ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 193 ผู้มีจิตใจอ่อนโยน
ตอนที่ 193 ผู้มีจิตใจอ่อนโยน
ตอนที่ 193 ผู้มีจิตใจอ่อนโยน
พ่อครัวฉินได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเหม่ยก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ผู้อาวุโส แม้ว่าเจิ้งซิงจะอายุน้อย แต่เขามีความสามารถมาก ก่อนหน้านั้นเขาสามารถขึ้นลงภูเขาเพื่อกำจัดขยะทุกวันด้วยตัวเอง เขาไม่กลัวความลำบากใด ๆ แต่ช่วงนี้ เนื่องจากมีฝูงซอมบี้ที่ตีนเขาผานหลิวบ่อยครั้ง ผมจึงไม่กล้าปล่อยให้เขาทำแบบนั้น ก็เลยขอให้เขามาช่วยผมที่ครัวหลังบ้าน”
“แถมเขายังฉลาดอีกด้วย เขาเพิ่งเข้าครัวหลังบ้านได้ไม่นาน แค่ดูผมทำอาหารเขาก็เรียนรู้อะไรได้มากมายแล้ว”
เจิ้งซิงรู้สึกเขินอายกับคำชมของเขา และก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนัก
ดวงตาของผู้อาวุโสเหม่ยเป็นประกาย และเขาถามอีกครั้ง “เด็กดี นายชอบอ่านเขียนไหม”
การเคลื่อนไหวในมือของเจิ้งซิงหยุดชะงักชั่วคราว เขาเงยหน้าขึ้นและพยักหน้าด้วยความงุนงง แววตาของเขาดูโดดเดี่ยวเล็กน้อย
“แต่ผมไม่เวลาและไม่มีเงิน ย่าของผมสุขภาพไม่ดีผมต้องดูแลท่าน”
หลังจากเขาพูดถึงเรื่องนี้ ความเหงาในดวงตาของเขาก็กลายเป็นความมุ่งมั่นอีกครั้ง ตราบใดที่เขายอมอดทนต่อความยากลำบากและทำงานหนัก ชีวิตจะดีขึ้นเรื่อย ๆ!
ผู้อาวุโสเหม่ยหันหน้าไปมองซูเถาที่อยู่ไม่ไกล
ซูเถายังไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ผู้อาวุโสเหม่ยไม่มีความละอายอีกต่อไป เขามองเจิ้งซิงด้วยความรักและพูดว่า
“นายเป็นเด็กดี ปู่อยากถามเราหน่อยว่ายินดีที่จะมาเรียนกับฉันไหม เรียนรู้ที่จะเป็นนักออกแบบ เช่น ถ้าภูเขาผานหลิวต้องการขยาย จะขยายอย่างไร โรงแรม ปั๊มน้ำมัน สถานีชาร์จ ฯลฯ จะใช้พื้นที่เท่าไหร่ วางไว้ที่ไหนจะสะดวกกว่าสำหรับผู้เข้าพัก วิธีจัดอาคารหอพักพนักงานที่สร้างขึ้นใหม่ให้สมเหตุสมผลมากขึ้น ฯลฯ”
“สนใจไหม?”
ดวงตาของเจิ้งซิงเบิกกว้าง และเขาชี้มาที่ตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา “ผมเหรอ?”
“ใช่ เต็มใจไหม”
เจิ้งซิงตื่นตระหนกเล็กน้อย “แต่ผมไม่เคยเรียนหนังสือ ผมเขียนไม่ได้ ทำได้แค่คำนวณง่าย ๆ นับประสาอะไรกับสิ่งที่คุณพูด อีกอย่าง… ผมก็ทิ้งคุณย่าไม่ได้”
ผู้อาวุโสเหม่ยหัวเราะ “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล หนูเถา มานี่หน่อย ฉันเดาว่าเด็กน้อยจะเชื่อคำพูดของเธอมากกว่า”
ซูเถาปล่อยให้หลิวพ่านพ่านเดินสำรวจไปรอบ ๆ ด้วยตัวเอง แล้วตัวเองก็เดินเข้าไปหาผู้อาวุโสเหม่ย
เจิ้งซิงมองเธออย่างเสียไม่ได้ “เถ้าแก่ซู”
ซูเถาตบไหล่เขา “ฉันจำได้ว่านายถามฉันว่าภูเขาผานหลิวขาดแคลนกำลังคนหรือเปล่า”
เจิ้งซิงพยักหน้า แต่เขาก็แค่พยายามช่วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สกปรกและน่าเบื่อหน่าย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าไม่เพียงแค่เรียนหนังสือเท่านั้น แต่ยังเป็นนักออกแบบได้ด้วย?!
ซูเถายิ้มและพูดว่า “ตอนนี้ผู้อาวุโสเหม่ยขาดนักเรียน นายไม่จำเป็นต้องอ่านออกเขียนได้ นายฉลาดและมีความสามารถ กตัญญูและสุขุม และรู้วิธีตอบแทนคุณ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
“ตามแนวทางเดิมของเรา นักเรียนของผู้อาวุโสเหม่ยสามารถได้รับห้องพักอาศัยสวัสดิการได้ สามารถพาคุณย่ามาอยู่ด้วยกันได้ นอกจากนี้จะมีเงินเดือนเดือนละ 2,000-3,000 เหลียนปังและเงินสนับสนุนด้านอาหารอื่น ๆ ซึ่งเพียงพอต่อการดำรงชีวิตประจำวันของย่าหลาน”
เจิ้งซิงรู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน
พ่อครัวฉินที่ได้ฟังก็รู้สึกมีความสุขมาก
“เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก ขอบคุณเถ้าแก่ซูและผู้อาวุโส เด็กเจิ้งซิงคนนี้เรียนรู้เร็วจริง ๆ ผมยังคิดที่จะรับเขาเป็นลูกศิษย์เมื่อเขาโตขึ้น”
ผู้อาวุโสเหม่ยหัวเราะ “ขอโทษที่ฉันตัดหน้า”
พ่อครัวฉินกล่าวว่า “ไม่หรอกครับ เจิ้งซิงไปอยู่กับคุณดีกว่าให้เขามาเดินตามหลังผมที่หลังครัว เขาจะได้เป็นคนที่มีการศึกษา เจิ้งซิง นายก็ตั้งใจเรียนกับผู้อาวุโสนะ”
เจิ้งซิงกลับมารู้สึกตัว เขามองไปที่ซูเถาและถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“เถ้าแก่ซู นี่จริงเหรอ?”
“จริงสิ ไม่เชื่อนายลองหยิกตัวเองดู”
เจิ้งซิงยิ้มเยาะและเกาหัว “ไม่ใช่เป็นเพราะสงสารผมใช่ไหม”
เขายังไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องดี ๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขา
“นายยังเด็ก แต่จิตใจของนายอ่อนโยน อย่าคิดมาก ในวันสิ้นโลกมีคนยากจนมากมาย เมื่อก่อนลูกแมวของฉันหายไป นายอยู่กับเด็ก ๆ ตั้งหลายคน นายเห็นฉันไปแสดงความสงสารใครไหม ถ้าฉันจะสงสารนายฉันสงสารไปนานแล้ว ในครั้งนี้ผู้อาวุโสเหม่ยตกเอ็นดูนาย ไม่เกี่ยวกับฉันเลย” ซูเถาลูบหัวของเขา
เจิ้งซิงยกยิ้ม “ขอบคุณเถ้าแก่ซู ขอบคุณผู้อาวุโสเหม่ย ผมจะตั้งใจเรียนครับ!”
ผู้อาวุโสเหม่ยรักเขามากและแอบรีบร้อนเล็กน้อย
“ตกลง วันนี้นายกลับไปก่อนเวลาเพื่อเก็บข้าวของ แล้วถ้าช้าหรือเร็วยังไงคืนนี้นายมาพักที่เถาหยางได้ แล้วนายจะได้เริ่มเรียนวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้”
หม่าต้าเพ่ามีความสุขมากเช่นกันที่รู้ว่าผู้อาวุโสเหม่ยรับเจิ้งซิงเป็นลูกศิษย์ เขาพูดกับซูเถา
“เด็กคนนี้มีจิตใจดี เขาได้รับความเมตตายิ่งใหญ่กว่าท้องฟ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต เขาจะไม่มีวันทรยศต่อเถาหยาง”
ซูเถาพยักหน้า “ตราบใดที่ผู้อาวุโสเหม่ยชอบก็โอเคแล้ว แต่เหมือนช่วงนี้คุณยุ่งมากไม่ค่อยได้เจอคุณเลย ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างคะ”
หม่าต้าเพ่ารู้สึกเศร้าทันที
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ช่วงนี้ซอมบี้ปรากฏตัวบ่อยมาก ดูที่จำนวนลูกค้าที่เข้าคิวชั้นล่าง ในความเป็นจริงมันน้อยกว่าเมื่อต้นเดือนเกือบครึ่ง ทุกคนกลัวที่จะออกมาข้างนอก ตอนนี้ผมต้องคิดเกี่ยวกับมาตรการรับมือกับมัน เริ่มจากการบริการจองออนไลน์และเมื่อมีที่ว่างแขกจะได้รับแจ้งทางโทรศัพท์”
“สำหรับลูกค้าที่รออยู่ด้านนอก เรายังเปิดช่องทางออฟไลน์ เราเปิดช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ร่วมกัน จำนวนลูกค้าจะได้ไม่ลดลงฮวบ”
ซูเถาชมเชย “นี่ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ? คุณกังวลเรื่องอะไร? กำลังคนไม่เพียงพอ?”
หม่าต้าเพ่ากล่าวว่า “กำลังคนเพียงพออยู่ ผมสามารถจัดการกับสองสาวที่แผนกต้อนรับได้ แต่ผมกังวลว่าจะมีซอมบี้ลงจะมาจากภูเขามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วแขกที่จะมาพักก็จะเกิดความกลัว”
ซูเถาถามว่า “พวกมันเป็นซอมบี้แบบไหน”
“พวกมันส่วนใหญ่เป็นซอมบี้ธรรมดา แต่ผมเคยเห็นซอมบี้ที่มีวิวัฒนาการแล้วครั้งหนึ่ง ซอมบี้เคียวยักษ์นั่นมีหนังศรีษะห้อยอยู่ ผมกลัวแทบฉี่ราดเมื่อเห็นมัน”
ดวงตาของซูเถาเป็นประกาย “อย่ากังวลกับซอมบี้ทั่วไป แต่ถ้าคุณเห็นซอมบี้ที่พัฒนาแล้ว โปรดแจ้งให้ฉันทราบทันที”
“ไม่ต้องกังวลว่าซอมบี้จะเยอะเกินไปและลูกค้าจะไม่มา ตราบใดที่เรายังขายน้ำ เชื้อเพลิง อาหาร ฯลฯ ก็จะมีคนยอมเสี่ยงชีวิตมาซื้อมัน”
หม่าต้าเพ่ารู้สึกโล่งใจและพูดอย่างลังเลว่า
“เถ้าแก่ เมื่อไหร่จะขยายโรงรถสักที? วันนี้คุณไปดูก็น่าจะรู้ว่ามันไม่พอจริง ๆ ถ้ามีขบวนรถขนาดใหญ่ แขกก็จะต้องจอดรถไว้ข้างนอก มันคงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”
“มีตู้จ่ายน้ำมันด้วย…แค่สี่ตู้ไม่พอ ห้องพักก็ต้องจองคิว แถมยังมีคิวเติมน้ำมันและที่แท่นชาร์จด้วย อากาศร้อน แขกก็ไม่พอใจ”
จู่ ๆ ซูเถาก็รู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก “ฉันจะพยายามขยายภูเขาผานหลิวในเดือนหน้า”
หม่าต้าเพ่าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
คืนนั้นผู้อาวุโสเหม่ยพาลูกศิษย์คนใหม่ไปที่เถาหยาง
มีเพียงอาการของคุณย่าของเจิ้งซิงที่ไม่สู้ดีนัก คุณหมอจงพบว่าเธอเป็นโรคเบาหวานและเธอยังทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดหัว ไข้สมองอักเสบ ปวดข้อ และโรคอื่น ๆ ตลอดทั้งปี
ซูเถาเรียกจงเกาอี้ไปข้าง ๆ แล้วถามเสียงต่ำว่า “รักษาไม่ได้ใช่ไหม”
จงเกาอี้ส่ายหัว “ไม่ได้ เธอแก่แล้ว แถมปีนี้เธอต้องทนทุกข์ทรมานมาก ร่างกายของเธอได้รับความเสียหาย และการทำงานทุกอย่างยิ่งทำให้แย่ลง ความสามารถของผมทำได้แค่ซ่อมแซมร่างกาย แต่ต้านทานความแก่ไม่ได้”