ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 147 โดนแมวข่วน
ตอนที่ 147 โดนแมวข่วน
ตอนที่ 147 โดนแมวข่วน
สยงไท่รู้สึกภูมิใจมาก “ครั้งนี้เป็นของดีอย่างแน่นอน เถ้าแก่ของคุณต้องชอบมันมากแน่ ๆ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็หยิบถุงกระสอบที่ฉีกขาดออกมา
หม่าต้าเพ่าเกาศีรษะ “นายคิดจะทำอะไร ตอนนี้ฉันยุ่งมาก ไว้อีกสองสามวันนายค่อยกลับมาตอนฉันว่าง”
หลังจากพูดจบ เขาก็โทรหาเสี่ยวจางแผนกต้อนรับให้มาคุยกับสยงไท่ ขณะที่เขารีบกลับไปที่เถาหยาง
หัวหน้าชีโทรหาเขาและบอกว่าเธอเห็นเฮยจือหม่านอนอยู่บนถังขยะที่ด้านหลังภูเขาเมื่อคืนก่อน และมันหายไปหลังสี่ทุ่ม มันน่าจะหายไปในช่วงเวลานี้
สยงไท่ไม่มีเวลาแม้แต่จะเปิดกระสอบ เขามองไปที่หลังของหม่าต้าเพ่า และโยนถุงกระสอบลงบนพื้นด้วยความโกรธ
เฮยจือหม่าที่อยู่ในกรงในถุงกระสอบ ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาและไม่สามารถส่งเสียงได้ มันพยายามดิ้นรนอยู่หลายครั้ง
จากนั้นเสี่ยวจางก็รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในกระสอบ เธอกำลังจะถาม แต่สยงไท่ก็หยิบถุงกระสอบไปเสียก่อน
“ให้ตายเถอะ ภูเขาผานหลิวของพวกคุณไม่ปฏิบัติต่อผมในฐานะมนุษย์จริง ๆ ทั้งยังมีท่าทีเย็นชาไม่สนใจ ผมไม่ให้แล้ว ผมเอาไปแลกเป็นเหล้าดีกว่า”
สยงไท่ขึ้นรถขนสินค้าไปพร้อมกับกระสอบที่อยู่บนหลังของเขาและกลับไปที่สถานีเก่า เขาได้พบกับชวีจิ้งอวิ๋นและเหลียนซาที่กำลังจะจากไปหลังจากตามหาเขาไม่สำเร็จ
สยงไท่อารมณ์ไม่ดี เขาไม่แม้แต่จะทักทายพวกเธอ เขายัดกระสอบไปที่ชวีจิ้งอวิ๋นด้วยใบหน้าที่ไม่ดี
“คุณชวี แมวตัวนี้เหมาะสำหรับคุณ ถ้าคุณชอบมัน ก็แลกกับเหล้าหนึ่งขวดให้ผมแล้วกัน”
ชวีจิ้งอวิ๋นมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเธอเปิดกระสอบก็เห็นแมวดำอยู่ข้างใน มันขยับตัวไม่ได้แต่มีดวงตากลมโตคู่หนึ่ง ดวงตามีน้ำตารื้น ดูอ่อนแอ และน่าสงสาร
อุ้งเท้าเล็ก ๆ ยังคงเป็นสีชมพูและจมูกก็อ่อนโยน ดูเหมือนว่ามันอายุเพียงสี่หรือห้าเดือน ท่าทางดูไม่ก้าวร้าว
ชวีจิ้งอวิ๋นรู้สึกทึ่งกับมันในทันที และแม้แต่เหลียนซา ผู้ซึ่งไม่เคยมองโลกในแง่ดีมาก่อนก็มองมันเช่นกัน
ชวีจิ้งอวิ๋นมองเข้าไปในกระสอบ เธอเงยหน้าขึ้นถามสยงไท่
“คุณเอามาจากไหน”
สยงไท่ตอบว่า “แมวจร คุณชวี ถ้าคุณอยากได้คุณก็แค่เอาเหล้ามาแลกหนึ่งขวด ไม่ต้องถามอะไรมาก”
ชวีจิ้งอวิ๋นพูดทันที “เหล้าน่ะ คุณสามารถไปซื้อที่ที่ฉันอาศัยอยู่ได้ในวันพรุ่งนี้ แต่คุณควรปล่อยแมวก่อน มันดูอึดอัดมาก”
ขณะที่เธอพูดก็พลางเปิดกระสอบไปด้วย
สยงไท่เปลี่ยนอารมณ์ “เอาเถอะ ผมจะปล่อยเดี๋ยวนี้ ระวังด้วยนะ มันดุมาก”
ทันทีที่มันถูกปล่อยออกมา เฮยจือหม่าก็รีบออกมาจากถุงทันที มันกางกรงเล็บออกและข่วนไปที่ใบหน้าของสยงไท่ ทันใดนั้นเลือดก็พุ่งออกมาทันที
สยงไท่กรีดร้อง เขาปิดตาและจมูกที่มีเลือดไหล
ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้ เฮยจือหม่าก็นำผลึกนิวเคลียสสีเขียวจาง ๆ ออกมาจากกระเป๋าของสยงไท่ และวิ่งหายไปในชั่วพริบตาเดียว
ชวีจิ้งอวิ๋นถือถุงเปล่าและยืนอยู่ที่นั่นอย่างตะลึงงัน
เหลียนซามองด้วยความประหลาดใจไปยังทิศทางที่แมวดำกำลังวิ่งหนี
แมวตัวนี้รวดเร็วมาก มันไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนที่แมวทั่วไปควรมี
สยงไท่ยังคงโอดครวญและสาปแช่งแมวให้ตายในขณะที่กรีดร้องเหมือนสัตว์ร้าย
เหลียนซามองเขาอย่างไร้ความรู้สึก เธอแยกริมฝีปากสีแดงออกเบา ๆ และเสียงเพลงที่ไพเราะพลันลอยก้องอยู่ในอากาศ
ชวีจิ้งอวิ๋นไม่ได้ยิน เห็นได้เพียงว่าสยงไท่ค่อย ๆ สงบลงพลางปล่อยมือที่ปิดตาและจมูกออก
เปลือกตาของเขาถูกกรงเล็บของแมวข่วนจนเนื้อปริแยกออกจากกัน เลือดอาบใบหน้าจนน่ากลัว
ชวีจิ้งอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่น ลูกแมวน่ารักช่างร้ายกาจเหลือเกิน….
มันคือแมวจรจริง ๆ ประมาณว่าไม่มีใครควบคุมแมวจรชนิดนี้ได้ ถ้าไม่ระวังอาจจะบาดเจ็บหรือตาบอดได้
แต่ก็ค่อนข้างผิดหวังนิดหน่อย ถ้าเธอเลี้ยงได้ก็คงจะดี
ดวงตาที่ดีอีกข้างหนึ่งของสยงไท่ ค่อย ๆ เคลิบเคลิ้ม เขาจ้องมองตรงไปที่เหลียนซาและพึมพำ “เทพธิดา…”
ชวีจิ้งอวิ๋นเบะปากด้วยความดูถูกเหยียดหยาม เทพธิดาเหรอ หึ เทพธิดาที่ช่วยอุ่นเตียงให้ผู้ชายล่ะสิไม่ว่า
หลังจากนั้นไม่นาน สยงไท่ก็ติดตามเหลียนซาไปพบกับถานหย่ง ราวกับว่าเขาสูญเสียวิญญาณไป
……
“เถ้าแก่ หัวหน้าชี เด็กทั้งสี่คนนี้เห็นเฮยจือหม่าที่กองขยะหลังภูเขาในตอนบ่ายวันที่มันหายตัวไป คุณกับหัวหน้าชีต้องการไปสอบถามไหม”
ซูเถาขยี้ตาที่เจ็บและบวมของเธอ เธอเห็นเด็กที่ใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งต่อหน้าเธอ คนโตอายุไม่น่าเกินสิบสองปี และคนเล็กน่าจะอายุเพียงแปดหรือเก้าขวบ
พวกเขาเบียดเสียดกันและมองดูการตกแต่งในห้อง ทั้งอิจฉาและวิตกเล็กน้อย
ซูเถารู้สึกสงสารพวกเขาจึงหันไปหาหลินฟางจือและพูดว่า “ฟางจือ ไปเอาลูกอมกับน้ำมาให้เด็ก ๆ”
จากนั้นค่อย ๆ ทักทายพวกเขา และพาไปนั่งบนโซฟานุ่ม ๆ เธอค่อย ๆ ปลอบโยนพวกเขาอย่างใจเย็น
หลินฟางจือมอบลูกอมหนึ่งห่อและน้ำแร่หนึ่งขวดให้กับทุกคนตามที่ซูเถาสั่ง
เด็ก ๆ มองสิ่งเหล่านี้ ตาของพวกเขาเบิกกว้าง ปากของพวกเขาเอาแต่หลั่งน้ำลาย อยากจะกินแต่ไม่กล้ากิน
ซูเถากล่าวว่า “ไม่เป็นไร เอาไปเถอะ แต่พี่ขอถามอะไรพวกเราสักสองคำถามได้ไหม หลังจากถามเสร็จพี่จะให้ลุงหม่าพากลับบ้านนะ ตกลงไหม”
เด็ก ๆ เห็นว่าเธอยังอายุน้อย หน้าตาสวย และอ่อนโยน ความตื่นตระหนกของพวกเขาก็ลดลงครึ่งหนึ่ง พวกเขามองไปยังเด็กที่โตที่สุด และเมื่อเห็นเขาพยักหน้า พวกเขาจึงรับไปคนละชิ้นอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่ได้กินทันที พวกเขากอดเอาไว้ในอ้อมแขน
ซูเถาตระหนักดีว่าเด็กชายอายุสิบสองปีคนนี้อาจเป็นผู้นำของเด็กกลุ่มนี้ ดังนั้นเธอจึงถามด้วยรอยยิ้ม
“เราชื่ออะไร?”
“ผมชื่อเจิ้งซิง พี่สาว แมวดำตัวนั้นเป็นของพี่หรือเปล่า”
ดวงตาของซูเถาเป็นสีแดงเล็กน้อย “ใช่ ฉันเลี้ยงมันมา และมันก็เป็นครอบครัวของฉันด้วย ช่วยบอกพี่หน่อยได้ไหม ว่าที่นายเห็นมันครั้งสุดท้ายมันเกิดอะไรขึ้น”
เจิ้งซิงตกใจมากที่พี่สาวแสนสวยและอ่อนโยนมีแมวที่ดุร้ายเช่นนี้
เขาแสดงความเคารพต่อซูเถาทันทีและพูดอย่างระมัดระวัง เขาไม่เพียงเล่าถึงสถานการณ์ในวันนั้น แต่ยังพูดถึงคนที่ต้องการฆ่าแมวดำเพื่อกินเนื้อ แต่ถูกแมวข่วน
ซูเถาตกตะลึง
ลูกชายที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กเกือบทำให้ตาของคนอื่นบอด และกลายอันธพาลที่เชิงเขาผานหลิว?
ในความประทับใจของเธอ เฮยจือหม่านั้นซุกซนที่สุด แต่ไม่เกเร รักอิสระเล็กน้อย มันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?
เจิ้งซิงแอบสังเกตใบหน้าของเธอและถามอย่างไม่แน่ใจ “พี่สาว พี่ไม่รู้เหรอ”
ซูเถาเอามือก่ายหน้าผาก “ฉันคงประมาทเกินไป”
เจิ้งซิงเข้าใจ เขาเปล่งเสียงออกมาอย่างชัดเจน และนึกขึ้นได้ว่า
“ยกเว้นคนคนหนึ่ง ผมคิดว่าสยงไท่เป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด พี่สาว พี่รู้จักเขาไหม เขาเป็นผู้ที่มีพลังวิเศษ มันอาจไม่ง่ายสำหรับคนธรรมดาที่จะจับแมวของพี่ไป แต่ด้วยพลังของสยงไท่นั้นสามารถจับคนและสัตว์ได้ง่ายทีเดียว”
“วันนั้นผมเห็นเขาพยายามเข้าใกล้ลูกแมว แต่ผมก็เตือนเขาแล้วนะ ผมต้องขอโทษด้วยนะ ผมคิดว่าคงไม่มีใครเลี้ยงลูกแมวที่ดุร้ายขนาดนี้…. ดังนั้นเมื่อสยงไท่ถาม ผมก็เลยบอกว่ามันอาจเป็นแมวจร ผมขอโทษนะพี่สาว อาจเป็นเพราะเหตุนี้ทำให้สยงไท่จับไปโดยไม่มีความละอายใจ”