ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 151 มันถูกกำหนดให้ไม่มีข้อจำกัด
ตอนที่ 151 มันถูกกำหนดให้ไม่มีข้อจำกัด
ตอนที่ 151 มันถูกกำหนดให้ไม่มีข้อจำกัด
เฮยจือหม่าดื่มน้ำหมดไปครึ่งขวด และกินอาหารกระป๋องอย่างมูมมาม ตอนนี้สติของมันจึงดีขึ้นมานิดหน่อย แต่ตอนเดินยังคงมีอาการสะลึมสะลืออยู่บ้าง
สือจื่อจิ้นเพียงอุ้มมันขึ้นมาวางไว้บนไหล่กว้างของตนเอง และปล่อยให้มันนอนไปอย่างนั้น ซูเถามองอาการบาดเจ็บบนร่างกายของเฮยจือหม่า และถามอย่างเป็นห่วง
“หายไปนานขนาดนี้ ทำไมมันไม่สนใจฉันเลย หรือเพราะสยงไท่ทำมันตกพื้น?”
สือจื่อจิ้นรู้สึกขมขื่นจนพูดไม่ออก “คุณยังสนใจเรื่องนี้อีกเหรอ มันหายไปตั้งหลายวัน ทั้งเป็นลม ทั้งหิวทั้งกระหาย เดิมทีก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรอยู่แล้ว”
เขาพูดพลางตบก้นเฮยจือหม่าเบา ๆ “แค่บาดแผลภายนอกเล็ก ๆ น้อย ๆ วางใจเถอะ รักษาไม่กี่วันก็หายแล้ว”
เมื่อได้ฟังเขาพูดแบบนี้ ซูเถาก็วางใจลงได้ หลังจากนั้นก็ขอบคุณสองแม่ลูกที่ช่วยชีวิตเฮยจือหม่าไว้
ผู้เป็นแม่ของเด็กหญิงมองไปที่น้ำและอาหารตรงหน้าเธออย่างทําอะไรไม่ถูก และรู้สึกว่ามันแพงเกินไป เธอไม่กล้าที่จะร้องขอ แต่ในบ้านไม่มีข้าวปลาอาหารเลยจริง ๆ…
ซูเถาเห็นอีกฝ่ายลังเล จึงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณสามารถนำไปได้เลย เมื่อพวกเราไปแล้วก็หาสถานที่ที่จะนำของพวกนี้ไปซ่อนให้มิดชิด อย่าให้คนอื่นมาเจอ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดกับคุณสองแม่ลูก”
จุดแวะพักเก่าวุ่นวายเกินไป ทั้งยังขาดอาหารขาดน้ำ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนที่เจตนาไม่ดี
เธอรู้สึกซาบซึ้งมาก จึงดึงลูกสาวมาขอบคุณซูเถา
เด็กหญิงขอบคุณทีละคนอย่างจริงใจ “ขอบคุณค่ะพี่สาว ขอบคุณค่ะพี่ชาย ขอบคุณค่ะพี่ใหญ่…”
เธอมองไปที่กู้หมิงฉือซึ่งมองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเจนเพราะปีกหมวกที่กดลงต่ำ เด็กหญิงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ตะโกนออกมา
“ขอบคุณค่ะคุณลุง…”
กู้หมิงฉือมีสีหน้าไม่พอใจ และอยากจะคิดบัญชีกับอีกฝ่าย
“ทําไมเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ แล้วเรียกฉันว่าลุงล่ะ”
เขาที่ว่านั้นหมายถึงสือจื่อจิ้น
สิ้นประโยคของกู้หมิงฉือ สือจื่อจิ้นก็เลิกคิ้วขึ้น
เด็กหญิงรู้สึกหวาดกลัว จึงตะโกนตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “ขอบ… ขอบคุณค่ะพี่ชาย ฮือฮือฮือ”
แล้วถลาตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของมารดา
“คุณอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังจะมาทำให้คนอื่นร้องไห้อีก ไปไปไป ออกไปเลย” ซูเถาพูดอย่างโกรธจัด
กู้หมิงฉือถูกไล่ออกไป
สือจื่อจิ้นปิดประตู และยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ
กู้หมิงฉือซึ่งยืนอยู่นอกประตูกำหมัดแน่นเส้นเลือดปูดโปน
ซูเถาอธิบายเพิ่มเติมให้แม่และลูกสาวฟัง ก่อนจะบอกลา
ทันทีที่พวกเขาออกมา พวกเขาก็ได้ยินกู้หมิงฉือส่งเสียงฟึดฟัดใส่พวกเขา และกลับไปที่รถของตัวเอง
ผู้ที่มีความสามารถย้อนเวลาได้ก็ช่วยเขาเปิดประตูรถอย่างรีบร้อน
ซูเถาพูดไม่ออก แต่ยังตะโกนว่า “เดือนหน้าจะส่งน้ำเพิ่มให้คุณห้าสิบตัน”
เมื่อกู้หมิงฉือได้ยินคําเหล่านี้ลอยเข้าหู ซึ่งมันก็เป็นคําว่า ‘ขอบคุณ’ สองคำนี้ จึงเลื่อนหน้าต่างรถลงแล้วตอบ “ไม่ต้องเกรงใจ”
ผู้ที่ตอบเขาคือเสวี่ยเตาที่เห่าด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเตาตื่นเต้นและมองด้วยความเกลียดชังขนาดนี้ สือจื่อจิ้นก็เข้าใจได้เลยทันที สีหน้าของเขามืดลงเล็กน้อย และพาซูเถาขึ้นไปนั่งบนรถของตัวเองฝั่งที่นั่งข้างคนขับ
ซูเถาจับเบาะนั่งไว้อย่างมั่นคง และอธิบายอย่างประจบประแจง
“ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่ากู้หมิงฉือจะมา ก่อนหน้านี้ก็คงเห็นแล้วว่า ฉันก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร แต่ต่อมาถึงได้เดาได้”
“คุณเดาถูกได้ยังไง” น้ำเสียงของสือจื่อจิ้นสงบลงมาก
“เมื่อวานเขาโทรหาฉันบอกฉันว่าจะให้ยืมคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง ซึ่งก็คือคนนั้นที่สามารถ ‘ย้อนเวลาได้’ ตอนนั้นฉันก็ปฏิเสธไป ใครจะรู้ว่าวันนี้เขาจะมาเจอฉันที่บ้านสยงไท่ พูดไปได้สองประโยคฉันก็สงสัยแล้ว”
สือจื่อจิ้นมองไปที่ใบหน้าเล็ก ๆ ที่ไร้เดียงสาของเธอ และตระหนักว่าเรื่องนี้เขาควรถามกับกู้หมิงฉือ เป็นที่ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนเป็นเพียงการร่วมมือกันระหว่างอุปสงค์และอุปทาน หน้าก็ยังไม่เคยเจอ ทำไมกู้หมิงฉือถึงให้ซูเถายืมคนได้โดยไม่มีเหตุผล? และหลังจากที่ซูเถาปฏิเสธเขาไปแล้ว เขากลับมายืนรอกระต่ายถึงหน้าประตูบ้านสยงไท่
มีอะไรแอบแฝงในใจ?
สือจื่อจิ้นเป็นคนที่เก่งในการเก็บซ่อนอารมณ์ เขาปรับท่าทีกลับมาสุภาพเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ถามอะไรอีก และทำเพียงพูดว่า
“คนของผมพบว่าสยงไท่ถูกคนของถานหย่งพาไป ผมได้ขอให้ผู้ช่วยไปขอความช่วยเหลือจากใครสักคน และเมื่อถึงเวลาเขาจะพาสยงไท่ไปส่งให้คุณที่ผานหลิวซาน”
ซูเถาอยากจะบอกว่าให้ช่างมันเถอะ เพราะเฮยจือหม่าได้แก้แค้นแทนเธอแล้ว โดยทำให้เขาตาบอดไปข้างหนึ่ง แต่เมื่อคิดได้ว่าสือจื่อจิ้นเป็นห่วงเรื่องของเธอมาก ถึงขั้นจับคนมาให้เธอเพื่อระบายความโกรธ จึงได้แต่พยักหน้าตกลง
หลังจากสือจื่อจิ้นหยุดพูดไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า
“ผมมีข้อเสนอ”
“ว่ามาสิ” ซูเถาเงยหน้าขึ้น
“เอาเฮยจือหม่าให้ผม พลังของมันถูกกำหนดให้ไม่มีข้อจำกัด”
หัวใจของซูเถาสั่นสะเทือน กอดลูกแมวในอ้อมกอดแน่น
เสิ่นเวิ่นเฉิงที่ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนั่งอยู่เบาะหลังก็พูดขึ้นทันทีว่า
“คุณซู พลตรีสือพูดถูก เอ่อ…ผมขอโทษ ผมขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อเสิ่นเวิ่นเฉิง เป็นนักวิจัยที่ฐานเหอคัง งานวิจัยหลักของเราคือทิศทางและกฎแห่งวิวัฒนาการความสามารถของมนุษย์”
“เมื่อครู่ผมได้เข้าใจความสามารถของแมวดำตัวน้อยมาแล้ว มันมีพลังในหมวดด้านจิตใจ พลังทางจิตมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง มันจะส่งผลต่อแรงจูงใจและนิสัยของพวกเขา”
“พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้ามันหายไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะมีโอกาสหายไปครั้งที่สอง มันจะไม่สามารถกำจัดความต้องการที่จะสำรวจพื้นที่ใหม่ได้ คุณน่าจะเข้าใจเรื่องผลข้างเคียงของความสามารถนี้”
สือจื่อจิ้นยังยกตัวอย่างให้เธอฟัง
“ยังจําเรื่อง ‘สองพี่น้องที่ชอบเสี้ยมสอน’ ที่เคยสร้างความโกลาหลในเถาหยางครั้งก่อนได้ไหม ก่อนที่พวกเธอจะตื่นมีแนวโน้มว่าพวกเธออาจมีบุคลิกภาพเช่นนี้ หลังจากตื่นขึ้นก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้ จากนั้นก็ไปยุยงและสร้างความวุ่นวายให้คนอื่น”
ซูเถาอ้าปากค้าง และตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ สือจื่อจิ้นรู้ว่าเธอตัดใจไม่ได้ เขาถอนหายใจ แล้วค่อย ๆ เกลี้ยกล่อมเธอ
“ตอนนี้ในใจคุณต้องคิดอยู่แน่ว่า ติดตั้งตัวระบุตำแหน่งไว้ พอเขาวิ่งหายไปจะได้หาได้ง่าย ๆ แต่เถาเถา คุณต้องรู้ว่า หลังจากที่เขาสำรวจพื้นที่รอบตัวหมดแล้ว เขาจะยิ่งวิ่งไปไกลกว่าเดิมอีก คุณสามารถตามหาเขาได้ครั้งสองครั้ง แต่จะคุณสามารถตามหาเขาไปตลอดชีวิตได้ไหม”
“คุณเอามันให้ผม ทุกครั้งที่ผมออกปฏิบัติภารกิจ แทบจะมีความแตกต่างกันทุกเส้นทาง แบบนี้เขาก็จะมีพื้นที่แวดล้อมใหม่อยู่ตลอด มันจะไม่วิ่งไปไหนมั่วซั่ว ไม่งั้นถ้าหายไปครั้งหนึ่ง คุณก็จะต้องเสียกำลังตามหา ผมรับรองได้ว่าผมจะดูและมันให้ดี”
ซูเถามุ่ยปาก และไม่พูดอะไรอีก
เฮยจือหม่าในอ้อมแขนยกหัวขึ้นเล็กน้อย เลียคางของเธอและส่งเสียงร้องอย่างสบายใจ
สือจื่อจิ้นยื่นมือใหญ่ออกไปลูบหัวเธอ “ผมไม่ได้บังคับคุณ ถ้าคุณตัดสินใจได้แล้วค่อยบอกกับผม”
หลังจากพูดจบจึงสตาร์ทรถ และเตรียมออกเดินทาง
ทันใดนั้นเฮยจือหม่าก็ร้องเหมียว และกระโดดออกจากอ้อมกอดของซูเถา ดึงประตูรถอย่างบ้าคลั่งราวกับว่ามันต้องการลงไป
ซูเถาตะลึง มันต้องการจะทําอะไรกันแน่ เธอจึงหันไปถามสือจื่อจิ้น
“ถ้าฉันเปิดประตู มันจะหนีไปไหม”
เธอกลัวจริง ๆ เธอมีภาวะความผิดปกติทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากพบเหตุการณ์ความรุนแรง
สือจื่อจิ้นกล่อมให้เธอวางใจ “เปิดเถอะ ไม่ต้องกังวล มีผมอยู่”
ซูเถานิ่งสงบราวกับธารน้ำไหล และเปิดประตูรถ
เฮยจือหม่ากระโดดลงจากรถและวิ่งไปสองก้าวแล้วก็หยุดลงและหันมาร้องเหมียวเรียกซูเถา
เมื่อเห็นว่าเจ้าของยังคงนั่งนิ่งอยู่ในรถ มันวิ่งกลับมาอย่างกระวนกระวายใจ และกระโดดขึ้นรถ ลูบฝ่าเท้าของซูเถาหลายครั้ง ตะโกนร้องพลางหันหน้าออกไปข้างนอก ดูเหมือนว่าจะขอให้เธอตามมันไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง