ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 102 ปกป้องบ้านเมืองด้วยชีวิต
ตอนที่ 102 ปกป้องบ้านเมืองด้วยชีวิต
ตอนที่ 102 ปกป้องบ้านเมืองด้วยชีวิต
บรรยากาศอันอบอุ่นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นอากาศที่หนาวเย็น
ซูเถามีลางสังหรณ์ไม่ดี เธอจึงเดินออกจากหอพักเพื่อไปตามหาเผยตง เธอเห็นเผยตงจากระยะไกล เหมือนกับว่าเธอกำลังฟังรายงานของใครบางคนพลางขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด
เธอกำลังจะก้าวไปข้างหน้า แต่กวานจือหนิงกลับคว้าตัวเธอเอาไว้แล้วส่ายหัว
“เซี่ยชิงอาจกลับมาไม่ได้แล้ว ที่นั่นมีการปะทะกันเกิดขึ้น คราวนี้มีเคียวโลหิตสิบกว่าตัว และซอมบี้ธรรมดาอีกหลายร้อยตัวมา จุดประจำการทหารถูกล้อมรอบอย่างเบียดเสียด ไม่เห็นแม้แต่เงาของเย่เซี่ยชิงและคนที่เผยตงส่งไปเป็นกำลังเสริม ทุกคนน่าจะถูกโจมตี”
ซูเถาตัวแข็งค้างอยู่ตรงนั้น เธอไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินแล้วถามต่อว่า
“หมายความว่ายังไงที่ว่าเรียกกลับมาไม่ได้?”
กวานจือหนิงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย และน้ำเสียงของเธอก็ไม่ค่อยดีนัก
“อาจจะไม่มีชีวิตรอด เราช่วยพวกเขาเอาไว้ไม่ได้”
ซูเถามองกลับไปยังหอพักที่เรียบง่าย เห็นเค้กที่ยังไม่ได้เป่าและลูกโป่งหลากสีอยู่ข้างใน เธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“เธออายุแค่ 23 ปี วันเกิดของเธอยังไม่ผ่านเลยไป มันไม่มีทางแล้วจริง ๆ เหรอ?”
เมื่อเผยตงได้ยินเสียงก็เดินเข้ามา หลังของเธอยังคงตั้งตรงเหมือนทหาร และฝีเท้าของเธอก็ยังคงมั่นคง แต่มือที่จับซูเถานั้นสั่นเทา เธอพูดอย่างแผ่วเบา
“เถาจื่อ มันไม่มีทางแล้วจริง ๆ นี่คือภารกิจของพวกเขา”
ซูเถาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอกลับมาได้อย่างไร เมื่อเธอมาถึงประตูเถาหยาง ของขวัญสำหรับเย่เซี่ยชิงยังอยู่ในมือเธอ มันคือพจนานุกรมที่เธอได้มาจากผู้อาวุโสเหม่ย
เธอยังคงจำสีหน้าโดดเดี่ยวของเย่เซี่ยชิงได้ตอนที่เธอบอกว่าเธอเขียนหนังสือไม่ได้
กวานจือหนิงลงจากรถ หยิบถังไอศกรีมที่ละลายกลายเป็นน้ำแล้วปาลงถังขยะอย่างแรง เธอทั้งชกและเตะถังขยะ
ซูเถามองไปที่เธออย่างว่างเปล่า สักพักเธอก็เดินกลับห้องไปอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่ระบายความคลั่งแล้ว
วันนี้เธอเหนื่อยมามาก เธอไม่อยากทำการก่อสร้างแล้ว จึงรีบเข้านอน
เมื่อหลินฟางจือเห็นว่าเธอหลับไปแล้ว เขาจึงหยิบเสื้อผ้าของเธอที่เกลื่อนพื้นใส่ลงในเครื่องซักผ้าเบา ๆ รวมถึงให้อาหารแมวและสุนัข หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้แล้ว เขาก็ไปนอนพิงประตูของเธอ และหลับไปพร้อมกับลมหายใจที่คงที่
ซูเถานอนหลับอย่างกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืน ชั่วขณะหนึ่ง เธอฝันว่าเยี่ยนเยี่ยนซึ่งอายุได้สี่หรือห้าขวบได้เติบโตขึ้นและกลายเป็นวัยรุ่น ภาพของขวัญ และรอยยิ้มที่สดใสเป็นพิเศษ ภาพเหล่านั้นทำให้เธอสั่นสะท้าน
หลังจากที่เธอตื่นนอน ก็พบว่าหมอนเปียกโชก ไม่รู้ว่าเป็นน้ำตาหรือเหงื่อ
เมื่อเธอดูเวลาแล้วพบว่าเป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว เธอจึงส่งข้อความถามเผยตงว่า ‘เป็นยังไงบ้าง’
เผยตงตอบกลับมาทันทีภายในไม่กี่วินาที
‘ต้านทานเอาไว้ได้แล้ว ฉันจะไม่ปล่อยให้ซอมบี้จำนวนมากเข้าเมืองไปได้อย่างเด็ดขาด วางใจได้’
ต้านทานไว้ได้แล้ว….หมายความว่าต่อสู้อยู่กับซอมบี้ทั้งคืนเหรอ
ไม่รู้ว่ามีคนอย่างเย่เซี่ยชิงกี่คน ที่ปกป้องบ้านเมืองที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาด้วยชีวิต
‘พาเซี่ยชิงกลับมาได้ไหม?’ แม้ว่าเธอจะกลายเป็นศพไปแล้วก็ตาม
เผยตงใช้เวลานานกว่าที่จะตอบคำถามของเธอ
‘ยังไม่แน่ใจ ที่สนามรบวุ่นวายเกินไป เราจะจัดงานศพสำหรับทหารที่เสียชีวิตในหน้าที่ร่วมกัน’
ซูเถาออกจากหน้าต่างสนทนา และส่งข้อความถึงสือจื่อจิ้น
‘พวกคุณถึงไหนแล้ว ยังสบายดีกันใช่ไหม?’
ถึงกระนั้นข่าวคราวที่เธอส่งไปถาม ก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ
เธอนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ ทำได้แค่ลุกขึ้นแล้วนั่งอ่านข่าวของตงหยาง
ส่วนใหญ่เป็นการรายงานข่าวยกย่องกองทหารรักษาการณ์ที่ช่วยปกป้องบ้านเมือง นอกเหนือจากนี้อดีตผู้นำกองทัพยังสัญญาว่าจะไปที่บ้านของทหารผู้เสียสละเพื่อแสดงความเสียใจกับญาติของทหารผู้เสียสละ และสมาชิกในครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตจะได้รับการสนับสนุนนเยียวยาจากรัฐบาล
ซูเถาเห็นข่าวแบบนี้ก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย เธอดีใจที่อดีตผู้นำกองทัพตงหยางยังรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นและยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก
ถ้าเป็นที่ฐานอื่น คาดว่าคนแรกที่จะโดนเคียวโลหิตโจมตีก็คือคนธรรมดา
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่า การโจมตีเป็นวงกว้างแบบนี้ ไม่น่าจะมีแค่ตงหยางที่เดียวที่ถูกโจมตี
แล้วฐานอวิ๋นชางที่อยู่ถัดไป แล้วก็ฐานโส่วอันที่อยู่ห่างไปเล็กน้อยล่ะ?
เหมือนว่าในขณะนี้ฐานโส่วอันก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
เคียวโลหิตทรงพลังหลายสิบตัว และซอมบี้ธรรมดาอีกเป็นจำนวนมากบุกเข้าไปในเมืองโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง มันฆ่าและกินประชาชนโดยไม่ยับยั้ง ทุกพื้นที่กลายเป็นนรกในคืนเดียว
แต่ว่าพวกกองกำลังแบ่งแยกดินแดนกลับไม่ทำอะไรเลย พวกเขากระจุกกันอยู่ในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ มองเลือดที่ไหลลงสู่แม่น้ำ
ครอบครัวของอู๋เจิ้นทั้งสามชีวิต ต่างก็ซ่อนตัวอยู่ในบ้าน เสียงกรีดร้องของซอมบี้และมนุษย์ดังมาจากข้างนอก เลือดอุ่น ๆ กระเซ็นลงบนกระจกหน้าต่างเป็นครั้งคราว
ภรรยาของอู๋เจิ้นรู้สึกกลัวและสยดสยอง เธออุ้มลูกชายเอาไว้ในอ้อมแขน
“ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้? 20 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่ว่ามันดีขึ้นแล้วเหรอ ทำไมจู่ ๆ เมืองก็ถูกโจมตีแบบนี้ แล้วพวกกองทัพล่ะ ทำไมไม่ช่วยกันออกมาปกป้องพวกเรา”
อู๋เจิ้นค่อนข้างสงบ เขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า
“คุณกำลังฝันอยู่หรือไง? พวกกองกำลังแบ่งแยกดินแดนน่ะเหรอจะมาสนใจพวกเรา พวกเขาก็คงกำลังกลัวหัวหดอยู่เหมือนกันนั่นแหละ!”
ภรรยาของเขาส่ายหัวอย่างลนลาน “พวกกองกำลังแบ่งแยกดินแดนไม่สนใจพวกขยะข้างนอก แต่ต้องไม่ใช่คุณ! ใช่! คุณโทรหาคนที่บ้านเจียงเร็ว ให้พวกเขาจัดหากองกำลังมาช่วยปกป้องเรา รีบโทรเร็วเข้า รีบโทร!”
อู๋เจิ้นเอาเครื่องมือสื่อสารยื่นไปให้เธอ “อะ คุณเอาไปโทรเอง”
ภรรยาที่ตัวสั่นระรัวของเขาคว้าเครื่องมือสื่อสารและโทรหาพ่อบ้านตระกูลเจียง เพื่อพบว่าถูกอีกฝ่ายบล็อกเบอร์!
เธอเหม่อลอยและตัวแข็งทื่อ
อู่เจิ้นยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง “หลายปีมานี้ คุณน่าจะเห็นได้ชัดแล้วนะว่าผมไม่ได้มีความหมายอะไรเลยในสายตาพวกเขา ผมเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่ง”
ภรรยาของเขายังคงส่ายหน้าไม่ยอมรับความจริง
อู๋เจิ้นรู้สึกท้อแท้และนอนหงายอยู่บนโซฟา
“ถ้าตอนนั้นคุณไม่ห้ามผมเอาไว้ เราคงได้ตามซูเถาไปที่ตงหยางหรือเถาหยาง แล้วเราก็ไม่ต้องมานอนรอความตายอยู่ที่นี่ตอนนี้”
ภรรยาของเขาตะโกนตอบโต้ทันที “บางทีตงหยางอาจจะล่มสลายแล้วก็ได้ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนคุณก็ตายอยู่ดี อย่าพยายามโทษฉันเลยจะดีกว่า”
อู๋เจิ้นลุกขึ้นนั่งและชี้ไปที่เธออย่างขมขื่น
“คุณ! คุณใช้สมองคิดเรื่องนี้บ้างได้ไหม แม้ว่าตงหยางจะล่มสลายลงจริง ๆ แต่เมื่อพิจารณาว่าพวกเขาให้คุณค่ากับอาหารและพืชผลมากแค่ไหน พวกเราน่าจะได้เป็นผู้ที่ได้รับการปกป้องและไม่ต้องมาถูกไล่ล่าแบบนี้!
ภรรยาของเขาตกใจมาก ทุกอย่างมันเป็นความผิดของเธอเหรอ?