ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 181 เวทมอมเมา
ตอนที่ 181 เวทมอมเมา
ตอนที่ 181 เวทมอมเมา
แผนเดิมของเหลียนซาคือการเข้าใกล้สือจื่อจิ้นผ่านการเข้าสมัครของกองทัพบุกเบิก แต่คาดไม่ถึงว่าเธอไม่ถูกเลือก!
เห็นได้ชัดว่าเธอได้ใช้เวทมอมเมาให้กับทุกคนที่สามารถถูกเวทของเธอได้ แล้วครั้งนี้เธอพลาดได้อย่างไร
เธอเจาะจงไปถามว่าทำไม และคำตอบที่เจ้าหน้าที่มอบให้นั้นคลุมเครือมากเช่นกันจากนั้นก็พยายามส่งใบสมัครไปที่กองทัพอีกครั้งแต่ก็ถูกปฏิเสธ
ราวกับจงใจพุ่งเป้ามาที่เธอ
เธอสงสัยว่า สือจื่อจิ้นปัดคัดตนเองออกด้วยมือของเขาเอง
ชายคนนี้… ระมัดระวังตัวมากเกินไป
เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้วที่เธอมาที่ตงหยาง และเฝ้ารอแต่กองทัพบุกเบิกออกรบ แต่กลับก็ไม่เคยได้พบกับสือจื่อจิ้นเลย
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปสอบถามเกี่ยวกับที่พักของสือจื่อจิ้น
เธอไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่กลับบ้าน
หลังจากสอบถามอย่างตรงไปตรงมา เธอก็ได้รับรู้ว่าสือจื่อจิ้นอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างพิเศษ ซึ่งเรียกว่าเถาหยาง ซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงในตงหยาง
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถอาศัยอยู่ที่นั้นได้ ต้องสมัครเข้าไปและผ่านการตรวจสอบจึงจะมีสิทธิ์อาศัยอยู่ได้
ดังนั้นเธอจึงสมัครเข้าเถาหยางเพื่อขอเข้าพักถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากสอบถาม ถึงรู้ว่าถ้าต้องการเปอร์เซนต์ผ่านที่สูงขึ้น ต้องได้รับการแนะนำจากคนรู้จัก
เหลียนซาตกตะลึงไปชั่วขณะ
เธอเพิ่งมาที่ตงหยาง ดังนั้นจึงไม่มีคนรู้จัก
หลังจากเธอพยายามหาทุกวิถีทาง ในที่สุดเธอก็พบคนที่มีประโยชน์อย่างเฉินเส้าหยวนหัวหน้าฝ่ายพลาธิการ
ครั้งหนึ่งเธอเคยได้ยินเฉินเส้าหยวนพูดโอ้อวดและพูดคุยกับคนอื่น ๆ ว่าเขาช่วยชีวิตเด็กชายตัวเล็ก ๆ ไว้ และตอนนี้เขาได้เข้าไปอยู่ในเถาหยาง ซึ่งเจ้านายของเขาคือคนดังอย่างเถ้าแก่ของที่นั่น
เหลียนซาใช้พลังเล็กน้อยเพื่อให้คนแซ่เฉินสัญญาว่าจะแนะนำเธอให้รู้จักในวันรุ่งขึ้น
เฉินเส้าหยวนมองเธอด้วยความหลงใหล
“ผมขอแนะนำให้คุณรู้จัก นี่คือหลินฟางจือ คนดังที่ผมเคยพูดให้คุณฟัง เจ้านายของเขาคือเถ้าแก่ซู เธอก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับเขา และถัดจากเขาคือ พนักงานรักษาความปลอดภัยเมิ่งจากเถาหยาง”
หลินฟางจือและเมิ่งเสี่ยวป๋อ ทั้งสองคนค่อนข้างเฉยเมยในตอนแรก คิดว่าจะฟังแบบสบาย ๆ และกลับไปคุยกับซูเถา ไม่ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในบั้นปลายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้านาย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ก่อนที่การสนทนาจะเริ่มต้นขึ้น ก็ได้ยินเสียงเพลงไพเราะดังกระเพื่อมในอากาศ
เมิ่งเสี่ยวป๋อตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และรูม่านตาของเขาก็เริ่มขยายออก
หลินฟางจือรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่สติของเขามีอยู่เพียงสามหรือสี่วินาที และในไม่ช้าเขาก็สับสน
เหลียนซาแยกริมฝีปากสีแดงของเธอออกเบา ๆ และเสียงที่ไพเราะก็ดังขึ้นในหู
“จำไว้ ฉันชื่อเหลียนม่าน ไม่ใช่เหลียนซา ถ้าคุณแนะนำฉันให้เข้าอยู่ที่เถาหยาง คุณต้องประสบความสำเร็จ คุณต้องไม่ล้มเหลว คุณต้องไม่หักหลังฉัน ถ้ามีเรื่องอะไรให้รายงานฉันโดยเร็วที่สุด”
……
เมิ่งเชียนซึ่งมาทำงานวันแรก เธอทุ่มเทให้กับงานของตนเองมาก หลังจากคุ้นเคยกับงานแล้ว เธอก็มาเตือนซูเถาเรื่องการปล่อยห้องเช่าใหม่ในเดือนสิงหา
โดยมีจวงหว่านพูดอยู่ด้านข้าง
“เถ้าแก่ ใกล้จะวันที่ 10 แล้ว ยังไม่มีห้องว่างเลย อีกสองวันก็จะมีผู้เช่ารายใหม่เข้าพักแล้ว จะได้ให้เชียนเชียนทำความคุ้นเคยกับขั้นตอนในการเช็คอินหรือเช็คเอ้าท์”
ซูเถาช่างขนย้ายอิฐผู้ขยันขันแข็ง “…ฉันจะทำงานให้หนัก และจะเตรียมห้องใหม่หลังจากที่ชั้นสามของอาคารเถาฮวาสร้างเสร็จ”
ดวงตาของเมิ่งเชียนเต็มไปด้วยความคาดหวังเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ซูเถาโบกมือให้พวกเขา
“พวกคุณไปกันเถอะ ถึงเวลาเลิกงานแล้วไม่ใช่เหรอ แบบนี้พวกคุณขวางทางฉันนะ”
เมิ่งเชียนผู้มาใหม่ในที่ทำงานรู้สึกอายเล็กน้อย
ใบหน้าของจวงหว่านไม่เปลี่ยน ท้ายที่สุดเธอมักจะขวางเจ้านายแบบนี้ตลอด แต่เธอเป็นคนหนังหนาพอ
“ที่ไหนกัน แค่บังเอิญพอดี”
“ฉันล่ะเชื่อคุณจริง ๆ ไม่ไปกินข้าวก่อนเหรอ แล้วฟางจือล่ะ ยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่ชั้นล่าง และทั้งสองก็กลับมา
“หัวหน้าฝ่ายเฉินต้องการอะไรจากนาย คุยกันตลอดทั้งบ่ายเลยเหรอ” ซูเถาถาม
หลินฟางจือยังคงรู้สึกมึนงง ไม่ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร จนผ่านไปสิบนาที
เมิ่งเสี่ยวป๋อพูดอย่างไร้เดียงสา
“ไม่มีเรื่องอะไรหรอก แต่หัวหน้าฝ่ายเฉินต้องการให้ฟางจือแนะนำใครสักคนให้อาศัยอยู่ในเถาหยาง”
ซูเถาเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา และไม่แปลกที่พนักงานและผู้เช่าของเถาหยางจะถูกญาติและเพื่อนหลายคนถามคำถามนี้
ดังนั้นเธอจึงไม่ขออะไรมาก แค่แนะนำตามขั้นตอนปกติ และถ้าไม่มีปัญหากับตรวจสอบ เธอมักจะจัดการลงทะเบียนเข้าพักให้
ในตอนเย็น ซูเถาไปหาแมวเพื่อฝึกฝนอย่างเป็นประจำทุกวัน ซึ่งทำให้เธอเหนื่อยเล็กน้อย ดังนั้นจึงแอบใจร้ายเอาเฮยจือหม่าใส่กรงอีกครั้งเพื่อสั่งสอนมัน
“นี่ ฟังฉันนะ ฉันปล่อยแกออกไปได้ แต่ถ้าฉันปล่อยแกไปแล้วแกออกไปนอกเถาหยาง ฉันจะไม่สนใจแกแล้ว ฉันไม่ได้ล้อเล่น ตอนนี้ข้างนอกมันอันตรายเกินไป แกตัวเล็กนิดเดียว นับประสาอะไรกับซอมบี้ คนธรรมดาก็จับแกได้โดยง่าย”
เฮยจือหม่าดึงกรง ส่งเสียงร้องดังลั่น และยังคงลุกลี้ลุกลนอยู่ภายใน เขย่ากรงและเขย่าไปมา
ไป๋จือหม่ารู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และซ่อนตัวอยู่ใต้ท้องของเสวี่ยเตาไม่กล้าโผล่หัวออกมา
ครั้งนี้ซูเถาตั้งใจแน่วแน่ที่จะสอนมัน และจะไม่เปิดกรงไม่ว่ามันจะร้องแค่ไหนก็ตาม
เมื่อถึงเวลาตีหนึ่ง เฮยจือหม่าก็ค่อย ๆ สงบลง มันส่งเสียงร้องในลำคอเล็กน้อย และหดตัวลงเป็นลูกแมวผู้น่าสงสารอยู่ในกรง
ซูเถาเปิดกระป๋องให้มันแล้วมันก็ไม่กิน
ซูเถาทนไม่ได้ที่จะเห็นมันเป็นแบบนั้น ดวงของหญิงสาวฉายแววเจ็บปวดขึ้นบางทีพรุ่งนี้อาจไม่เป็นไร ก็แค่ยังไม่ชินกับมัน เธอปลอบใจตัวเอง
ดังนั้นเธอจึงมองไปที่เฮยจือหม่าตัวน้อยที่อยู่ในกรงเป็นครั้งสุดท้าย กัดฟันและเดินกลับไปที่ห้อง
ซูเถาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเข้านอนอีกต่อไป เธอจึงโต้รุ่งทั้งคืนเพื่อปรับปรุงก่อสร้างชั้นสามและสี่ของอาคารเถาฮวาให้เสร็จในคราวเดียว
พื้นที่โดยรวมใกล้เคียงกับอาคารเถาหลี่ มีขนาด 500 ตารางเมตร
ชั้นแรกเป็นห้องจำหน่ายสินค้า เมื่อเข้าประตูไปจะมีเคาน์เตอร์อยู่ทางซ้าย สามารถต่อแถมซื้อผลผลิตได้ถึงสามหรือสี่แถว
ด้านหลังเคาน์เตอร์เป็นตู้แช่เย็นเรียงกันเป็นแนวผนัง
ผู้เช่าสามารถบอกพนักงานขายที่เคาน์เตอร์ได้โดยตรงว่าต้องการซื้อผักชนิดใด และหลังจากชำระเงินแล้ว ก็สามารถรับผักของตนเองได้
หลังเคาน์เตอร์มีประตูเล็ก ๆ สำหรับเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นห้องเก็บผักที่เก็บเกี่ยวจากสวน ผักทั้งหมดจะถูกวางไว้ในห้องนี้ชั่วคราวเพื่อปรับสภาพ และขายในตู้เย็นเก็บความสดหลังเคาน์เตอร์
ห้องเก็บของนี้ยังมีประตูที่ตรงไปยังสวนซึ่งสะดวกมาก
ห้องจำหน่ายสินค้าดังกล่าว ไม่เพียงแต่สะดวกสำหรับผู้เช่าที่จะซื้อผักเท่านั้น แต่ยังรวมถึงงานของเฉียนหลินและคนอื่น ๆ ด้วย เพราะผู้คนและผักไม่จำเป็นต้องอยู่รวมกันแออัดในอาคารขนาดเล็ก
จากประตูหมุนด้านในสุดของชั้น 1 ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 2 เป็นพื้นที่สำนักงานทั้งหมด
รูปแบบคล้ายกับอาคารเถาหลี่ โดยมีห้องสุขา ห้องประชุม พื้นที่ทำงานสาธารณะ ห้องชงชา ฯลฯ พร้อมให้บริการทั้งหมด
ห้องทำงานส่วนตัวของเฉียนหลินและอู๋เจิ้นก็อยู่บนชั้นนี้เช่นกัน
ชั้น 3 ก็มีพื้นที่ทำงานเล็กน้อย ต่างกันคือเมื่อออกจากลิฟต์แล้วไปทางขวาเมื่อเปิดประตูกระจกเข้าไปจะเจอกับระเบียงขนาดใหญ่กว่า 50 ตารางเมตร
มีโต๊ะและเก้าอี้น้ำชากลางแจ้ง
เป็นพื้นที่ให้อู๋เจิ้นปลูกดอกไม้เพื่อการพักผ่อนและความบันเทิง และเขาสามารถสนุกกับมันได้เมื่อมีเวลา
สำหรับชั้นที่สี่ ครึ่งหนึ่งใช้สำหรับเก็บของ เครื่องมือต่าง ๆ เมล็ดพืช และอีกครึ่งหนึ่งใช้เป็นสำนักงาน
นอกจากนี้ยังมีลิฟต์อิสระ ซึ่งสามารถตรงไปยังห้องเก็บของขนาดเล็กที่ชั้นหนึ่งได้
ราคาข้างต้นทำให้เธอต้องเสียเงินมากกว่า 620,000 เหลียนปัง ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่เช่นเดียวกับตึกเถาหลี่
แต่ผลที่ได้กลับมาดีมาก
ซูเถาตรวจสอบเป็นครั้งสุดท้าย ปรับรายละเอียดบางอย่างให้เหมาะสม และพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ดูเหมือนว่าเฉียนหลินและคนอื่น ๆ จะสามารถย้ายเข้ามาได้ในตอนเช้า
ทันทีที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จบ ท้องฟ้าก็สว่างพอดี
เธอทำงานอย่างหนักอีกคืน