ฉันเป็นหัวหน้าเผ่าดึกดำบรรพ์ - บทที่ 36 แผนล่าหมู
บทที่ 36 แผนล่าหมู
หมูป่ามากกว่า 40 ตัว!
เมื่อหมูป่าทั้งหมดปรากฏตัวมู่เฟิงก็ตกใจ
“ทําไมมันเยอะขนาดนี้!” หมูป่าเหล่านี้อยู่ไม่ไกลจากเผ่าทําไม หมิงกวง ถึงไม่เคยมาที่นี้มาก่อน?
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาทบทวนอีกครั้งก็เข้าใจว่า หมูป่ากลุ่มนี้มีจํานวนมากและค่อนข้างก้าวร้าวนอกจากนี้หน่วยล่าสัตว์ของเผ่ามีเพียงคนแค่ 50 คนและอาวุธที่ใช้ก็เป็นเพียงไม้กระบองเท่านั้นแม้ว่าพวกเขาจะมาเจอกลุ่มหมูป่าพวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน นี่คือความโหดร้ายในยุคดึกดําบรรพ์มนุษย์เป็นฝ่ายที่อ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์ป่าและธรรมชาติ
แต่ มู่เฟิง เชื่อว่ามีเพียงเผ่าต้าเจียงก่อนหน้านี้เท่านั้นที่เจอสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าเผ่าสถานการณ์จะต้องเปลี่ยนไปเขาไม่เพียงแต่จะจับหมูป่าแต่จะนํามันไปเลี้ยงอีกด้วย!
หมูป่ากลุ่มนี้มีจํานวนมากกว่า 40 ตัว มันเกินความคาดหมายของมู่เฟิงเขาสังเกตหมูป่าที่พยายามแย่งเศษเห็ดที่อยู่บนพื้นและคิดหาวิธีจับหมูป่าซิ่วเฟิงที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าแม้จะหายใจแรงเขามองไปที่ฝูงหมูป่าอย่างกังวลเพราะกลัวว่าพวกมันจะพบร่องรอยของพวกเขา
โชคดีที่หมูป่าเหล่านี้แค่แย่งเห็ดที่อยู่บนพื้นๆ เมื่อมันกินหมดมันก็เดินจากไป บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู ทั้งสองกําลังรอให้หมูป่าเดินออกไปก่อนที่จะออกมาจากที่ซ่อน
ชั่วเฟิง มองไปที่ มู่เฟิง ด้วยความหวาดกลัว “หัวหน้าเผ่า มีหมูป่ามากมายขนาดนี้จับยากแม้แต่หน่วยล่าสัตว์ของเผ่าจะมาก็ไม่สามารถทําอะไรพวกมันได้!”
“อม จํานวนของมันค่อนข้างเยอะจริง!” มู่เฟิง พยักหน้า
ถ้ามี 20 หรือ 30 ตัวเขายังคิดหาวิธีขุดหลุมกับดักขนาดใหญ่ได้ แต่หมูป่า 40 กว่าตัวเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาใหม่ไม่ใช่ปัญหาในการจับแต่เป็นปัญหาในการเลี้ยง
ต้องรู้ก่อนว่าพลังทําลายล้างของหมูป่านั้นไม่อาจมองข้าม เขาเคยเจอหมูป่า 2 ตัวมาก่อนหลังจากที่มันหนีไปมันกลับมาแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง ผลก็คือมันเทศในหมู่บ้านหนึ่งถูกรื้อจนหมด
ถ้าหมูป่าทั้ง 40 ตัวถูกจับ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ตอนนี้ในเผ่ามีสมาชิกเพียง 200 กว่าคนเท่านั้นไม่สามารถทนรับความล่าบากเช่นนี้ได้ แม้จํานวนหมูป่าจะมากแต่เมื่อจับกลับไปเลี้ยงปัญหาเรื่องเสบียงของเผ่าก็จะหายไปเช่นกัน
อย่างไรเสีย แกะก็ดี ไก่ก็ดี ไม่ว่าในอนาคตจะมีลูกน้อยออกมามากมายแค่ไหนก็ยังไม่สามารถเทียบกับหมูได้
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องกลับไปคิดให้ดีๆ!” มู่เฟิง มองไปบนท้องฟ้านี้ก็เป็นเวลาใกล้พลบค่ําแล้ว
“เอาเถอะตอนนี้พวกเรากลับกันก่อน ระหว่างทางดูว่ามีผักป่าหรือไม่จะได้เก็บกลับไปด้วย!”
“ตกลง!” ตั๋วเพิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอกและในที่สุดก็ต้องกลับไปการเดินทางตามหัวหน้าเผ่าในครั้งนี้แม้ว่าจะไม่มีอันตรายเกิดขึ้นแต่ก็เพียงพอทําให้หัวใจเต้นแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมูป่าตัวใหญ่ที่เขาแทบใจสันเมื่ออยู่ใกล้พวกมัน ระหว่างทางกลับ ซัวเฟิง ระมัดระวังตัว ไม่คิดที่จะล่าสัตว์อีกแต่เดินไม่ห่างจาก มู่เฟิง
มู่เฟิง เปรียบเสมือนเทพคุ้มครองชนเผ่าของเขา เขาเดินกลับมาตามเส้นทางที่เคยมา และกาลังคิดหาวิธีจับหมูป่าและดูว่ามีผักป่าที่กินได้อยู่หรือไม่ผลก็คือเขาพบกับต้นหอมป่าชิ้นเล็กๆ
เป็นต้นหอมป่าหนาเท่ากระเทียม มู่เฟิงดีใจแทบกระโดดโลดเต้น คราวนี้ออกมาเพื่อหาเครื่องเทศและผักป่าเขาได้พบผักชีฝรั่งและเห็ดและเครื่องเทศพบเพียงต้นหอม
“ฮ่าๆๆ!” มู่เฟิง หัวเราะและหยิบพลัวขึ้นมาขุดต้นหอมเล็กๆออกมาและใส่ไว้ในตะกร้าไม่ไผ่ของเขาในใจของเขาคิดไว้แล้วว่าคืนนี้เขาจะใช้ต้นหอมป่ากับเห็ดดอกไม่ใส่รวมกับซุปไก่ตุ้นเพื่อลิ้มรสซุปไก่ที่ไม่ได้เจอกัน มานาน
สําหรับต้นหอมชนิดอื่นเขาต้องปลูกและเก็บเมล็ดไว้เพื่อให้ทั้งเผ่ามีเครื่องปรุงรสนี้ บอกตามตรงเขาทนดูซุปไก่ที่ไร้เครื่องเทศอย่างที่ทําเมื่อเช้าให้กับ ชั่วเฟิง ไม่ได้
หรือก็คือ ชั่วเฟิง ยังไม่เคยได้ลิ้มรสน้ําตันไก่ของแท้มาก่อนถึงได้รู้สึกอร่อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ชั่วเฟิงเห็นว่ามู่เฟิงหัวเราะอย่างมีความสุขจึงอดถามไม่ได้ว่า
“หัวหน้าเผ่า เจอเรื่องอะไรดีๆอย่างนั้นเหรอ?”
“อืม” มู่เฟิง ยกต้นหอมป่าขึ้นมา
“ของสิ่งนี้เรียกว่าต้นหอมป่า เวลาตื่นซุปไก่ใส่ลงไปเล็กน้อยแล้วก็เห็ดดอกไม้ รสชาติดีกว่าที่เจ้ากินเมื่อเช้าอีก!”
“จริงหรอ?” ชั่วเฟิง ตื่นเต้น
“จะอร่อยกว่าที่ข้ากินในตอนเช้าอีกหรอ?”
“ข้าเคยทําในโลกก่อน!” มู่เฟิง อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
“รอเจ้าดื่มแล้วจะรู้เอง!”
“โลกคืออะไร?” ชั่วเฟิง เกาหัว “อร่อยไหม?”
มู่เฟิง รับโบกมือ “มันไม่สําคัญหรอกเจ้าแค่รู้ว่าสิ่งนี้อร่อยมาก! หลังจากนี้เมื่อออกไปที่ใดหากพบเห็นของแบบนี้พวกเจ้าต้องขุดรากถอนโคนและนํามันกลับไปปลูกในเผ่า!”
“เข้าใจแล้วอุกะอุกะ!” แม้ว่า ชั่วเฟิง จะรู้สึกแปลกใจแต่เขาก็พยักหน้ารอจน มู่เฟิง ขุดต้นหอมป่าชิ้นเล็กๆเสร็จจึงเร่งกลับไปที่เผ่าต่อระหว่างทางพวกเขาเก็บเห็ดและผักชีฝรั่งบางส่วน
เมื่อกลับไปถึงเผ่า มู่เฟิง รีบแบกตะกร้าไม้ไผ่และหาที่วางใกล้ๆถของเขา จากนั้นเขาใช้พลั่วขุดดินหลวมๆและปลูกผักป่าส่วนเศษเศษที่เหลือเขาจะเก็บไว้เป็นส่วนผสมในอาหารเย็น
ผักชีฝรั่งและต้นหอมป่าเป็นผักใบแรกที่ มู่เฟิง ปลูกในยุคดึกดําบรรพ์ หลังจากปลูกผักป่าเหล่านี้แล้วมู่เฟิงก็ไปตักน้ําที่บ่อน้ําอีกครั้ง
ต้นกล้าที่พึ่งปลูกลงไปหากไม่ลดนรากของผักจะไม่หยั่งรากลึกในดิน นี่คือประสบการณ์ที่เขาได้ปลูกผักด้วยตัวเองในชาติที่แล้ว