ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 116 พลตรีใหญ่ คุณช่างเป็นคนดีจริง ๆ
ตอนที่ 116 พลตรีใหญ่ คุณช่างเป็นคนดีจริง ๆ
ตอนที่ 116 พลตรีใหญ่ คุณช่างเป็นคนดีจริง ๆ
“คุณจะไปเก็บวัสดุก่อสร้างที่ไหน ผ่านภูเขาผานหลิวไหม?” ซูเถาถาม
“ภูเขาผานหลิว? เขตควบคุมที่คุณเพิ่งสร้างใหม่เหรอ?”
ซูเถาส่งรูปถ่ายของภูเขาผานหลิวให้เขา และพูดอย่างใจกว้างว่า
“เปิดเรียบร้อยแล้ว ถ้าคุณผ่านไป เรายินดีต้อนรับให้มากินพักเพื่อเติมพลังงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย”
สือจื่อจิ้นจินตนาการถึงใบหน้าเล็ก ๆ ที่ภาคภูมิใจของเธอได้เลย และพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ไม่เจอแป๊บเดียวก็เป็นบอสใหญ่แล้วเหรอ หากการรวบรวมวัสดุก่อสร้างราบรื่น จากเส้นทางเดิมต้องผ่านภูเขาผานหลิว เพราะไม่งั้นคงต้องอ้อมทางไปไกลเพื่อกลับฐาน”
ซูเถามองไปยังดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้านอกหน้าต่าง และรู้สึกเป็นห่วงเขาเล็กน้อย
“หากต้องอ้อมไปไกลก็จะเสียเวลาที่ต้องกลับฐานใช่ไหม ตอนนี้เป็นเดือนเจ็ด หากให้ผ่านไปอีกครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน เกรงว่าอุณหภูมิจะต้องสูงขึ้นอีก พวกคุณต้องเจออุณหภูมิสูงระหว่างทางไหม?”
ตอนนี้ซูเถามักจะไม่อยากไปในที่ที่ไม่มีแอร์ ขนาดระยะทางจากอาคารที่พักไปยังโรงอาหารก็ทําให้เธอรู้สึกทรมานมาก
อุณหภูมิในเถาหยาง ยังคงต่ำกว่าภายนอกเล็กน้อย และเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าตอนอยู่นอกฐานจะลดอุณหภูมิที่สูงได้ยังไง
สือจื่อจิ้นกล่าว “ค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว แต่โชคดีที่เรานําน้ำมาเพียงพอ ขอบคุณคุณมาก นอกจากนี้ระหว่างทางเราได้พบกับทีมนับไม่ถ้วนที่ลงไปทางใต้เพื่อขอน้ำ หลังจากได้ยินข่าว พวกเขาก็รีบไปที่ตงหยาง ผมคาดว่าพวกเขาน่าจะผ่านภูเขาผานหลิว บางทีคุณอาจจะเตรียมตัวไว้ได้”
นี่เป็นเครื่องเตือนใจว่าเธอจะได้รับเงิน
ฐานทางเหนือเป็นแหล่งเงินจํานวนมาก เพราะในช่วงเวลาอันตรายคนยังสามารถลงใต้เพื่อขอน้ำได้ ซึ่งนั่นก็เป็นลูกค้าที่มีกำลังทรัพย์พอ
หากได้คนกลุ่มนี้มา เธอก็ไม่จำเป็นต้องแย่งลูกค้าจากจุดแวะพักเก่า
ซูเถายิ้มทันที “พลตรีใหญ่ของฉัน คุณช่างเป็นคนดีจริง ๆ ไม่ว่าจะมีเรื่องดีอะไรก็คิดถึงฉันก่อนเสมอ ถ้าคุณมาถึงภูเขาผานหลิวแล้ว ฉันจะเลี้ยงอาหารพวกคุณสักมื้อ ฉันได้เชิญพ่อครัวใหญ่มาด้วย เพื่อเตรียมอาหารระดับห้าดาวเหมือนก่อนวันสิ้นโลก”
สือจื่อจิ้นรู้ว่าเธอจนอีกแล้ว จึงสั่งว่า
“หาเงินได้ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย การทําธุรกิจเป็นสิ่งที่เลี่ยงการแข่งขันหรือแม้กระทั่งการแก้แค้นไม่ได้ แม้แต่ถานหย่งผู้ดูแลจุดแวะพักเก่าก็มีเบื้องหลังบางอย่าง เขาไม่ยอมเสียเปรียบและเป็นคนขี้งก คุณต้องระวังตัวไว้ ถ้าคุณมีปัญหาอะไรที่ไม่สามารถจัดการได้ อย่างไปเผชิญหน้าเอง ให้รีบมาหาผมทันที”
ซูเถาพยักหน้าหงึกหงัก
“งั้นเอาแบบนี้ก่อน ผมจะทําการส่งมอบ ‘โบนวิงส์’ ครั้งสุดท้ายแล้ว ผมจะรีบไปจัดการเรื่องยุ่งเหยิงนี้ แล้วจะรีบกลับไป”
จู่ ๆ ซูเถาก็ถามขึ้นว่า “ฉางจิงจะวิจัย ‘โบนวิงส์’ ยังไงเหรอ?”
แยกชิ้นส่วนเหรอ? หรือผ่า? หรือใช้ยา?
ไม่ว่าเธอจะจําลักษณะของโบนวิงส์ที่เหมือนมนุษย์ยังไง แต่ก็จะเห็นภาพลวงตาที่มันกำลังทำร้ายเพื่อนมนุษย์อยู่เสมอ
สือจื่อจิ้นกล่าวว่า “ผมรู้ว่าคุณกําลังคิดอะไรอยู่ และไม่ใช่ทั้งหมด ฉางจิงต้องการทําลายกฎการกลายพันธุ์ของซอมบี้กลายพันธุ์ ดังนั้นจึงจําเป็นต้องฉีดสารอาหารเพื่อเร่งการเจริญเติบโตเพื่อให้สามารถสังเกตและบันทึกข้อมูลได้ ตอนนี้มันเป็นซอมบี้กลายพันธุ์ตัวแรกที่มีชีวิตซึ่งมีค่ามากสําหรับการวิจัย และจะปล่อยให้มันตายง่าย ๆ ไม่ได้”
ซูเถาคิดอยู่กับตัวเอง การวิจัยตอนมันยังมีชีวิต แต่ก็ต้องดูมันให้ดี หากมันหนีออกมาก็คงกลายเป็นหนังสยองขวัญ หลังจากวางสายซูเถาก็เทเลพอร์ตไปที่ภูเขาผานหลิวและอธิบายงานสําคัญให้หม่าต้าเพ่า
“อีกไม่นาน จะมีขบวนรถจํานวนมากเดินทางไปทางใต้ ซึ่งจะผ่านฝั่งภูเขาผานหลิว นายต้องจับลูกค้าชุดนี้ให้ดี อย่าให้สูญเสียลูกค้าเด็ดขาด”
เมื่อหม่าต้าเพ่าได้ยินว่าธุรกิจกําลังจะมาถึงที่ประตู ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย “คุณวางใจได้ งานชักชวนลูกค้า ผมถนัดมาก”
“แต่อย่ารับมากเกินไป โรงแรมผานหลิวซานรองรับคนได้ 65 คนต่อวัน และยังต้องระมัดระวังคนจากจุดแวะพักเก่าด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง หากมีปัญหาอะไรก็ให้เขาติดต่อฉัน อีกอย่างนายไปซื้อรถมาใช้สักคัน แล้วมาเบิกเงินกับฉัน ไม่อย่างนั้นนายจะยุ่งยากที่ต้องเหมารถไปกลับ”
หม่าต้าเพ่ารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าเธอจะซื้อรถให้เขา
ผู้ชายที่ไหนบ้างไม่ชอบรถ ที่ไม่ชอบเพราะไม่มีเงินต่างหากเล่า!
ซูเถากําลังจะกลับไป แต่หม่าต้าเพ่ารั้งเธอไว้ และพูดด้วยความเขินอาย
“เถ้าแก่ครับ งั้นวัตถุดิบในครัวจะมาตอนไหนเหรอ สองวันมานี้อาจารย์ฉินเขาล้างเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารไปหมดแล้ว ว่างจนลนลาน เขามาจู้จี้ผมด้วยความตื่นตระหนก บอกให้ผมหาอะไรให้เขาทํา ถ้าผมไม่หาให้ทำก็จะไปแย่งงานน้องสาวแผนกต้อนรับ หรืองานทําความสะอาดของป้าแม่บ้าน…ผมแค่อยากให้เขาได้เริ่มจับมีดจับช้อน เพราะถ้าเขาอารมณ์ดี ทุกคนก็จะอารมณ์ดี”
ซูเถายังไม่ทันได้พูด เธอก็เห็นพ่อครัวฉินวิ่งเข้ามาหาเธอแต่ไกล มันทำให้เธอรู้สึกแย่ จึงกล่าวออกมาเพียงว่า
“ฉันจะรีบจัดการมาให้ นายหยุดเขาไว้ก่อน”
จากนั้นก็แอบกลับไปที่เถาหยางทันที
แน่นอนว่าเธอแอบหนีไปได้ไม่นาน พ่อครัวฉินก็ต้องคว้าน้ำเหลว และคว้าหม่าต้าเพ่าอย่างคาดโทษไว้แทน
“ผู้จัดการหม่า มีอะไรให้ผมทำอีกไหม ถ้าไม่ได้ทำงาน วันนั้นผมจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ มันอึดอัดเกินไป…”
เมื่อย้อนกลับไปในเถาหยาง ซูเถาก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับวัตถุดิบในครัวที่ภูเขาผานหลิว
ผักสามารถหาซื้อได้โดยตรงจากไร่เถาหยาง ส่วนเนื้อสัตว์ต้องซื้อจากข้างนอก
ดูเหมือนว่าเธอจะต้องหาคนไปส่งให้ที่ภูเขาผานหลิว ไม่งั้นหากวัตถุดิบเพิ่มขึ้น เธอต้องยุ่งมากแน่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็มองเห็นหลินฟางจือซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสืออย่างเชื่อฟัง และกวักมือเรียกด้วยรอยยิ้ม
“ฟางจือ มานี่หน่อย”
หลินฟางจือ วางหนังสือลงอย่างเชื่อฟังและตรงเข้ามานั่งตรงข้ามกับเธอ มองเธออย่างจริงจังด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างใจจดใจจ่อ
ซูเถาถามเขาว่า “การเรียนเครียดไหม”
หลินฟางจือครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ส่ายหัว
ซูเถาจึงเอ่ยแนะนำว่า “พูดออกมา อย่าใช้ภาษากาย”
หลินฟางจือมุ่ยปาก แต่ก็ยังพยายามจัดระเบียบภาษา “ไม่เหนื่อยครับ อีกไม่นาน ผมก็จะเรียนรู้ได้แล้ว”
ซูเถาชื่นชมเขา “ฟางจือฉลาดมากจริง ๆ แม้แต่ครูเซิ่งยังชมให้ฉันฟัง ฉันเชื่อว่าต่อไปนายจะสามารถพูดคุยกับใครก็ได้อย่างราบรื่น ตอนนี้ฉันมีบางอย่างอยากให้นายช่วย แต่นายต้องพูดคุยกับคนอื่น หรือแม้แต่กับคนแปลกหน้า นายจะทำได้ไหม”
เธอต้องการให้หลินฟางจือจัดการวัสดุและการซื้อของต่าง ๆ ให้ภูเขาผานหลิว
ด้านหนึ่งคือจําเป็นต้องหาฝ่ายจัดซื้อจริง ๆ และอีกสิ่งที่สําคัญกว่านั้น คืออยากให้หลินฟางจือก้าวไปสู่โลกภายนอกแทนที่จะอยู่ในโลกของเธอตลอดไป
หลินฟางจือเข้าใจ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านไปนานกว่าเขาจะถาม
“ผมช่วยพี่ได้เหรอ”
ซูเถาเห็นความประหลาดใจในแววตาของเขาและถามด้วยรอยยิ้ม “ทําไมนายจะทำไม่ได้ล่ะ ถ้ามอบหมายเรื่องนี้ให้คนอื่นทำ ฉันก็ไม่วางใจ”
คิ้วของหลินฟางจือเลิกขึ้น และก็พยักหน้าอย่างแรง “ผมต้องการช่วยพี่!”
ซูเถาแกะลูกอมรสนมที่เขาโปรดปราน แล้วป้อนให้เขา
“สุดยอด งั้นตอนนี้ฉันต้องการให้นายช่วยหน่อย ไปหาเฉียนหลินและบอกเธอว่า ‘ต้องการผักยี่สิบจิน’ ถ้าได้แล้วให้วางไว้ในห้วงมิติ จากนั้นก็มาหาฉัน ขั้นตอนนี้จะใช้ภาษากายไม่ได้”
หลินฟางจือมีท่าทีต่อต้านอยู่บ้าง แต่เมื่อเขาคิดว่าเขาสามารถช่วยเธอได้ ท่าทางต่อต้านนั้นก็หายไป
ซูเถามองด้านหลังของเขาที่วิ่งไปทางไร่และเรียกหาเฉียนหลิน เพื่ออธิบายสถานการณ์
เฉียนหลินถอนหายใจและเอ่ย “คุณช่างใส่ใจฟางจือจริง ๆ โทรมาหาฉันก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว นายโค้งเยอะขนาดนี้ ทำเพื่อออกกำลังกายเหรอ”
ซูเถากล่าวว่า “ก็ยังดี คนที่ต้องลำบากคือฟางจือ ต่อไปเรื่องการจัดซื้อจัดส่งอาหารก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของคุณกับฟางจือ เขาค่อยเชื่องช้าเล็กน้อย บางครั้งก็ยังแสดงออกไม่ถูก คุณให้เวลาเขาหน่อย”
เฉียนหลินพูดอย่างร่าเริง “เรื่องเล็กเรื่องใหญ่แค่ไหน ฟางจือก็เจ็บปวดเช่นกัน ใครก็ตามที่เห็นใบหน้าที่บอบบางของเขาก็ควรฟังอย่างอดทน”
ยี่สิบนาทีต่อมา หลินฟางจือกลับมาด้วยเหงื่อทั่วตัวและจับมือเธอ
“เถาจื่อ ดูสิ”
เขาต้องการแสดงให้เธอเห็นผักที่นํากลับมา
ซูเถาเห็นตะกร้าผักที่ถูกจัดอย่างเรียบร้อยในห้วงมิติของเขา เธอไม่ลังเลที่จะชมเชยอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่เขาทำงานหนักเพื่อเติบโตอย่างช้า ๆ