ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 120 ฉันเป็นห่วงคุณ เพราะเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนสนิท
- Home
- ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก
- ตอนที่ 120 ฉันเป็นห่วงคุณ เพราะเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนสนิท
ตอนที่ 120 ฉันเป็นห่วงคุณ เพราะเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนสนิท
ตอนที่ 120 ฉันเป็นห่วงคุณ เพราะเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนสนิท
จงเกาอี้โกหกอย่างไม่ตั้งใจและพูดว่า “วันที่ 10 ผมติดธุระ ก็เลยมาเร็วขึ้นกว่ากำ หนดน่ะ”
ซูเถาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ และยิ้มต้อนรับเขาด้วยความยินดี
“หมอจง คุณมาทันเวลาพอดี ฉันจะให้คุณช่วยดูเสวี่ยเตาหน่อย ขาของมันได้รับบาดเจ็บ”
จงเกาอี้ไม่ได้สนใจว่าสุนัขจะบาดเจ็บหรือไม่ เอาแต่จ้องไปที่ผ้าก๊อซบนศีรษะของเธอและถามว่า
“เถ้าแก่ซู คุณเป็นยังไงบ้าง อยากให้ผมช่วยดูไหม?”
ซูเถากำลังจะโบกมือแล้วตอบปฏิเสธ แต่สือจื่อจิ้นพูดกับหมอจงเกาอี้ว่า
“ข้อศอกซ้าย ข้อมือขวา ข้อเท้า หน้าผาก และหลังศีรษะ ช่วยดูหน่อย”
สุดท้ายทั้งซูเถาและเสวี่ยเตาก็เข้าคลินิกหมอจงไปด้วยกัน…
หลังจากที่ออกมาแล้ว จุดที่เคยปวดก่อนหน้านี้ก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ และเสวี่ยเตาก็สามารถวิ่งรอบ ๆ ตัวเธอได้แล้ว
จงเกาอี้อดไม่ได้ที่จะย้ำเตือน
“เถ้าแก่ซู แม้ว่าจะเป็นการได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรเพิกเฉย ตอนนี้อากาศร้อน ถ้าเกิดการติดเชื้อจะลำบากมาก”
สือจื่อจิ้นมองมาที่เธอ “คุณได้ยินแล้วใช่ไหม?”
ซูเถาพูดได้เพียงว่าเธอได้ยินแล้ว
จงเกาอี้มองไปรอบ ๆ “เถ้าแก่ซู แล้วอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่คุณนำมาก่อนหน้านี้ ล่ะ?”
ซูเถากล่าวว่า “มันกองอยู่ที่พื้นในห้องรับแขกของอาคารสำนักงานข้าง ๆ ฉันยังไม่มีเวลาทำความสะอาด เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เรียบร้อยก่อนคุณเข้าคลินิกพรุ่งนี้”
เธอมัวแต่ไปทำการก่อสร้างที่ภูเขาผานหลิว และพักงานด้านคลินิกไว้ ดูเหมือนว่าคืนนี้เธอต้องอดหลับอดนอนเพื่อสร้างห้องเก็บเครื่องมือแพทย์และห้องฉุกเฉิน
หลังจากออกมาจากคลินิก ซูเถาก็เห็นเฉินซีรีบวิ่งมาทางด้านนี้
ซูเถาเรียกเธอ “เฉินซี? ทำไมวิ่งเร็วแบบนั้นล่ะ ระวังด้วย”
เฉินซีลดความเร็วลงและพูดอย่างเขินอาย
“หนูได้ยินว่าลุงจงมา ไม่ได้เจอตั้งแล้ว ก็เลย…”
ซูเถายิ้ม “งั้นไปเถอะ”
เมื่อเฉินซีวิ่งไป ซูเถาก็หันไปหาสือจื่อจิ้นและพูดว่า
“เฉินซี แกชอบหมอจง ฉันเคยได้ยินจวงหว่านพูดว่าทุกครั้งที่เฉินซีไปทำการรักษา เขาก็มักจะบรรยายสิ่งต่าง ๆ ให้เฉินซีฟัง ทั้งยังเอาหนังสือเกี่ยวกับการผ่าตัดมาให้เธอด้วย หรือว่าเขาอยากจะรับเฉินซีเป็นลูกศิษย์”
สือจื่อจิ้นพูดอย่างใจเย็น “หรือบางทีเขาอาจจะอยากได้เป็นลูกสาว”
ซูเถาตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้ จวงหว่านไม่น่าจะยอมหรอก”
สือจื่อจิ้นมองใบหน้าที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของอีกฝ่าย และคิดอยู่พักหนึ่งว่าไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องนี้กับเธอ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่องและพูดว่า
“พาผมไปดูเฮยจือหม่าหน่อย”
เขาดึงความสนใจจากซูเถาได้สำเร็จ “ใช่แล้ว ฉันหามันแป๊บนะ หลังจากที่มันปลุกพลังของมันได้ มันก็ชอบวิ่งไปวิ่งมา ฉันปิดประตูห้องไม่ได้เลยนะ มันจะเกาประตูตลอด ทุกเช้าฉันเลยต้องปล่อยมันออกไปเล่น”
เธอเปิดกล้องวงจรปิด และพบว่าเฮยจือหม่าอยู่ที่ชั้นล่างของอาคารหมายเลขสอง แต่ในขณะเดียวกันเธอก็มองเห็นหน้าต่างชั้นหนึ่งที่แตกร้าว กับผนังบางส่วนที่ถูกระเบิดเมื่อคืน
ตอนกลางคืน เมื่อทำการต่อเติมคลินิกเสร็จก็ต้องซ่อมกำแพงใหม่ ถ้าจับคนร้ายได้ เธอจะทำให้รู้ความหมายของคำว่าโหดเหี้ยมว่ามันหมายความว่ายังไง
เมื่อไปถึงอาคารสอง ซูเถาก็ตะโกนเรียกเจ้าแมวตัวน้อย ไม่นานเฮยจือหม่ากระโดดลงมาจากหน้าต่างที่แตกร้าวพร้อมกับส่งเสียงร้อง
มันเอาตัวไปถูกับซูเถาก่อน และหลังจากนั้นมันก็ไปนอนลงบนรองเท้าบูตของสือจื่อจิ้น บุคคลที่มันคุ้นเคยเป็นอย่างดี
สือจื่อจิ้นอุ้มมันขึ้นมา มองขึ้นลงและพูดกับซูเถา
“มันเป็นความสามารถทางจิต เรียกว่าการ ‘ตรวจจับ’ ไม่เพียงสามารถแบ่งปันการมองเห็นกับผู้คนเท่านั้น แต่ยังแบ่งปันประสาทสัมผัสของการได้ยิน การได้กลิ่น และการสัมผัสหรือการสั่นสะเทือน นอกจากนี้ตราบใดที่มันได้ไปสำรวจสถานที่ต่าง ๆ มันจะถูก ‘จัดเก็บ’ เพื่อสร้างเป็นภาพหรือแผนที่ให้คนตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทำหน้าที่เหมือนทหารพรานหรือหน่วยสอดแนม”
“คุณสามารถเข้าใจได้ว่ามันเป็นกล้องที่เคลื่อนที่ ไม่มีขีดจำกัดของระยะทาง และมันสามารถหายตัวไปในความมืดได้อย่างสมบูรณ์อีกด้วย”
สือจื่อจิ้นหยุดพูดชั่วคราวและกล่าวเพิ่มเติม
“มันเหมาะสำหรับการเข้าร่วมกองทัพ ความสามารถในการตรวจจับที่ทรงพลังของมันสามารถสร้างประโยชน์มากมายให้กับกองทัพ”
ซูเถากะพริบตา “อันที่จริง ในกรณีของฉัน ความสามารถของมันไม่มีประโยชน์”
ด้วยระบบที่ใช้อยู่ ทั้งเถาหยางและภูเขาผานหลิวอยู่ภายใต้การควบคุมของเธอ และเฮยจือหม่าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรเลย ตรงกันข้าม กองทัพที่ต้องออกไปเสี่ยงภัยกลับต้องการทหารพรานที่แข็งแกร่ง
แต่ซูเถามีความเห็นแก่ตัว…เธอทนไม่ได้จริง ๆ ที่จะส่งเฮยจือหม่าเข้าร่วมกองทัพ มันเป็นลูกแมว และมันได้รับอาหารและเครื่องดื่มดี ๆ จากเธอตั้งแต่ยังเด็ก มันไม่เคยเห็นโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายภายนอก
เธอทนไม่ได้จริง ๆ
สือจื่อจิ้นไม่ได้ถามคำถามอะไรอีก เขาเกาคางของเฮยจือหม่าแล้วส่งคืนให้ซูเถา
ซูเถากอดหอมมันอีกครั้ง จากนั้นจึงปล่อยให้มันออกไปเดินเล่น
“นี่ก็ดึกแล้ว คุณขึ้นไปข้างบนเถอะ”
ภายใต้แสงจันทร์ที่มีลมพัดผ่าน ซูเถามองร่างที่อ่อนล้าภายใต้แสงจันทร์ และอดไม่ได้ที่จะถามว่า
“ถ้าภารกิจครั้งนี้จบลงแล้ว คุณจะมีเวลาพักได้นานแค่ไหน?”
สือจื่อจิ้นส่ายหัว “ตอบไม่ได้เหมือนกัน อาจจะหนึ่งเดือน หรือหนึ่งสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งหนึ่งวันก็อาจเป็นไปได้”
ซูเถาถามอย่างเป็นห่วง “คุณไม่เหนื่อยจริง ๆ เหรอ?”
สือจื่อจิ้นถามเธอกลับ “แล้วที่คุณคอยกังวลเรื่องเล็กและใหญ่ของเถาหยางตลอดทั้งวัน ต้องดูแลทรัพย์สินของผู้เช่าที่สูญหาย หรือผู้เช่าคนใดที่บาดเจ็บ คุณเป็นห่วงทุกคน คุณเหนื่อยหรือเปล่า?”
ซูเถาถอนหายใจ “คุณต้องออกไปที่นู้นที่นี่โดยไม่ได้หยุดพัก และคุณมักจะเผชิญกับสิ่งที่อันตรายที่สุดอยู่เสมอ ฉันเป็นห่วงและรู้สึกเป็นทุกข์”
ดวงตาของสือจื่อจิ้นอ่อนไหวเล็กน้อย “ทำไมคุณถึงเป็นห่วงผม?”
ซูเถาชะงักไปเล็กน้อยและรีบตอบกลับทันทีว่า “แล้วทำไมคุณถึงเป็นห่วงฉันเมื่อได้ยินว่าฉันได้รับบาดเจ็บ ทำไมคุณกลับมาดูฉันด้วยตาของคุณเองล่ะ?”
เธอเชิดคางขึ้น “ว่ายังไง? ทำไมคุณไม่พูดล่ะ”
“เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกัน” สือจื่อจิ้นพูดด้วยความจริงจัง
มุมปากของซูเถาค่อย ๆ หุบลง “ใช่ ฉันเป็นห่วงคุณ เพราะฉันถือว่าคุณเป็นเพื่อนสนิท ฉันไม่เพียงเป็นห่วงคุณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเฉินเหล่าเอ้อร์ด้วย ฉันง่วงนอนแล้ว ฉันจะขึ้นไปข้างบนก่อน พรุ่งนี้ถ้าคุณจะไปคุณไม่ต้องมาบอกฉันนะ ฉันว่าจะนอนตื่นสาย ๆ หน่อย”
สือจื่อจิ้นเฝ้ามองหลังของเธอที่หายไปในทางเดิน และเฝ้าบอกกับเธอว่าฝันดีในใจ
ซูเถาเปิดประตูและรีบมุ่งไปที่เตียงใหญ่ของเธอ จากนั้นกระโดดขึ้นกลิ้งไปมาพร้อมกับไป๋จือหม่าที่หลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของเธอ
เธอไม่อยากจะคิดถึงเรื่องเมื่อครู่
จู่ ๆ เครื่องสื่อสารก็ดังขึ้น เมื่อซูเถาเห็นว่าเป็นกู้หมิงฉือที่โทรมา เธอก็เปิดลำโพงแล้ววางตัวเครื่องสื่อสารแล้วนอนลงอีกครั้ง
“บอสกู้ มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเลย ตอนนี้หุ้นส่วนของคุณอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยเท่าไหร่”
กู้หมิงฉือไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงโทรมาหาเธอ ดังนั้นเขาจึงคิดประโยคอยู่นานกว่าจะเอ่ยออกมาได้
“คุณตาเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีมาก ได้ยินจากพยาบาลว่ากินอิ่มนอนหลับ ตอนบ่าย ๆ ก็มักจะร้องเพลงเสียงดัง”
“งั้นไม่มีอะไรแล้ว”
ซูเถารอให้เขาวางสาย รอไปสักพักและเมื่อหยิบเครื่องสื่อสารขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าผ่านไปสิบนาทีแล้ว แต่กู้หมิงฉือยังไม่ยอมวางสายสักที
“มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นอีกฝ่ายจึงรีบวางสายทันที
ซูเถารู้สึกสับสนแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นนั่ง และเปิดระบบเพื่อเริ่มทำงาน เธอวางแผนไปที่คลินิก ขั้นแรกขยายพื้นที่ห้องเดี่ยวถัดจากห้องตรวจโรคเดิม เพื่อใช้เป็นห้องฉุกเฉิน และย้ายอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับห้องฉุกเฉินเข้าไป
ห้องฉุกเฉินมีเตียงเดี่ยว 2 เตียง และตู้เก็บของ 2 ตู้ใช้สำหรับเก็บยาที่จำเป็นสำหรับการรักษาในกรณีฉุกเฉิน คงจะดีกว่านี้ถ้ามียาสักชุดหนึ่ง แต่ตอนนี้เถาหยางไม่มียาเลย
ในที่สุด ชั้นใหม่ก็ถูกสร้างขึ้นเหนือห้องตรวจโรค มีบันไดเวียนขึ้นไป ซึ่งจะใช้เป็นห้องพิเศษเพื่อจัดเก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ
ซูเถาเปิดหน้าต่างห้องเธอ เพื่อมองที่ตั้งของคลินิกก็โล่งใจมาก มันเหมือนมีโรงพยาบาลเล็ก ๆ
หลังจากสร้างคลินิกเสร็จ เธอก็ไปซ่อมแซมชั้นหนึ่งของอาคารหมายเลขสองทั้งหมด และมันก็กลับมาเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว
ซูเถาดูเวลา ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าแล้วดังนั้นเธอจึงคิดที่จะสร้างห้องชุด 2 ห้องนอนและ 1 ห้องนั่งเล่นเพิ่มอีกสองสามห้อง
วันนี้ตอนบ่ายจะมีผู้เช่ากลุ่มใหม่ย้ายเข้ามา โดยจ่ายเงินให้เธอเป็นจำนวน 198,000 เหลียนปัง ตอนนี้เงินฝากของเธอมีสูงถึง 880,000 เหลียนปัง
ทุบสถิติสูงสุดสำหรับการออมของเธอ
ซูเถาสร้างห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นเสร็จ 7 ห้องในคราวเดียว และเงินออมของเธอก็ลดเหลือ 660,000 เหลียนปัง
เมื่อห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น ทั้ง 7 ห้องนี้ถูกปล่อยเช่า มันจะเพิ่มรายได้ให้เธอ 560,000 เหลียนปังในทันที และเงินออมของเธอจะทะลุหนึ่งล้าน
หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จำนวนผู้เช่าของเธอจะสูงถึง 150 คน และหากที่ภูเขาผานหลิวได้รับการตอบรับที่ดี การที่จะมีผู้เช่ารวมถึง 200 คนก็จะไม่ใช่ปัญหา
จากนั้นเธอจะทำการอัปเกรดระบบครั้งต่อไป!