ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 161 เอ็นดูฟางจือ
ตอนที่ 161 เอ็นดูฟางจือ
ตอนที่ 161 เอ็นดูฟางจือ
เมื่อซ่งเยว่ปินได้ยินคำพูดนั้น เขาจึงหันหน้าไปหาจางหลินแล้วพูดว่า
“เหล่าจาง นายดูสิธุรกิจของเถ้าแก่ซูจะไม่เฟื่องฟูได้ยังไง? วันเวลาของสถานีเก่าที่เคยเป็นดั่งราชาเสือได้สิ้นสุดลงแล้ว”
จางหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่ซู เมื่อธุรกิจของภูเขาผานหลินเติบโตขึ้น เราถือได้ว่าเป็นลูกค้าประจำและเพื่อนเก่า ได้โปรดดูแลเราด้วย”
ซูเถายิ้มอย่างสดใส “แน่นอน งั้นทีมซ่งพักผ่อนให้เพียงพอนะคะ เมื่อหมอมา ฉันจะพาคุณไปที่นั่น หลังจากที่หมอรักษาหายแล้ว เราค่อยมาคุยกันเรื่องการค้นหาเมล็ดพันธุ์ทางตอนเหนือ”
เธอกล่าวคำอำลาอย่างสุภาพ หม่าต้าเพ่าถึงกับทักเธอเมื่อเธอลงจากอาคาร
“เถ้าแก่ คุณซื้อใจคนได้มากมายจริง ๆ จากสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในทุกวันนี้ ซ่งเยว่ปินคนนี้ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในแวดวงกองคาราวาน เขาเป็นคนชอบธรรมและชอบผูกมิตร เขาจำคุณได้นั่นก็แปลว่าพวกเขาค่อนข้างประทับใจการบริการจากภูเขาผานหลิวของเรา และเราได้รับชื่อเสียงในแวดวงคาราวาน”
ซูเถากล่าวว่า “ที่สถานีเก่ามีการเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือเปล่าคะ”
หม่าต้าเพ่าส่ายหัว
“ตั้งแต่มี๋อู้ถูกส่งมาที่นี่ครั้งล่าสุด ทางนั้นก็เงียบไปเลย แม้กระทั่งทางเราประกาศว่าจับมี๋อู้ได้แล้ว พวกเขาก็ยังไม่ตอบโต้ แต่พวกเขาก็คงนิ่งแค่ผิวน้ำ เราไม่สามารถรู้คลื่นที่อยู่ใต้น้ำได้จริง ๆ”
“เอาล่ะ ดูต่อกันไป แล้วถ้ามีความผิดปกติใด ๆ รายงานฉันกับหัวหน้าชีได้เลยทันที ยังไงก็ตาม อีกสองสามวันฉันจะเตรียมห้องทำงานส่วนตัวให้คุณ คุณต้องการทำงานในภูเขาผานหลิวหรือในเถาหยาง”
หม่าต้าเพ่าเกาหัวของเขา “ผมต้องมีห้องทำงานด้วยเหรอ ห้องเฝ้ายามด้านล่างภูเขาผานหลิวก็เพียงพอแล้วสำหรับผม”
ซูเถากล่าวว่า “แบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ อย่างไรก็ตามคุณมีหน้าที่รับผิดชอบจุดแวะพัก ผู้จัดการหม่าต้องมีห้องทำงานที่เหมาะสมให้นั่ง นอกจากนี้ในอนาคตที่ภูเขาผานหลิวจะมีพนักงานเพิ่มขึ้น ฉันจะปล่อยให้คุณเบียดเสียดอยู่กับพวกเขาที่ห้องเฝ้ายามเหรอคะ”
หม่าต้าเพ่าหน้าแดงเมื่อเธอเรียก ‘ผู้จัดการหม่า’ เขาถูมือสองข้างไปมาแล้วพูดว่า
“เถ้าแก่ อย่าทำให้ผมอาย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ อย่ามาพูดถึงการนั่งในออฟฟิศวันนี้เลย ผมไม่รู้ว่าชีวิตของผมจะไปในทิศทางไหน ห้องทำงานน่ะไม่ต้องหรอก เพราะปกติแล้วที่เชิงเขาด้านล่างนั้นมีคิวยาวตลอดทั้งวัน”
“งั้นเรามาสร้างอาคารสำนักงานเล็ก ๆ บนภูเขาผานหลิวกันเถอะ มันเชื่อมต่อกับหอพักพนักงาน แต่อาจต้องต่อคิว เพราะฉันยังมีอีกหลายอย่างที่ยังรอการก่อสร้าง” ซูเถายิ้ม
หม่าต้าเพ่าลุกขึ้น “เถ้าแก่ทำงานอย่างหนักเลยจริง ๆ ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ เถ้าแก่ ห้องที่โรงแรมผานหลิวมีไม่พอจริง ๆ เรามีคิวยาวตลอดทั้งวันลงไปถึงด้านล่างภูเขา”
ซูเถารู้สึกว่าเธอกำลังจะถูกบีบให้แห้ง “ฉันพยายามอย่างเต็มที่แล้ว…”
ก่อนจากไป พ่อครัวฉินเรียกเธอและมอบบิสกิตสองกล่องให้เธอ
เมื่อเธอเปิดออก กลิ่นหอมของผักใบเขียวและน้ำมันต้นหอมผสมกับความหวาน เป็นบิสกิตที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
พ่อครัวฉินเช็ดเหงื่อจากหน้าผากด้วยรอยยิ้ม
“บิสกิตน้ำมันต้นหอม ผมตากผักกาดขาวกับหอมแดงให้เป็นผักแห้ง คลุกเคล้ากับมันแล้วอบ คุณลองเอากลับไปลองชิมดู ถ้าอร่อย ผมจะทำเพิ่มอีก”
ซูเถาหยิบชิ้นหนึ่งออกมาแล้วชิมทันที มันมีรสชาติเค็ม มีสัมผัสกรุบกรอบ และอร่อยมาก
เธอยกนิ้วให้พ่อครัวฉิน “คุณคู่ควรกับการเป็นเชฟจริงๆ รสชาติดีกว่าที่ขายในตู้ขายของอัตโนมัติของฉันอีก”
พ่อครัวฉินรู้สึกเขินอายกับคำชมของเธอ
“พอดีว่ามีอุปกรณ์อยู่ก็เลยทำเพื่อสนองความต้องการนิดหน่อย ส่วนอีกกล่องเป็นของฟางจือ เด็กนั่นชอบของหวาน ผมก็เลยใส่น้ำตาลมากหน่อย คุณอาจจะไม่ชินกับมัน”
ซูเถาพูดติดตลก “คุณตามใจและรู้ใจเขา ไม่แปลกใจเลยที่เขาชอบคุยกับคุณ”
พ่อครัวฉิน ยิ้มอย่างจริงใจด้วยแววตาที่อ้างว้างเล็กน้อย
“เขาอ่อนโยนและจิตใจก็บริสุทธิ์เหมือนเด็กที่ยังไม่โต”
ซูเถาเข้าใจว่าพ่อครัวฉินปฏิบัติต่อฟางจือหมือนลูกของเขาเอง
ตามอายุของพ่อครัวฉิน ถ้าเขามีลูก ลูกของเขาน่าจะอายุเกือบเท่าฟางจือ
ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ซูเถาก็ได้ยินเสียงตะโกนที่คมชัดของเด็กหนุ่มจากภูเขาด้านหลัง
“พ่อครัวฉิน วันนี้มีขยะให้เอาไปทิ้งไหม! ผมจะลากมันลงมาจากภูเขาทีเดียว! อากาศร้อนเกินกว่าจะหมักหมมข้ามคืน มันจะเหม็นได้ง่าย!!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พ่อครัวฉินรีบไปที่หน้าต่างและตะโกนว่า
“ไม่มีแล้ว! ขอบคุณที่ทำงานหนักนะเจิ้งซิง! ระวังทางลงเขาด้วย!”
หลังจากตะโกน เขากลับมาและอธิบายให้ซูเถาฟัง
“เด็กคนนี้คือเจิ้งซิง คนที่ช่วยหาแมวครั้งก่อน ถึงเขาจะอายุยังน้อย แต่เขาก็มีความสามารถมาก ตั้งแต่เขามาช่วย ถังขยะในภูเขาด้านหลังของเราก็ไม่เต็ม และไม่เหม็นอีกต่อไป”
“เราเอาน้ำและอาหารให้เขา แต่เขาไม่ต้องการอะไร เขาขอเพียงของเหลือที่ภรรยาผมเก็บมา”
ซูเถาจำได้ว่าเด็กคนนั้นบอกว่าเขาจะช่วยตอบแทนน้ำใจของอาหารเหล่านั้นโดยการช่วยทำงานที่ภูเขาผานหลิว
เธออดไม่ได้ที่จะเลี้ยงเด็กคนนี้ เขารู้วิธีตอบแทนน้ำใจและทำตามที่เธอบอก เขาเป็นเด็กดีจริง ๆ
ซูเถารับกล่องขนมทั้งสองมา หลังจากกล่าวลาและจากไป เมื่อเธอกลับมาที่เถาหยาง ก็ไปตามหาชีอวิ๋นหลัน หลังจากรู้ว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเถาหยางและภูเขาผานหลิว เธอก็โล่งใจ
นี่ไม่ใช่สไตล์ของถานหย่ง เขาเงียบจนผิดสังเกต
หรือเขากำลังคิดแผนการแก้แค้น?
……
ภายในอาคารที่ทำการจุดแวะพักเก่า
อาคารสำนักงานเป็นบ้านสร้างเอง 2 ชั้น พื้นที่ไม่ถึง 60 ตารางเมตร ทาผนังสีขาว แต่เนื่องจากด้านนอกโดนลมโดนแดดนานไปหน่อย เลยสกปรกและสีเริ่มหลุดลอก
แต่ถึงกระนั้นก็ถือได้ว่าเป็นอาคารที่ค่อนข้างดี
โดยปกติจะมีผู้จัดการสองสามคนในสถานีเก่า พูดคุยและเล่นไพ่เมื่อพวกเขาไม่มีอะไรทำ แต่ช่วงนี้ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นไพ่ และมาที่นี่เพื่อประชุมทุกวัน
ชวีจิ้งอวิ๋นรีบขึ้นไปชั้นบนพบถานหย่งและพูดอย่างกังวล
“พี่หย่ง พวกเขาจับมี๋อู้ไปแต่ทำไมเราไม่ทำอะไรเลย”
ถานหย่งพูดอย่างโมโหว่า “จะให้ทำอะไร ไม่ต้องขายน้ำกับน้ำมันหรือไง หรือแบ่งกำไรกับพวกมันเหรอ บ้าไปแล้ว”
ชวีจิ้งอวิ๋นรู้สึกหดหู่ใจ “ภูเขาผานหลิวเอาคืนเราด้วยคำพูดเหล่านี้ และไม่ใช่ว่าเราต้องทำอย่างนั้น เป้าหมายในตอนนี้คือการช่วยชีวิตมี๋อู้ เขาภักดีต่อสถานีเก่ามากว่าสิบปี เราทำได้แค่ทิ้งเขาไว้แบบนี้เหรอ?”
ถานหย่งรู้สึกไม่สบายใจ “กู้หมิงฉือร่วมมือกับเรามาหลายปีแล้ว เขายังหันหลังให้เรา มี๋อู้เองก็อาจจะสารภาพทุกอย่างในวันที่เขาถูกจับ มันไม่คุ้มที่เราจะเสี่ยงเพื่อช่วยเขา”
ชวีจิ้งอวิ๋นขึ้นเสียงของเธอ “ไม่คุ้มเหรอ? ความสามารถของเขามีประโยชน์มาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถานีเก่าได้รับประโยชน์มากมายจากการพึ่งพาเขา พี่ลืมไปแล้วเหรอ”
ถานหย่งก้มหน้า
“จิ้งอวิ๋นฉันคิดว่าเธออยู่กับฉันมาตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ไม่ว่าเธอจะเถียงฉันกี่ครั้งฉันก็ไม่เคยถือสา ฉันหวังว่าคราวหน้าจะไม่มีเรื่องแบบนี้อีก และเธอจะสามารถควบคุมปากของเธอได้”
“ตอนนี้ให้ทำตามแผนเดิม ไม่ต้องกังวลกับสิ่งใด ถ้าเราจัดการกับสือจื่อจิ้นได้ ไม่ต้องพูดถึงภูเขาเล็ก ๆ อย่างผานหลิว ตงหยางเราก็สามารถแบ่งปันกันได้”
ชวีจิ้งอวิ๋นไม่สามารถควบคุมปากของเธอได้เลย
“พี่หย่ง ตั้งแต่เหลียนซามา พี่ก็เอาแต่ใจตัวเองและเลือดเย็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อก่อนพี่ไม่เคยเป็นแบบนี้!”
ถานหย่งโบกมือให้เธอ และจ้องอีกฝ่ายเขม็งแล้วพูดว่า “พอได้หรือยัง อย่าบีบบังคับให้ฉันต้องทำร้ายเธอ”
ชวีจิ้งอวิ๋นตาแดง เธอหายใจเข้าลึก ๆ กระแทกประตูและจากไป
ทันทีที่ลงไปชั้นล่าง เธอก็พบกับเมิ่งเชียนลูกสาวของมี๋อู้
เธอดึงชวีจิ้งอวิ๋นเอาไว้
“พี่จิ้งอวิ๋น พี่จะช่วยพ่อฉันใช่ไหม พ่อของฉันทำงานในสถานีเก่ามาหลายปีแล้ว เขาไม่มีที่อยู่อาศัยที่แน่นอนด้วยซ้ำ เขาทิ้งโอกาสที่จะตั้งถิ่นฐานในฐานเหอคังเพราะสถานีเก่า ครั้งนี้ก็เช่นกันหากพ่อฉันไม่ช่วยพวกคุณ เขาก็คงไม่ถูกจับ…”
เสียงของเธอสั่นและมีน้ำตาบนใบหน้า
ชวีจิ้งอวิ๋นปัดมือของเธอ
“…เชียนเชียน สถานีเก่าขอโทษสำหรับเรื่องพ่อของเธอ ฉันก็ไม่มีความสามารถ พี่หย่งหลงใหลผู้หญิงคนนั้น และตอนนี้เขาไม่ฟังฉัน”
เมิ่งเชียนแทบจะน้ำตาไหล “ไม่มีความหวังจริง ๆ ใช่ไหม?”
ชวีจิ้งอวิ๋นหลับตาและพยักหน้ายอมรับความจริงที่โหดร้าย
เมื่อพิจารณาจากทัศนคติของพี่หย่ง ถ้ามีใครเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วย เขาจะถือว่าทุกคนเป็นศัตรู และเขาไม่น่าจะเปลี่ยนใจ
เมิ่งเชียนปาดน้ำตา เธอหันหลังกลับและวิ่งหนีไป
ชวีจิ้งอวิ๋นเรียกเธอ แต่ก็ไม่สามารถหยุดเธอเอาไว้ได้