ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 153 มาจากการโน้มน้าวของผู้อาวุโสเหม่ย
บทที่ 153 มาจากการโน้มน้าวของผู้อาวุโสเหม่ย
บทที่ 153 มาจากการโน้มน้าวของผู้อาวุโสเหม่ย
หลินฟางจือพยักหน้า เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงหยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังที่ซูเถามักใช้ออกมา กระเป๋าถือขนาดเล็ก และแม้แต่หมวกของเธอที่อยู่ในห้วงมิติของเขา ก็นำออกมาจากกระเป๋าที่เขาวาดขึ้นเมื่อครู่นี้
มีของอยู่หลายอย่าง หากตอนไหนที่เธออยากจะเอาของจากห้วงมิติของเขา จะได้ไม่ต้องวิ่งหาอีก
“ฟางจือของเรานับวันยิ่งใส่ใจ” ซูเถายิ้มและเอ่ยขึ้น
นี่สะดวกขึ้นมากอย่างแน่นอน
จริง ๆ แล้วฟางจือค่อนข้างยุ่งทุกวัน เพราะต้องไปเรียนทุกเช้า ตอนบ่ายต้องวิ่งไปมาระหว่างเถาหยางและผานหลิวซาน เพื่อช่วยส่งผักและส่งเอกสารอีก
จนเมื่อเร็ว ๆ นี้เขาก็ได้เรียนรู้การจดสถิติกับเฉียนหรงหรง โดยบันทึกรายละเอียดที่เขาต้องจัดส่ง
ดังนั้นจึงไม่สามารถอยู่เคียงข้างเธอได้ตลอดเวลา
ซูเถาพอใจกับสิ่งนี้มาก
เขาเติบโตขึ้นมาก เมื่อเทียบกับตอนแรกที่ดูต่อต้าน จนถึงตอนนี้สามารถจัดการเหตุฉุกเฉินบางอย่างได้ด้วยตัวเอง และไม่ได้พึ่งพาเธอมากจนเกินไปอีกแล้ว
หลินฟางจือหรี่ตาลงเมื่อเธอสัมผัสเขา ในใจมีความสุขมากจึงเอ่ยเสริมว่า
“ยังสามารถแบ่ง…” เขาหยุดชั่วคราวราวกับกำลังนึกคําที่จะพูด
“…แบ่งแยก”
ทุกคนแสดงออกว่าไม่เข้าใจ จนหลินฟางจือต้องแสดงให้พวกเขาเห็น หลังจากนั้นไม่นานซูเถาก็เข้าใจ
“เป็นแบบนี้นี่เอง เขาสามารถแบ่งพื้นที่หนึ่งพันห้าร้อยตารางเมตรออกเป็นขนาดต่าง ๆ เช่นกระเป๋าเป้สะพายหลังของฉัน มีพื้นที่แยกต่างหากร้อยตารางเมตร พื้นที่ร้อยตารางเมตรนี้ไม่ได้เชื่อมต่อกับพื้นที่อื่น ๆ ของเขา แต่จะเป็นอิสระจากกันโดยสิ้นเชิง”
“ใช่… ผม…ยังสามารถเอามันกลับมาได้” หลินฟางจือพยักหน้าแรง ๆ ทันทีที่เขาพูดจบ กระเป๋าเป้สะพายหลังก็หายไป
ซูเถาถอนหายใจ นี่มันน่าอัศจรรย์มาก
สือจื่อจิ้นมองไปที่หลินฟางจือ ไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า
“ไม่แปลกใจเลยที่พลังของนายชื่อ ‘กระเป๋า’ ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นเพียงคําเปรียบเปรยเหมือนการทำงานของกระเป๋า” ไม่คิดว่าความหมายที่แท้จริงจะเกิดขึ้นหลังจากวิวัฒนาการ
กระเป๋าไม่เพียงแต่ใช้สําหรับจัดเก็บเท่านั้น แต่ยังติดอยู่กับเสื้อผ้าได้อีกด้วย
เมื่อเสิ่นเวิ่นเฉิงได้ยินแบบนี้ เขาก็พูดทันทีว่า “ใช่ ชื่อเรียกพลังและความสามารถที่มีอยู่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน นี่ก็เป็นหนึ่งในทิศทางหลักในการวิจัยของเรา”
“จะอธิบายตัวอย่างให้พวกคุณฟังนะ ผมเคยรู้จักผู้ที่มีพลังคนหนึ่ง ความสามารถของเขาเรียกว่า ‘ตัวตลก’ ตัวเขาเองก็เหมือนกับคนทั่วไปทั้งรูปร่างหน้าตาและสมรรถภาพร่างกาย แม้จะปลุกความสามารถได้แล้วนิสัยก็ไม่เปลี่ยน ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตอนที่ปลุกและไม่ปลุกก็เหมือนกัน”
“จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน เขาหัวเราะเสียงดังมาก เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้ง เขาเคลื่อนไหวอย่างตลก เพื่อให้เขาถูกญาติคนอื่น ๆ ดุว่าไม่กตัญญู และเขานั้นแปลกแยก ต่อมาผมถึงได้เข้าใจว่า ตัวตลกนั้น เพราะยิ่งโศกเศร้ายิ่งต้องหัวเราะให้คนอื่นพอใจ”
เสิ่นเวิ่นเฉิงถอนหายใจ “ดังนั้นชื่อของพลังจึงเป็นตัวกําหนดความสามารถและการปลุกให้ตื่นขึ้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีเสมอไป”
ในใจซูเถารู้สึกเสียใจจริง ๆ
สือจื่อจิ้นดูเหมือนจะรู้ความคิดของเธอ เขาจึงพูดขึ้นทันทีว่า
“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้”
เมื่อซูเถาได้ยินสิ่งที่เขาพูดอย่างชัดเจน เธอจึงได้สติกลับมา และไล่ถามว่า
“ทําไมคุณถึงพูดแบบนั้น คุณคิดว่าพลังของฉันจะไม่ถูกปลุกหรือตื่นขึ้นมาหรอ? แต่มันจะไม่ส่งผลกระทบด้านลบใช่ไหม?”
เธอรู้ว่าเขามีพลังที่เรียกว่า ‘ดวงตาสอดแนม’ มันสามารถเห็นพลังเหนือธรรมชาติของอีกฝ่ายได้ในเวลาอันสั้น ที่ก่อนหน้านี้ ‘พี่น้องเสี้ยมสอน’ ถูกเขาจับได้และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สือจื่อจิ้นสัมผัสได้ถึงความอ่อนไหวของเธอ แต่ก็ยังถูกเธอถามอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขาแค่พูดแบบสบาย ๆ โดยไม่รู้ตัวก็ถูกเธอสังเกตเห็น จึงทำได้แค่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
“ผมไม่แน่ใจ แค่เดาเอาเท่านั้น ถ้าคุณอยากรู้คำตอบ ไม่สู้ลองสังเกตดูทักษะพิเศษของคุณเองล่ะ”
เสิ่นเวิ่นเฉิงนักวิจัยที่ยอดเยี่ยม กล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว
“ใช่ การตื่นตัวทั่วไปของความสามารถที่ผิดปกติมีสารตั้งต้น และแม้แต่ความสามารถที่ผิดปกติของบางคนก็เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขาเก่งกาจ ก่อนจะตื่น เช่นคนที่มีความจําดี พอตื่นขึ้นก็กลายเป็นคนความจําเสื่อมได้ ถึงระดับที่ไม่เคยลืม ไปจนถึงระดับคนที่จำไม่เคยลืมได้”
ซูเถาจึงนึกเชื่อมโยงกับเฮยจือหม่า ในตอนเล็ก ๆ ก็มีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมใหม่
เมื่อสองเดือนก่อนเธอออกไปข้างนอกจึงฝากแมวน้อยทั้งสองตัวให้ผู้อาวุโสเหม่ยดูแล ตอนนั้นไป๋จือหม่าเอาแต่ขดตัวอยู่บนพื้น กลับกันเฮยจือหม่ากลับชอบออกไปลาดตระเวนสำรวจพื้นที่ใหม่ ๆ ที่แท้ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีความสัมพันธ์กัน
แล้วความสัมพันธ์ของเธออยู่ที่ไหนล่ะ?
หลายคนกลับไปที่รถ สือจื่อจิ้นจึงพูดกับเธอว่า
“ผมจะไปส่งคุณที่ภูเขาผานหลิวก่อน หลังจากนั้นผมต้องไปค้นหาเอกสารและตัวอย่างการวิจัยที่หายไปกับคุณเสิ่น ของเหล่านี้มีความสำคัญมาก หากไม่มีอะไรขัดข้องน่าจะสามารถช่วยในการวิจัยให้มีคุณภาพได้อย่างก้าวกระโดด”
เสิ่นเวิ่นเฉิงยังกล่าวขอโทษ “ทำให้พวกคุณต้องลําบากแล้ว รอให้ค้นหาเอกสารและตัวอย่างการวิจัยเจอ เราจะให้ข้อมูลการวิจัยกับตงหยางเป็นอันดับแรก เพื่อเป็นการขอบคุณพลตรีสือที่ช่วยเหลือ”
ซูเถาพยักหน้าด้วยความเข้าใจ “งั้นพวกคุณรีบกลับไปเถอะ จื่อเยว่เองก็บอกว่ามีเรื่องสําคัญที่ต้องการจะพูดคุยกับคุณ”
เรื่องที่สำคัญคือ จื่อเยว่ต้องการแชร์ห้องกับเพื่อนร่วมชั้นของเธอ และเปลี่ยนเป็นห้องแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น แต่เธอไม่มีเงิน จึงอยากให้พี่ชายของเธอช่วยอุปถัมภ์
สือจื่อจิ้นพูดออกไปโดยไม่ต้องคิด
“เรื่องใหญ่คือต้องการขอเงินผม ผมจะไม่เข้าใจเธอได้ไง อีกเดี๋ยวผมค่อยโทรหาเธอ”
ซูเถายกมือกุมขมับ สมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน
คนขับสตาร์ทเครื่องยนต์ และออกรถขับไปที่ภูเขาผานหลิว แต่ครู่หนึ่งซูเถาก็ได้รับสายจากเหลยสิง
“เถ้าแก่ซู คุณหาแมวเจอแล้วใช่ไหม ก่อนหน้านี้ผมไม่กล้าโทรหาคุณเลย”
ซูเถาคิดถึงเรื่องธุรกิจขึ้นมาได้ “หาเจอแล้ว เรื่องเมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง”
เหลยสิงเอ่ยอย่างภูมิใจ “มีผมอยู่จะเป็นยังไงได้ล่ะครับ ผมจับคนที่พวกเขาส่งมาได้แล้ว พลังของคนคนนี้เรียกว่า ‘ธาตุหมอก’ ร่างกายทั้งหมดสามารถกลายเป็นหมอกและทะลุผ่านไปได้ทุกที่”
“เมื่อคืนเขาถูกงูไฟเผาทันทีที่เขาเปลี่ยนรูปร่าง ผมของเขาไหม้เกรียมไปหมด นอนขอความเมตตาอยู่บนพื้น แต่คนคนนี้ไม่รักศักดิ์ศรีเลยจริง ๆ มาขอร้องผมว่าอยากหลบภัยอยู่ที่ภูเขาผานหลิวซาน จะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ผม ตอนนี้ถูกงูไฟมัดอยู่ในห้องน้ำ รอให้คุณกลับมา”
ซูเถากล่าวชื่นชมเขาอย่างจริงใจว่า “กลุ่มทางเสือดาวสมแล้วที่ได้รับการยอมรับว่ามีความน่าเชื่อถือ เป็นทีมทหารรับจ้างที่มีประสิทธิภาพ สายตาทุกคนเฉียบขาดจริง ๆ”
เหลยสิงยิ้มพร้อมกับกลอกตาเมื่อได้ยิน จนบังเอิญแสดงหางเสือดาวสีทองที่อยู่ข้างหลังเขาออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ มันแกว่งไกวจนเขาอยากจะพ่นน้ำลายออกมาเต็มปาก
หลังจากนั้นซูเถาก็ได้รับสายโทรศัพท์จากผู้อาวุโสเหม่ย จวงหว่าน เฉียนหลิน อู๋เจิ้น หม่าต้าเพ่าและคนอื่น ๆ หลังจากทักทายแล้วก็เริ่มแจกแจงเรื่องงานให้แต่ละคน
ซูเถาอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา แม้อยากจะหนีจากงานแต่ก็ทำไม่ได้ เธอทำได้เพียงทำงานในรถ
ผู้อาวุโสเหม่ยแทบรอให้เธอกลับมาไม่ไหว ทำได้เพียงแสดงแผนให้เธอเห็นผ่านเครื่องสื่อสาร ซึ่งมีมากกว่าสี่สิบแผ่น และไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัย มีทั้งย่านการค้า โรงเรียน โรงพยาบาล หรือแม้แต่การวางแผนการจราจร
จากการกระจายของชุมชนไปจนถึงการออกแบบภายนอกและภายในของอาคารที่พิถีพิถันมาก
ซูเถาถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็น
เพียงแค่มองไปที่ภาพการออกแบบ ความปรารถนาของเธอก็พุ่งสูงขึ้นไปถึงยอดเขา
ช่างเป็นแผนที่ชัดเจนมาก
รู้สึกได้เลยว่าทั้งเถาหยางเป็นระเบียบมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับตัวเธอเองที่สามารถวาดได้เพียงกล่องไม้ขีดไฟเท่านั้น อาคารที่ผู้อาวุโสเหม่ยวาดนั้นมีภายนอกของอาคารที่ทาสีสวยงามและได้บรรยากาศจริง ๆ
ผู้อาวุโสเหม่ยพูดอย่างจริงจัง
“หนูเถา ฉันให้เธอได้แค่สิ่งที่อยู่บนกระดาษ สถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงขึ้นอยู่กับตัวเธอเอง คำแนะนำของฉันคือ เธอต้องมีแผนที่ชัดเจนสําหรับตัวเองและเถาหยาง อย่าเอาแต่คิดที่จะสร้างให้ได้ตามที่คิด ขั้นแรกเธอต้องวางแผนให้ชัดเจนว่าจะสร้างอะไรก่อน หลังจากนั้นถึงจะสร้างได้ ขั้นที่สองหลังจากสร้างเสร็จแล้วต้องใช้คนที่มีความสามารถแบบไหนถึงจะสามารถดำเนินงานต่อไปได้”
“ยกตัวอย่างเช่นในโรงพยาบาล เมื่อพิจารณาถึงการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ยา และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในช่วงก่อนหน้า ฉันได้วาดภาพร่างสามแบบ ซึ่งสอดคล้องกับคลินิกขนาดเล็ก โรงพยาบาลขนาดกลางในชุมชน และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเมือง ตามสถานการณ์ตอนนี้ เธอก็สามารถสร้างได้เฉพาะโรงพยาบาลขนาดเล็ก คลินิกเท่านั้น”
“หากเป็นคลินิกเล็ก ๆ ต้องใช้พนักงานกี่คน และจะนำยาเข้ามาอย่างต่อเนื่องได้จากที่ไหน เธอต้องมีแผนที่ชัดเจนกับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นหากไม่มีคน ไม่มียา คลินิกที่เธอจะสร้างก็เปล่าประโยชน์”
คําพูดเหล่านี้ทําให้ซูเถาได้สติขึ้นมา
เมื่อมองย้อนกลับไป ใจของเธอนั้นใหญ่เกินไปแล้ว
หากต้องการพัฒนาการเกษตร เน้นการศึกษา และทำให้การรักษาพยาบาลเป็นที่นิยม จะต้องคำนึงถึงธุรกิจหลักเกี่ยวกับการให้เช่าที่อยู่อาศัยด้วย
หากไม่มีแผนพัฒนาที่เป็นระเบียบเรียบร้อย
ก็เท่ากับหางานยุ่งให้ตัวเอง ทำให้ต้องยุ่งตั้งแต่เช้ายันค่ำ
“ขอบคุณมากค่ะ หนูเถารับไว้แล้ว”
ผู้อาวุโสเอ่ยด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง “เธอฉลาดมาก นอกจากนี้ยังมีแรงผลักดันและความกระตือรือร้นของคนหนุ่มสาว มันอาจจะดีกว่าถ้าจะช้าลงหน่อย และดำเนินการไปทีละขั้นตอน”