ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 114 เถ้าแก่ซูตั้งตารอสิ่งที่รอมาเนิ่นนาน
ตอนที่ 114 เถ้าแก่ซูตั้งตารอสิ่งที่รอมาเนิ่นนาน
ตอนที่ 114 เถ้าแก่ซูตั้งตารอสิ่งที่รอมาเนิ่นนาน
หม่าต้าเพ่าดูประหม่ามากกว่าซูเถา สําหรับการเปิดกิจการอย่างเป็นทางการ
“เถ้าแก่ ตอนนี้คนที่รู้จักภูเขาผานหลิวของเรามีไม่มาก ผมคิดว่าช่วงแรก ๆ ที่เปิดคงยังไม่มีใครมา หรือให้ผมไปดึงลูกค้าจากจุดแวะพักเก่าเอาไหม”
ซูเถาไม่สนใจ “ไม่ต้องกังวล ค่อยเป็นค่อยไป จะให้เด่นสะดุดตาเกินไปก็ไม่ค่อยดี ชภายนอกเราเป็นจุดแวะพักของเถาหยาง-ผานหลิวซาน นายยังไม่เคยไปที่เถาหยางใช่ไหมคืนนี้ฉันจะพานายไปพบเพื่อนร่วมงานที่เถาหยาง”
หม่าต้าเพ่ารู้เพียงว่า เถาหยางเป็นดินแดนของเจ้านายของเขาเองที่อยู่ในตงหยาง และรู้เพียงว่าที่นั่นเงื่อนไขดีพอกับภูเขาผานหลิว แต่เรื่องอื่น ๆ ไม่ค่อยแน่ใจนัก
เมื่อได้ยินว่าเขาจะได้ไปพบเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ จึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย และคิดอยู่ว่าต้องซื้อชุดใหม่ไหม หรือว่าต้องทำผมใหม่รึเปล่า แต่เมื่อคิดว่าต้องเดินทางอยู่บนถนนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์กว่าจะไปถึงตงหยาง พอถึงที่นั่นผมของเขาก็คงยุ่งเหยิงแล้ว
ขณะที่กำลังคิด ก็ได้ยินเจ้านายพูดอีกว่า
“หม่าต้าเพ่า เรื่องที่ภูเขาผานหลิวนายเข้าใจดี ฉันเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอด ดังนั้นเลยยังขาดผู้จัดการ ทุกวันนี้ฉันก็เห็นว่านายมีความรับผิดชอบจริง ๆ ดังนั้นหลังจากนี้เรื่องทั้งหมดฉันจะมอบให้นายจัดการ ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
หม่าต้าเพ่าดวงตาเบิกกว้าง และรู้สึกว่าตนหูฝาดไป
ซูเถาจงใจแกล้งเขา “ไม่อยากทำเหรอ? ถ้าอย่างนั้น นายช่วยหาผู้จัดการที่มีความสามารถให้ฉันหน่อย”
“เต็มใจทำครับเต็มใจทำ! เถ้าแก่ของผม นี่ผมมีความสุขจนโง่ไปแล้ว ผม…ผมหม่าต้าเพ่ามีดีอะไรกัน แต่ด้วยความไว้วางใจของคุณ แม้ตายผมก็จะฝังร่างไว้ที่เขาแห่ง นี้”
ซูเถากล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายต้องใช้ชีวิตให้ดีเพื่อฉัน เดี๋ยวรอให้ธุรกิจค่อย ๆ ดีขึ้น พอนายไม่ว่างแล้ว ฉันจะมีตัวเลือกเรื่องเงินเดือนให้นายสองทาง หนึ่งคือมีเงินเดือน 6,000 เหลียนปัง มีที่พักให้ เป็นห้องพักสำหรับสองคน ต่อไปจะมีพนักงานคนอื่นมาอยู่กับนายด้วย”
“ทางเลือกที่สองคือ เงินเดือน 12,000 เหลียนปัง ไม่รวมที่พัก มีอาหารสามมื้อทั้งสองเงื่อนไข พร้อมเงินอุดหนุนในช่วงที่อุณหภูมิร้อนให้ด้วย”
หม่าต้าเพ่าหัวใจเต้นแรงเหมือนรัวกลอง เพราะไม่ว่าจะเงื่อนไขที่หนึ่งหรือสอง ผลประโยชน์นี้ก็ดีมาก
เมื่อก่อนที่ทำงานเป็นคนเรียกแขกที่จุดแวะพักเก่า ได้เงินเดือนเดือนละ 6,000 เหลียนปัง แถมยังไม่รวมที่พักกับอาหารอีก รายได้อื่นต้องพึ่งเงินเสริมจากลูกค้า ไม่งั้นเขาคงจะอยู่ไม่รอด
ในสมองของเขาเต็มไปด้วยคำว่า ไก่สุนัขพากันขึ้นสวรรค์*[1] ปากก็เริ่มเอ่ยคำพูดสวยงาม
“ผม…ผมเลือกเงื่อนไขที่สองครับ เถ้าแก่ซู ผมหม่าต้าเพ่าเป็นเด็กกําพร้า ในชีวิตนี้ผมไม่อยากแต่งงานและมีลูก และไม่มีครอบครัวให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง จะอยู่ในห้องเก็บของก็ยังได้เลย มีที่ทางให้ได้พักเท้าก็พอแล้ว อีกทั้งสถานการณ์ของห้องคู่จะเป็นยังไงผมก็ยังไม่รู้ ไม่เป็นไร ผมเลือกรับประโยชน์จากเงื่อนไขที่สองครับ”
ซูเถาหัวเราะเยาะเขา “ปากนี้ของนายเมื่อก่อนก็เปรียบเทียบราคาให้กับลูกค้ามาไม่น้อยใช่ไหม”
หม่าต้าเพ่าลูบศีรษะตัวเองอย่างเขินอาย “บางทีชีวิตก็ไร้ทางเลือกครับ”
เปิดวันแรกไม่ได้มีลูกค้าอะไรมาก มีสามคนที่เข้าพักที่โรงแรมอย่างเป็นทางการ เพราะว่าที่จุดแวะพักเก่าไม่มีห้องว่างแล้ว และได้เห็นป้ายทางธุรกิจแขวนอยู่บนภูเขาผานหลิว จึงเข้ามาพักด้วยใจที่พะว้าพะวัง
พ่อครัวฉินซึ่งอยู่เฉย ๆ มาเกือบทั้งวัน เมื่อเห็นแขกมาจึงรีบวิ่งไปถามซูเถาว่า
“บอสครับ ผมว่างมาครึ่งวันแล้ว ไม่ได้ทำงานอะไรเลย ผมรู้สึกลนลานจัง แม้ว่าหลังครัวจะมีของใช้บนโต๊ะอาหารครบครัน แต่ก็ไม่มีอาหารเลย เมื่อกี้มีแขกเข้ามา ผมกลัวว่าพวกเขาจะสั่งอาหาร…”
ซูเถาเพิ่มความมั่นใจให้เขา “ไม่ต้องกังวล คิดซะว่าได้พักผ่อนสักวันสองวันแบบได้รับเงินเดือน เดี๋ยวรอให้วัตถุดิบมาถึงแล้ว คุณก็นำเมนูอาหารไปติดได้เลย ตอนนี้ถ้ามีคนมาสั่งอาหาร คุณก็บอกให้พวกเขาไปซื้อเบนโตะจากตู้ขายของอัตโนมัติเอง”
สิ่งนี้ก็เตือนเธอด้วยว่า ต้องหาเวลานําผักจากเถาหยางมา และรวมถึงไปที่ฟาร์มของตงหยางเพื่อซื้อเนื้อสัตว์ด้วย
พ่อครัวฉินกลับไปด้วยความสะเทือนใจ และไปเช็ดเตาบนโต๊ะอาหารด้านหลังครัวอีกครั้ง พอไม่มีอะไรทำก็ไปแย่งงานป้าแม่บ้านทำ
หลังจากนั้นก็มีคนมาอีกสิบกว่าคน แต่ส่วนใหญ่มาเพื่อจะหางานตามข่าวลือ และในนั้นยังมีคนที่เคยเห็นหน้าคาดตา เป็นคนที่มาจัดการศพกับหม่าต้าเพ่าเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อหม่าต้าเพ่าเห็นว่าพวกเขามาหาก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย จึงไปบอกกับซูเถา
“เถ้าแก่ครับ คุณขึ้นไปก่อนดีไหม? คิดว่าพวกเขาน่าจะมาคิดบัญชีกับผม”
ซูเถาถามว่า “นายทําให้พวกเขาขุ่นเคืองเหรอ?”
หม่าต้าเพ่าเอ่ย “เฮ้อ เพราะก่อนหน้านี้ที่เราต้องการหาคนเฝ้ายามที่ร่างกายแข็งแรงไงครับ พี่ใหญ่พวกนี้เดิมก็เคยมีมิตรภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ กับผม ตอนแรกก็มาหาผม แต่ผมคิดแล้วว่าเขาน่าจะไม่สามารถเป็นผู้เฝ้ายามได้ ผมเลยหลบหน้า คิดว่านี่คงเพราะได้ข่าวว่าผานหลิวซานเปิดกิจการแล้ว จึงน่าจะมาคุยกับผม”
เมื่อซูเถาจำได้แล้ว จึงพูดแซวเขา “ทำไมนายถึงโลเลล่ะ ก่อนหน้านี้นายก็ยกย่องทั้งสี่คนนั้น ยังบอกอีกว่าพวกเขาทั้งซ่อมรถได้ รู้หนังสือ แล้วยังมีพลังพิเศษด้วย”
หม่าต้าเพ่าชื่นชมความทรงจําของเธอจริง ๆ
“โธ่ เถ้าแก่ใหญ่ของผม ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ว่าคุณมีข้อกำหนดในการรับคน เพราะคิดว่าถ้ามีความสามารถเล็กน้อยก็ได้แล้ว พอต้องดูคุณสมบัติ พวกเขาสี่คนเลยไม่ผ่าน”
หม่าต้าเพ่าชี้ไปยังชายที่ดูเกียจคร้านผ่านกล้องวงจรปิดแล้วพูดว่า
“คนนี้ชื่อสยงไท่ เขาเป็นคนที่มีพลังวิเศษ ทั้งยังเป็นพลังห้วงมิติที่หายาก มีนิสัยก้าวร้าว ผมจําได้ว่ามันถูกเรียกว่า ‘กรง’ ผมเคยเห็นเขาต่อสู้กับคนอื่น แค่คิดแวบเดียว อากาศรอบตัวเขาก็แปรปรวนอยู่สองครั้ง ฝ่ายตรงข้ามเขาก็เหมือนจะถูกเชือกที่มองไม่เห็นมัดไว้จนขยับไม่ได้ จากนั้นก็ถูกเขาตรึงไว้แล้วทุบตี”
หม่าต้าเพ่าสีหน้าอิจฉา
“พลังนี้ดูจะทรงพลังมากนะ ถ้าไปเป็นทหารรับจ้าง ต้องได้เป็นแนวหน้าแน่ เมื่อเจอซอมบี้ก็ใช้ความสามารถนี้ในการจับพวกมัน นี้ถือว่าจะช่วยลดการบาดเจ็บล้มตายของทีมไปได้ไม่น้อยเลย แต่เขาไม่ไป เพราะไม่มีเงินหรืออาหารติดกระเป๋าเลย จึงได้แต่ออกมาทำงานของคนธรรมดา เช่นช่วยนายเคลื่อนย้ายซากศพ”
“ก็แค่นั้นเอง แถมเขายังขายลูกสาวที่เพิ่งเกิดไปเพื่อซื้อเครื่องดื่ม บางครั้งตอนที่ไม่มีเงินก็จะไปขโมยจากขบวนรถที่เดินทางผ่าน เป็นคนขี้เกียจแถมยังชอบเก็งกำไร คนแบบนี้ผมไม่กล้ารับเข้ามาหรอก”
ซูเถาคิดกับตัวเองว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการที่มีพระเจ้าประทานอาหารให้ แต่คายมันออกมาอย่างเนรคุณ
ด้วยพลังนี้ ขอเพียงขยันสักหน่อยก็สามารถมีชีวิตที่มั่งคั่งเกินกว่าคนทั่วไปจะเอื้อมถึงได้ในยุควันสิ้นโลก
เธออดไม่ได้ที่จะอิจฉา คนเราช่างไม่เหมือนกัน เธอที่ตั้งตารอมานานกลับไม่มีพลัง แต่คนที่มีพลังกลับไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์อะไร
หม่าต้าเพ่าถอนหายใจและพูดว่า “อีกสามคนก็คล้ายกันพวกเขามีทักษะ แต่เป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เถ้าแก่ครับ คุณรีบขึ้นไปก่อนเถอะ ผมจะออกไปคุยกับพวกเขา”
ซูเถาสั่ง “อย่าออกไปจากผานหลิวซาน หากพวกเขาทำร้ายนาย ฉันจะช่วยอะไรไม่ได้”
จากนั้นก็เรียกรปภ. ทั้งสองคนในห้องเฝ้ายามมาอีก
“เหล่าจู เหล่าฉี พวกคุณไปกับหม่าต้าเพ่า พวกคุณจําเรื่องที่ฉันพูดเมื่อคืนนี้ได้ไหม?”
ชายร่างใหญ่ท่าทางองอาจทั้งสองคนพยักหน้าซ้ำ ๆ
“ไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้ในภูเขาผานหลิว ห้ามทําลายทรัพย์สินสาธารณะ ห้ามเข้าไปในห้อง ในพื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หากมีอะไรให้รายงานคุณโดยตรง”
การรายงานให้เธอทราบคือการโยนมันออกจากภูเขาผานหลิวภายในไม่กี่วินาทีและขึ้นบัญชีดำ
หม่าต้าเพ่าโบกมือ “จะไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น ผมจะไปคุยกับพวกเขาดี ๆ”
แน่นอนว่าสยงไท่พาคนออกไปภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที และไม่ได้พูดขัดแย้งอะไรเลย
แต่หม่าต้าเพ่ากลับกุมขมับพลางปาดเหงื่อที่หน้าผากของเขา เอ่ยอย่างหมดคำพูด
“ผมบอกเขาว่าบอสต้องการหาคนที่ขยันและพวกเขาก็ไม่เหมาะกับงานนี้จริง ๆ ผมสาบานว่าผมจริงใจจริง ๆ ใครจะรู้ว่าเขาจะเข้าใจผิดว่าเขาไม่ได้ให้ของขวัญคุณ คุณถึงไม่ได้รับเขาเข้าทำงาน เขาจึงกลับไปเอาของขวัญมา”
[1] ไก่สุนัขพากันขึ้นสวรรค์ คือ หนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ดี ได้ลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วย