน ทั้งนี้ก็เพื่อทดสอบความสามารถของคุณชายจ้านด้วยครับ”
“ฮ่าฮ่า…ไม่ต้องกังวลครับบอสจ้าว ในเมื่อผมลงมือเองแล้ว ผมคำนึงถึงกำไรของบริษัทเราเป็นหลัก ส่วนเรื่องความสามารถจะมากน้อยขนาดไหน บอสจ้าวรอดูได้เลยครับ”
“เอาล่ะ ผมเชื่อใจในตัวคุณชายจ้านนะครับ วันนี้ก็พอแค่นี้แล้วกันครับ ผมต้องกลับไปสะสางธุระส่วนตัวอีก ส่วนเรื่อง เงื่อนไข ข้อตกลงรวมไปถึงสัญญาขอให้ทางผมจัดเตรียมก่อนนะครับ ถ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราไปจดทะเบียนกันเลย”
“ได้เลยครับ ขอบคุณมากเลยครับสำหรับความร่วมมือ”
“ขอให้พวกเราสำเร็จไปด้วยดีครับ”
ทั้งสองจับมือกันและจ้านซูวอู่ก็จากไปอย่างมีความสุข
จ้าวเฉียนนั่งนิ่งยังไม่ลุกไปไหนเหลือบมองจ้านซูวอู่เดินจากไปทั้งแบบนั้น ภายในใจพลางคิดไปว่า
‘ความทะเยอทะยานไม่น้อยเลยแหะ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ฝีมืออะไรให้เห็นก็ขอครึ่งต่อครึ่งซะแล้ว รอจนกว่าออเดอร์คำสั่งของบริษัทไชน่าปิโตรเคมีจะเสถียรก่อนเถอะ ฉันจะคอยดูว่าจะหาทางยังไงจัดการกับแกดี? ทีแรกฉันก็อยากช่วยเหลือผลักดันแกนะ แต่ในเมื่อแกไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร อย่ามาตำหนิกันทีหลังแล้วกัน’
จ้าวเฉียนเรียกบริกรเช็คบิลและเดินทางไปที่ท่าเรือเฉียนตงต่อทันที
หวางอวี่จุนรีบออกมาต้อนรับเป็นการส่วนตัว และอีกข้อสำคัญคือเขามีข่าวจากบริษัทไชน่าปิโตรเคมีมารายงานให้คุณชายจ้าวทราบ
“คุณชายจ้าว ทางเราได้เจรจากับทางบริษัทไชน่าปิโตรเคมีแล้ว ตอนนี้ดิลได้ครบทั้งสองบริษัทเรียบร้อย จะให้ปล่อยข่าวออกไปเลยไหมครับ?”
จ้าวเฉียนส่ายหัวและกล่าวตอบไปว่า
“รอจนกว่าจะเซ็นสัญญาลงนามอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรให้เรียบร้อยก่อนอีกที แล้วค่อยปล่อยข่าว รีบปล่อยไปตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากให้เวลาท่าเรือหัวได้คิดแผนรับมือ ถ้าจะล่าสัตว์ต้องจับตายเท่านั้น!”
หวางอวี่จุนพยักหน้าโดยไวกล่าวตอบไปว่า
“เข้าใจแล้วครับ”
สิ่งที่จ้าวเฉียนต้องการคือ ทันทีที่ป่าวประกาศออกไปนี่จะเป็นดั่งคำตัดสินประหารชีวิตท่าเรือหัว แค่ข่าวการเจรจาเรื่องสัญญาความร่วมมือเฉยๆ ยังสร้างแรงกดดันให้อีกฝ่ายไม่พอ ดังนั้นต้องมีสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรออกมาเพื่อใช้ตอกฝาโลงพวกท่าเรือหัวให้แน่นสนิท
โจวเจียงเฉินและจ้านชุนเล่อทั้งสองล้วนแต่เป็นสองขั้วอำนาจเก่าระดับประเทศ พวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่รู้กี่ศึกต่อกี่ศึกแล้ว และเข้าใจด้วยว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงที่จ้าวเฉียนต้องการคืออะไร นั้นไม่ใช่กำลังจากออเดอร์พวกเขา แต่เป็นการฆ่าท่าเรือหัวให้ตายทั้งเป็น
ดังนั้นพวกเขาทั้งคู่ในตอนนี้ยังถือไพ่เหนือกว่าจ้าวเฉียน
บริษัทเมล็ดพืชการาจและบริษัทไชน่าปิโตรเคมีได้ลงนามสัญญาความร่วมมือกับท่าเรือหัวไว้ โดยมีการลงนามเพื่อต่อสัญญาทุกสามปี อ้างอิงจากสัญญาฉบับล่าสุดกว่าจะหมดอายุยังเหลือเวลาอีกหกเดือน หากทางบริษัทเมล็ดพืชการาจและไชน่าปิโตรเคมีมีเจตนาละเมิดเงื่อนไขที่ระบุอยู่ในสัญญา พวกเขาจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการขนส่งเป็นสองเท่าให้แก่ท่าเรือหัวเป็นค่าชดเชย
ดังนั้นตอนนี้จึงมีแค่สองทางเลือกเท่านั้นคือ
ประการแรก ต้องรอจนกว่าสัญญานี้จะสิ้นสุดลง พวกเขาถึงจะหันไปร่วมมือกับท่าเรือเฉียนตงได้ ก่อนหน้านั้นก็ทำได้เพียงถ่ายโอนคำสั่งซื้อไปให้ท่าเรือเฉียนตง แต่ต้องเป็นในปริมาณที่น้อยมาก และโดยส่วนใหญ่ยังต้องส่งไปให้ท่าเรือหัวไปอีกหกเดือนเต็ม
ประการที่สอง ท่าเรือเฉียนตงจะต้องเข้ามารับผิดชอบค่าชดเชยในการฉีกสัญญาความร่วมมือให้แก่ทั้งสองบริษัท จากนั้นก็เข้าเสียบแทนที่ท่าเรือหัวทันที
แต่แน่นอนว่าจ้าวเฉียนไม่เอาทั้งสองทางเลือกนี้อย่างแน่นอน และสร้างทางเลือกที่สามขึ้นมาเองก็คือ ปล่อยให้ท่าเรือหัวแบกรับค่าฉีกสัญญาความร่วมมือแก่เพียงผู้เดียว
จ้าวเฉียนพาหวางอวี่จุนมายังท่าเรือ
หวางอวี่จุนเอ่ยถามด้วยความเคารพว่า
“คุณชายจ้าว ตอนนี้เราควรทำยังไงต่อดี?”
จ้าวเฉียนใช้ส่องส่องทางไกลเฝ้ามองคลังสินค้าของท่าเรือหัว คล้อยหลังไม่นานเขาก็กล่าวขึ้นว่า
“สั่งให้คนงานของพวกเราไปยั่วน้ำลายพวกคนงานท่าเรือหัวหน่อย ให้พวกนั้นรู้ว่าทางเราดูแลคนพวกนี้ดีขนาดไหน ค่อยๆ สร้างความไม่พอใจของพวกนั้นที่มีต่อท่าเรือหัวให้เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สั่งให้ไส้ศึกของเราในนั้นกระตุ้นอีกแรง อีกสามวันต้องทำให้พวกนั้นก่อม็อบประท้วงขึ้นอีกครั้งให้ได้ เพื่อทำให้กำหนดเดินเรือล่าช้า”
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบดำเนินการทันที”
หวางอวี่จุนตอบรับด้วยความสุภาพ และรีบออกไปทำตามที่จ้าวเฉียนสั่งการไว้ทันที
สามวันต่อจากนี้ท่าเรือหัวจะมีออเดอร์ส่งของโกดังใหญ่ให้แก่บริษัทเมล็ดพืชการาจและไชน่าปิโตรเคมี เดิมทีตอนนี้คนงานของพวกเขาก็แทบจะไม่พอแล้ว ถ้าสามารถทำให้คนงานก่อการประท้วงได้อีกครั้ง กำหนดเดินเรือทั้งหมดจะต้องหยุดชะงักส่งผลให้การขนส่งล่าช้าแน่นอน ตราบใดที่เกิดความล่าช้าขึ้น ทางฝ่ายบริษัทเมล็ดพืชการาจกับไชน่าปิโตรเคมีจะมีข้ออ้างบอกเลิกสัญญาได้อย่างสมเหตุสมผลทันที และจะไม่เสียค่าชดใช้ใดๆ ทั้งสิ้นตามกฎหมาย ในทางตรงข้าม กลับเป็นฝ่ายท่าเรือหัวเสียเองที่ต้องจ่ายค่าปรับเพราะความล่าช้าและค่าชดใช้จากการเบิกเลิกสัญญาอีกด้วย
นี่คือทางเลือกที่สามของจ้าวเฉียน
หลังจากผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง บรรดาคนงานของท่าเรือเฉียนตงก็จงใจส่งเสียงดังลั่นตรงเส้นกั้นระหว่างโกดังทั้งสอง และนี่ก็ดึงดูดความสนใจของพวกคนงานท่าเรือหัวที่อยู่ใกล้ๆ ได้เป็นอย่างดี
“เห้ยไอ้จาง พอได้เงินงวดนี้มาแล้วแกจะเอาไปทำอะไรวะ?”
“ฮ่าฮ่า…เมียกูยังไม่รู้ว่ากูย้ายมาทำที่ท่าเรือเฉียนตงแล้ว กูก็ยังให้เมียเท่าเดิมหกพันวะ ส่วนที่เหลืออีกสี่พันกว่าก็เก็บติดตัวไว้ ก็กะจะเอาเงินตรงนี้ไปเที่ยวผู้หญิงหน่อยวะ ออกเรือกลับมาคงต้องจัดชุดใหญ่ไฟกะพริบ! ฮ่าฮ่า…”
“ฮ่าฮ่า…เออ เออ ก็ไปด้วยดิ! เมียก็ก็ยังไม่รู้ว่าย้ายมาทำที่ท่าเรือเฉียนตง ก็คงให้เงินเมียแค่แปดพันวะ เดินเรือรอบนี้กูควบสองเลยได้พิเศษมาอีกสองพันรวมเป็นหกพันหยวน พวกเราลองไปลงหม้อสุกี้รวมกันไหม? ตั้งแต่มีเงินชีวิตก็ดี๊ดี!”
พวกคนงานของท่าเรือหัวที่ได้ยินเข้าก็ปั้นสีหน้าแสดงความอิจฉาอย่างชัดเจน และรู้สึกเจ็บใจอยู่ลึกๆ
พนักงานพวกนี้ที่กำลังพูดคุยกันอย่างมากความสุข ในอดีตล้วนแต่เคยทำงานที่เดียวกันกับพวกเขาทั้งนั้น แต่วันนี้พวกนั้นกลับมีชีวิตที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด นี่มันยุติธรรมแล้วเหรอ?
อย่างไรก็ตามแต่ เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่พวกเขาจะประท้วงขึ้นเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จึงทำได้เพียงเก็บความขมขื่นไว้ในใจต่อไป
แต่ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อจางฟ่าที่กำลังทำงานอยู่ในท่าเรือเฉียนตง ซึ่งแต่ก่อนเขาคนนี้เคยทำงานอยู่ในท่าเรือหัว
จางฟ่าเป็นคนหน้าตาใช่ว่าจะดีนักแต่ซื่อสัตย์และขยัน ในอดีตเขามักจะโดนคนงานของท่าเรือหัวกลั่นแกล้งและเรียกใช้งานเป็นประจำ
จางฟ่าเดินมาตรงเส้นทางแบ่งระหว่างสองท่าเรือ และตะโกนไปหาฝั่งท่าเรือหัวว่า
“พี่ซาน ลุงหลิว ลุงหลี่! คืนนี้พวกพี่ว่างไหม?”
ทั้งสามคลี่ยิ้มบางตะโกนตอบไปว่า พวกเขาว่างคืนนี้ และถามกลับไปว่ามีอะไรรึเปล่า
จางฟ่ายิ้มและตอบกลับไปว่า
“ผมเพิ่งจะมีแฟนน่ะ ก็เลยอยากเลี้ยงมื้อค่ำพวกพี่เป็นการตอบแทนที่ช่วยดูแลเสมอมาตอนที่ยังอยู่ทางนั้น ผมเคารพพวกพี่ทั้งสามที่สุดแล้ว พอวันนี้มีเงินมีทองใช้ก็เลยอยากตอบแทนบ้าง”
พอคนงานที่เหลือในท่าเรือหัวได้ยินว่า จางฟ่ามีแฟนแล้ว ทุกคนก็เริ่มหันมาสนใจทันที
“จางฟ่า แกล้อเล่นรึเปล่า แฟนหมอนข้างรึไง?”
จางฟ่าหัวเราะและตอบกลับไปว่า
“ไม่ใช่แบบนั้นดิพี่ แฟนจริงๆ นี่แหละ เดี๋ยวผมเอาให้พวกพี่ดู”
ทุกคนรีบแห่กันไปดูรูปถ่ายในโทรศัพท์ของจางฟ่าทันที หน้าตาแฟนสาวของไอ้หมอนี่สวยอย่าบอกใคร ทุกคนต่างตกตะลึงกันอย่างมาก
กล่าวตามตรงแฟนสาวของจางฟ่าสวยกว่าเมียของพวกเขาเป็นไหนๆ
ทุกคนในท่าเรือหัวต่างรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมอย่างชักเจน จางฟ่าหน้าตาก็ใช่ว่าจะดี แต่ไหงถึงมีแฟนสาวสวยขนาดนี้ได้?
จางฟ่ายิ้มและอธิบายว่า
“แต่ก่อนผมเองก็คิดว่า ตัวเองน่าจะเป็นโสดไปตลอดชีวิต แต่หลังจากที่ผมได้มาทำงานที่นี่ชีวิตก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกพี่ก็รู้ว่าเงินเดือนแค่เจ็ดพันหยวนมันกินอยู่อาศัยในหยานจิ้งไม่พอ อย่าว่าแต่มีแฟนเลย เลี้ยงตัวเองให้อิ่มยังยาก ทว่าพอได้ย้ายมานี่อย่างกับขึ้นสวรรค์ เงินเดือนก้อนแรกที่ผมได้มามันเยอะมาก! ผมได้มาตั้งหมื่นห้าพันหยวน! พวกพี่ก็รู้ว่าผมใช้จริงไม่ถึงห้าหกพันหรอก ส่วนหมื่นที่เหลือก็ใช้เปย์สาวจนได้เธอมาเป็นแฟนนี่แหละ”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นต่างพากันปิดปากเงียบสนิท
ในอดีต ไอ้หมอนี่มันด้อยกว่าพวกเขาทุกด้าน แต่เพียงแค่ย้ายฝั่งไปทำงานให้ท่าเรือข้างๆ เงินเดือนของหมอนี่ก็เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด อยู่ได้เดือนเดียวก็มีแฟนสาวอย่างกับนางฟ้า แล้วพวกเขาล่ะ? ทำงานมาตั้งหลายปียังไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย?