ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่90 ให้ผมกินท่อนล่างได้ไหม
ตอนที่90 ให้ผมกินท่อนล่างได้ไหม
จางหยางค้านขึ้นทันที
“เสี่ยวนี่อย่าคิดทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรเด็ดขาด! เธอเป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้ แล้วเขาเป็นแค่พนักงาน แล้วจะให้มีสถานะทัดเทียมกับเธอได้ยังไง ถ้าหวานฮันซูรู้เรื่องนี้เข้า คิดไหมว่าจะเป็นยังไง?”
หวังเฉียงรีบกล่าวเสริมขึ้นทันทีว่า
“ประธานฟาง ผมคิดว่าผู้จัดการจางพูดถูกนะครับ อีกฝ่ายเป็นเพียงพนักงานลูกจ้าง จะให้ตั้งตนเท่ากับเจ้านายคงเป็นไปไม่ได้ ซ้ำร้ายยังทำให้จ้าวเฉียนได้ใจ คิดว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่น”
ถึงแบบนั้นฟางนี่ก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเลย เธอคิดว่าจ้าวเฉียนสมควรแล้วที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดในครั้งนี้ หากคนอื่นสามารถเอ่ยปากยืนยันกับตัวเองออกมาภายใต้สถานการณ์แบบนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทุกคนต่างเชื่อมั่นในศักยภาพความเป็นผู้นำของจ้าวเฉียน หากมีเขาเป็นเสาหลักค้ำยันความมั่นใจของพนักงานทุกคน เธอทำอะไรได้ก็ควรทำ
ดังนั้นฟางนี่จึงกล่าวเห็นดีเห็นงามด้วยกับคำขอของทุกคน
จางหยางที่ได้เห็นแบบนี้ยิ่งรู้สึกอัปยศเข้าไปใหญ่ เขาตะคอกด่าไปคำหนึ่งและเดินออกจากบริษัทไปทันที
ฟางนี่ถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เธอทำได้เพียงมุ่งความสนใจให้แก่ความเป็นอยู่ของบริษัท ส่วนเรื่องง้อเขาค่อยว่ากันที่บ้าน
“เอาล่ะ นี่ก็เริ่มดึกแล้ว รีบแยกย้ายกันกลับบ้านเถอะ เจอกันพรุ่งนี้ต่อแปดโมงตรงบริษัทชั้นล่าง เดินทางปลอดภัย”
ทุกคนรีบกล่าวลาฟางนี่และจ้าวเฉียน พร้อมกระจายกันไปเก็บข้าวของกลับบ้าน
เมื่อทุกคนจากไป จ้าวเฉียนก็เข้ามาในห้องทำงานของฟางนี่ พลางพูดติดตลกไปว่า
“ผมว่าคุณต้องคุกเข่าหน้าบ้านรอไว้เลย เขาดูโกรธมากจริงๆ”
ฟางนี่กลอกตามองบนอยู่แวบหนึ่ง เธอบ่นขึ้นทันทีว่า
“อย่ามาพูดเลย ถ้านายไม่บอกให้ฉันจูบ แล้วแก้มฉันจะแดงได้ยังไง? เพราะนายเล่นอะไรแผลงๆ นั้นแหละ เขาเลยรู้สึกไม่ไว้ใจฉัน แล้วที่…แล้วที่ฉันจูบไปก็แค่อยากขอบคุณนายเท่านั้น อย่าเข้าใจผิดไปล่ะ!”
“ฮ่าฮ่า…ผมแค่แกล้งเล่นเฉยๆ ใครจะไปคิดว่าคุณจะเล่นจู่โจมเข้ามาทั้งแบบนั้น? เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเถอะ คุณจะโอนหุ้นให้ผมตอนไหน?”
“รอก่อนล่ะกัน ฉันต้องจัดการปัญหาให้เสร็จก่อน ถึงจะโอนหุ้นให้นายได้”
“อ่าห่ะ?”
“ตามสัญญาระหว่างฉันกับหวานฮันซูคือ หากไม่ได้รับความยินยอมจากเขา ฉันจะไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้ ดังนั้นการจะโอนหุ้นให้นายจึงมีทางเดียวคือ การมอบให้เป็นของกำนันหรือภายใต้การชำระหนี้”
จ้าวเฉียนเหลือบมองเจือพินิจท่าทีเหลือเชื่อ ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคำนวณไว้แล้วจริงๆ ข้อสัญญาระหว่างฟางนี่กับหวานฮันซูคือ เธอไม่ได้รับอนุญาตในการซื้อขายหุ้น อีกฝ่ายต้องการตีกรอบจำกัดความอิสระของเธอ แต่อย่างไรเธอก็หัวหมอพอเช่นกัน เธอพยายามเลี่ยงวลีใช้คำว่า ‘ไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้’ แทนคำว่า ‘ไม่สามารถโอนหุ้นได้’ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจ้าวเฉียนถึงกล้าขอหุ้นฟางนี่มาทั้งแบบนี้ เพราะเขาคิดเรื่องพวกนี้ไว้หมดแล้ว และเป็นโชคดีของฟางนี่ด้วยเช่นกันที่เธอหัวไวพอเรื่องการใช้คำ มิฉะนั้น เขาคงต้องออกโรงเองเสียแล้ว
“ประธานฟางหัวหมอจริงๆ นะครับ ในอนาคตผมคงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้หน่อย ไม่งั้นอาจตกหลุมพรางของคุณเข้า”
“ตาบ้า! นายเป็นพวกเผด็จการรึไง? ถ้านายไม่บีบฉัน ฉันเองก็ไม่ทำอะไรนายหรอกน่า”
“ฮ่าฮ่า…โอเคครับ สำหรับเรื่องนี้ค่อยรอให้ประธานฟางจัดการอีกทีก็แล้วกัน หวังว่าครั้งนี้ประธานฟางจะไม่ทำอะไรโดยพลการอีกแล้วนะครับ?”
“ไม่ต้องกังวลหรอก ฉันเห็นศักยภาพของนายมาเต็มสองตาแล้ว ฉันไม่ยอมปล่อยคนมีความสามารถอย่างนายไปอีกเด็ดขาด”
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยพร้อมโบกมือลาฟางนี่ ตรงออกมาเก็บข้าวเก็บของในออฟฟิศและจากออกไป ทว่าระหว่างที่อยู่หน้าประตูทางออกหน้าบริษัท หลิวเหม่ย เพื่อนร่วมงานสาวสวยของเขาก็คล้ายว่าดักรออยู่แล้ว
“คุณชายจ้าว คุณทำเรื่องต้องห้ามแบบนั้นกับเจ้านายตัวเองได้ยังไงกัน?”
“ห่ะ? ไร้สาระน่า! ฉันไม่ชอบผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ไม่ใช่แนวเลย ถ้าฉันจะจีบใครสักคน จีบสาวสวยอย่างเธอไม่ดีกว่าเหรอ?”
สิ้นเสียงกล่าวจบ จ้าวเฉียนก็ขยิบตาให้หลิวเหม่ยโปรยเสน่ห์ออกไป
หลิวเหม่ยที่เห็นแบบนั้นเธอก็หัวเราะออกมาทันที คลี่ยิ้มหวานฉ่ำเอ่ยเสียงแผ่วว่า
“อืม…จะจีบฉันเหรอ? วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านฉันซะด้วย…มากินข้าวเย็นเป็นเพื่อนหน่อยสิ?”
“โอ๋? แค่กิน…ข้าวเฉยๆ เองเหรอ?”
“แล้วคุณอยากกินอะไรเพิ่มไหมล่ะค่ะ? ตราบเท่าที่ฉันให้ได้…ฉันจะให้คุณหมดเลย…”
“งั้น…คุณให้ผมกินท่อนล่างได้ไหม?”
หลิวเหม่ยกลอกตาหยอกเย้าใส่จ้าวเฉียนเล็กน้อย ก่อนเดินตรงออกไปทุบอกอีกฝ่ายสองสามทีเบาๆ เธอกล่าวตอบไปว่า
“บ้า! อย่าเล่นแบบนี้สิ! ฉันแค่อยากชวนคุณมาทานข้าวเย็นด้วยกันเฉยๆ นะ ทำไมคุณถึงใจร้อนจัง?”
จ้าวเฉียนดูจริงจังขึ้นทันตา เอ่ยตอบไปว่า
“ผมไม่ได้ล้อเล่นสักหน่อย นี่จริงจังอยู่นะ! ผมอยากกินจริงๆ …กินคุณบนเตียงไง หรือจะเป็นที่อื่นดี….โอ๊ย! เสี่ยวเหม่ยอย่าตีผมสิ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปมากนะ แต่ก่อนเธอดูไร้เดียงสามาก แต่เดี๋ยวนี้ทำไมทะลึ่งแบบนี้ห่ะ?”
หลิวเหม่ยหัวเราะคิกคัก เริ่มยกมือทุบอกจ้าวเฉียนอีกชุดใหญ่ ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันเหลือเกิน
ขณะนั้นเอง ฟางนี่ที่เดินออกมาก็พบว่าทั้งสองกำลังตบตีกันอยู่แต่ไกล จึงอดตะโกนขึ้นห้ามไม่ได้ว่า
“พวกเธอหยุดเดี๋ยวนี้! ทะเลาะอะไรกัน?”
หลิวเหม่ยรีบอธิบายทันทีว่า
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะประธานฟาง! เข้าใจผิดแล้ว หนูแค่หยอกเขาเล่นเฉยๆ เอง แค่อยากชวนไปทานข้าวเย็นกันเฉยๆ แล้วเขาก็ปากหวานใส่ หนูก็เลยเขิน…”
“โอ๋? นึกยังไงวันนี้ถึงชวนเขาไปกินข้าว?”
“ประธานฟางละก็…เราเป็นผู้หญิงเหมือนกันนะคะ”
ฟางนี่ระเบิดหัวเราะออกมาทันทีราวกับเข้าใจได้ถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นก็รีบโบกมือลาปล่อยให้ทั้งคู่อยู่กันสองต่อสอง
จ้าวเฉียนมองผ่านอ่านสถานการณ์ออกตั้งแต่แรกแล้ว หลิวเหม่ยต้องการจะมัดใจเขาให้อยู่หมัด
แต่จ้าวเฉียนเองก็ไม่ได้รู้สึกกับหลิวเหม่ยเกินคำว่าเพื่อนเลย และไม่มีทางที่เขาจะชอบเธอได้เลยเช่นกัน แทนที่จะปล่อยให้เธอมีความหวังแบบลมๆ แห้งๆ สู้ตัดออกไปให้เร็วที่สุดเลยดีกว่า
“นี่ก็สายมากแล้ว ฉันเองก็ต้องกลับแล้วเหมือนกัน วันหน้าถ้าฉันว่าง จะชวนเธอไปกินข้าวด้วยกันนะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าสวยของหลิวเหม่ยจางหายไปในทันใด เห็นได้ชัดว่า เธอเองก็ทราบดี จ้าวเฉียนกำลังปฏิเสธเธอ เขาไม่เปิดใจให้เธอได้เข้ามาลองเลยด้วยซ้ำ
ในเวลานั้นเอง มือถือของจ้าวเฉียนก็ดังขึ้น พอหยิบออกมาดูปรากฏว่าแม่ของเขาโทรมา
“ฮาโหลแม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ฉันเพิ่งออกมาจากสนามบิน กำลังจะไปบ้านของลูก ไม่ว่าตอนนี้ลูกจะอยู่ไหน รีบกลับมาเลยก่อนที่แม่จะไปถึง”
“อ่อ เข้าใจแล้วครับ จะรีบกลับเดี๋ยวนี้แหละ”
พอกดวางสายไป จ้าวเฉียนก็หันมากล่าวกับหลิวเหม่ยทันทีว่า
“ขอโทษนะ แม่ผมบินมาหาคืนนี้ คงไม่มีเวลาไปกินข้าวที่บ้านเธอแล้วจริงๆ ถ้ามีเวลา ผมจะชวนคุณไปดินเนอร์กันสักมื้อ คุณแม่ใกล้มาถึงแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะ เธอก็รีบกลับได้แล้ว เดินทางกลับดีๆล่ะ”
ทันทีที่พูดจบจ้าวเฉียนก็รีบวิ่งไปที่ลานจอดรถและขับกลับโดยไว รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นอีกครั้งบนใบหน้าสวยของหลิวเหม่ย เธอคิดว่าจ้าวเฉียนไม่ได้จงใจปฏิเสธตัวเธอเอง แต่วันนี้คุณแม่ดันเดินทางมาเยี่ยมพอดี ดังนั้นเขาจะหาโอกาสชวนเธอไปเดทแน่นอนถ้าว่าง
จ้าวเฉียนรีบขับรถกลับไปโดยเร็วที่สุด พอขับมาถึงก็พบว่าคุณแม่ยืนรออยู่ด้านหน้าคฤหาสน์แล้ว
“แม่! ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดถึงจังเลย! ทำไมนับวันแม่ยิ่งหน้าเด็กลงเรื่อยๆ อ่ะ? ถ้าออกไปเดินเล่นด้วยกันข้างนอก คนอื่นๆ คงคิดว่าผมพาน้องสาวมาเที่ยวนะเนี่ย”
อวีกุ้ยเฟิงร่วนหัวเราะท่าทีดูขบขันกับคำพูดของลูกชายตัวเอง เธอกลอกตาเล็กน้อยตอบกลับว่า
“นี่ลูกฉันปากหวานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่ที่พูดไปดี แม่ชอบ หุหุ…”
“ผมพูดจริงนะแม่! เข้าบ้านกันเถอะ”
แต่ขณะนั้นเอง อวี่กุ้ยเฟิงก็เหลือบไปสังเกตเห็นว่า ลูกชายของเธอขับรถจากัวร์จริงๆ จึงบ่นขึ้นทันทีว่า
“ทำไมลูกฉันมาขับรถราคาถูกแบบนี้? ถ้าคนอื่นรู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิงอวี่กลายมาเป็นขอทานแบบนี้ แม่ว่าอายไปยั่นพ่อ จำได้ว่าแม่ส่งรถสปอร์ตไปให้ขับเล่นสองสามคันแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่ขับล่ะ?”
“เดี๋ยวนี้แม่ไม่ได้ดูข่าวเลยใช่ไหม? มีกลุ่มโจรลักพาตัวพวกลูกทายาทเศรษฐีระบาดไปทั่ว นี่แม่ยังไม่รู้อะไร ล่าสุดที่เมืองตงไห่ ขนาดเศรษฐีประจำถิ่นอย่างหยางเฉิงยังถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่! ถ้าคนอื่นๆ รู้ว่าผมเป็นลูกชายของจ้าวฝู่ ผมคงไม่ต้องออกไปไหนแล้ว! รถขยะแบบนี้แหละ สะดวกสำหรับผมที่สุดแล้วเวลาไปไหนมาไหน สำหรับผมเรื่องปกปิดตัวตนที่แท้จริงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
อวี่กุ้ยเฟิงพยักหน้าเห็นด้วยทันควัน
“ลูกพูดถูกต้อง ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยเป็นดีที่สุด แต่ทันทีที่กลับไปหยานจิ้งก็ไม่ต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ อีกแล้วนะลูก ภายในหยานจิ้นไม่มีใครกล้าทำอะไรกับตระกูลจ้าวของเราแน่นอน”
“ครับผมทราบดี แต่ตอนนี้ผมยังไม่กลับไปแน่นอน ผมใช้เวลาห้าปีกว่าจะเปลี่ยนแปลงให้ผมกลายมาเป็นตัวผมอย่างในวันนี้ ไม่ใช่คุณชายที่เอาแต่ทำชั่วหรือหาเรื่องไปวันๆ ผมอยู่ที่นี่ก็สบายดี และกำลังตามหาความหมายของตัวเองครับ”
อวี่กุ้ยเฟิงระเบิดหัวเราะลั่นด้วยความพออกพอใจยิ่ง และกล่าวตอบทันทีว่า
“แม่ได้ยินที่พ่อเล่ามาแล้ว ได้ข่าวว่าลูกเพิ่งเปิดบริษัทใหม่เมื่อไม่นานมานี้ แล้วดูท่าจะกำลังไปได้สวยเลย ดูท่าลูกจะได้พรสวรรค์ในด้านวงกรธุรกิจมาจากพ่อเต็มๆ แต่ลูกไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนี้อีกแล้ว กลับบ้านไปสืบทอดกิจการครอบครัวดีกว่า”
ผู้คนมากมายมักจะพูดกับบนโลกอินเตอร์เน็ตว่า พวกคนดังหรือทายาทเศรษฐีมักจะพยายามถีบตัวเองออกมา ทำธุรกิจเอง แต่ถ้าหากธุรกิจเหล่านั้นกลับไม่เป็นที่นิยมหรือรุ่งพอ โดยส่วนใหญ่พวกเขาก็จะกลับบ้านและรับสืบทอดมรดกหมื่นล้าน
กรณีของจ้าวเฉียนคงคล้ายกัน ถ้าเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ในเส้นทางตัวเอง เขาก็คงจะกลับบ้านไปรับสืบทอดธุรกิจของครอบครัวเช่นกัน
“แม่อย่ามาอ้อนให้ลูกกลับไปเชียว ถ้าพ่อรู้ว่าแม่มาหาผมเพราะเรื่องนี้ เขาส่งคนมารับแม่กลับแน่ แล้วจะยืนคุยตรงนี้อีกนานไหม?”
“เอาน่า แค่พูดเฉยๆ แค่พูด!”
จากนั้นสองแม่ลูกก็เดินเข้าไปในสวนในคฤหาสน์พร้อมรอยยิ้ม